“รุ่นพี่ที่ยืนด้านหลังมองแกแบบ ฉันว่าเขาชอบแกแน่ๆ ข้าวหอม เห้ย ! ไม่สิ เฮียปั้นของฉันจีบแกอยู่ ไม่ได้ๆ” ผมชายตามองไอ้ผู้ชายสี่คนที่ใส่ชุดนักศึกษาที่กำลังเดินออกไป หลังจากที่ทักน้องสาวและคนตัวเล็กของผมเสร็จ
ดูจากสายตาก็รู้ว่าพวกมันกำลังคิดอะไรอยู่
“ปล่อยเขาเถอะ ฉันไม่ได้สนใจทั้งพี่คนนั้นและเฮียปั้นของแก” ประโยคแรกได้ยินแล้วชอบใจ ดีใจฉิบหายแต่พอประโยคหลังมากลับทำหัวใจผมหมองลงทันที กับคำว่าฉันไม่ได้สนใจทั้งพี่คนนั้นและเฮียปั้นของแก
“โหดร้ายมาก เฮียฉันหล่อวัวตายความล้มจนชะนีร้องเรียก แกไม่สนได้ไง” ข้าวหอมพูดขึ้นอีกครั้ง ต่อไปคงต้องให้ค่าขนมแล้วแหละทำงานดีแบบนี้
“หล่อตรงไหนอะข้าวหอม ฉันมองไม่เห็นเลย” คนตัวเล็กพูดขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเพราะผมแอบฟังมานานแล้ว
“งั้นก็มองซะจะได้รู้ว่าความหล่อของฉันมันอยู่บนหน้า” ผมพูดขึ้นทันทีเมื่อคนตัวเล็กพูดจบ
“!” แน่นอนว่าเธอที่ได้ยินเสียงผมก็รีบหันหน้ามามองผมด้วยความตกใจ
นั่นทำให้ผมค่อยๆโน้มหน้าลงไปหาเธอและด้วยความสูงที่ต่างกัน ผมที่โน้มตัวลงไปก็ได้แต่เอาหน้าเข้าไปใกล้ๆเธอให้มากขึ้น
“ดูสิว่าความหล่อมันอยู่บนหน้าของฉัน” ผมพูดขึ้นและไม่ยอมเลื่อนใบหน้าไปไหน หนำซ้ำผมยังจับใบหน้าของคนตัวเล็กไว้แน่นเพื่อไม่ให้เธอหันหนีเช่นกัน
“พอเลยเฮียปั้น คนมองใหญ่แล้ว” ข้าวหอมพูดขึ้นทำให้ผมต้องปล่อยมือออกจากใบหน้าสวยอย่างเสียดาย
“จะจีบกันก็ไปจีบกันที่อื่นสิ ไม่ใช่มาจีบให้ข้าวหอมดูแบบนี้” ข้าวหอมโวยวายขึ้นก่อนจะเดินนำไปที่รถทำให้ตรงนี้เหลือแค่ผมกับเลิฟ
“เห็นความหล่อฉันหรือยัง” ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมหล่อแต่เธอดันเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่บอกว่าผมไม่หล่อ
“เห็นอะไรกันเฮียปั้น อย่าถามเยอะสิคะ” คนตัวเล็กเฉไฉทำจะเปลี่ยนเรื่องและทำท่าจะเดินออกไปแต่ผมก็คว้าข้อมือของเธอไว้ก่อน
“ฉันกับไอ้พวกนั้นใครหล่อกว่ากัน” ผมถามขึ้นอีกครั้ง กลัวว่าเธอมาเจอสังคมใหม่ มีคนเข้ามาจีบจะไปหลงคารมพวกมันแล้วลืมผมที่กำลังจีบเธออยู่เหมือนกัน
“ไม่มีใครหล่อทั้งนั้นแหละ หนูไปดีกว่า” คนตัวเล็กทำท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง
“เดี๋ยวไปส่ง” ผมพูดจบไม่รอให้มีเสียงตอบกลับใดๆเพราะเธอรู้ดีอยู่แล้ว
“เดี๋ยวไปส่งข้าวหอมที่บ้านก่อนแล้วกัน ฉันค่อยไปส่งเธอ” ผมพูดขึ้นทันที ถึงแม้บ้านของเธอจะผ่านก็เถอะแต่ผมมีที่ที่จะไปกับเธอแค่สองคน
“ทางมันผ่านบ้านหนูก่อนนะคะเฮียปั้น แบบนี้ก็วนรถไปมาแย่เลย” คนตัวเล็กที่นั่งเบาะหน้าพูดขึ้นทันที
“นั่งเฉยๆแล้วเงียบ ฉันไม่พาเธอไปทำอะไรหรอกแค่อยากให้ช่วยดูอะไรสักหน่อย” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้รถยนต์ของผมได้เคลื่อนตัวเข้ามาจอดในบ้านแล้ว
“ไปก่อนนะเลิฟเดี๋ยวทักหา”
“บ๊ายบ่ายข้าวหอม” คนตัวเล็กและน้องสาวบอกลากันเสร็จ ผมก็ขับรถออกจากบ้านทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลา
“จะพาหนูไปไหนคะ” เธอถามขึ้นพร้อมมองผมตาใสแป๋ว
หึ น่ารักชะมัด
“ก็บอกว่ามีอะไรอยากให้ดูก็จะพาไปดู”
“ดูอะไรคะ”
“ดูที่ดิน อยากให้เธอช่วยตัดสินใจสักหน่อย”
เลิฟ
ฉันยืนมองที่ดินว่างๆ แถวๆโรงเรียนเทคนิคชื่อดังที่เป็นสถาบันที่เฮียปั้นกำลังเรียนอยู่ มันเป็นที่ดินผืนกว้างทำเลดีเหมาะสำหรับการลงธุรกิจมากๆเพราะอยู่ติดถนนสายหลัก ใกล้โรงเรียนและรถผ่านไปมาตลอดทั้งวัน
“พามาที่นี่ทำไมหรอคะ ไม่ใช่จะพาเลิฟมาฆ่าฝังดินนะ” ฉันถามออกไปทันที ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางวันแต่ฉันก็กลัวนะ ดูสิ พี่ชายของข้าวหอมน่ากลัวขนาดไหน
“เพ้อเจ้อ” เฮียปั้นตอบกลับมา
“เธอว่าตรงนี้เหมาะไหม” คนตัวโตอย่างเฮียปั้นพูดขึ้นอีกครั้งแต่ด้วยการเว้นวรรคประโยคที่เขาพูดออกมา มันทำให้ฉันไม่สามารถจับใจความได้เลยสักนิดว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
“เหมาะอะไรคะ เฮียปั้นช่วยพูดมาทีเดียวให้เลิฟเข้าใจได้ไหม” ฉันพูดขึ้นอีกครั้ง มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่รู้กลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากหรือไงถึงกระชับคำพูดขนาดนี้
“เธอคิดว่าตรงนี้เหมาะที่จะเปิดอู่ซ่อมรถหรือเปล่า” เฮียปั้นถามทันที
“อู่ซ่อมรถบิ๊กไบค์คันโตๆของเฮียปั้นน่ะหรอคะ” ฉันถามกลับทันทีเพราะรู้อยู่แหละว่าเฮียปั้นชอบขับบิ๊กไบค์และที่บ้านก็มีเยอะจนฉันเผลอถามข้าวหอมด้วยความอยากรู้
“ทำไมไม่ถามพ่อกับแม่เฮียปั้นล่ะ มาถามเลิฟทำไม” ฉันถามกลับไปเพราะเรื่องแบบนี้ควรมีผู้ใหญ่ช่วยตัดสินใจ ไม่ใช่มาถามฉันแบบนี้
“ฉันไม่ได้บอกใครนอกจากเธอเพราะงั้นเธอคือคนที่ต้องช่วยฉันตัดสินใจ” คำตอบจากปากเฮียปั้นทำให้ยืนอ้าปากค้างยิ่งกว่าเก่าเพราะทำไมต้องเป็นฉัน
“ถ้าตามความคิดหนูก็คงจะดีนะคะ อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้โรงเรียน ทำเลดี” ฉันพูดออกไปตามที่คิดเพราะขนาดที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ เด็กนักเรียนที่ใส่เสื้อช็อปสีเดียวกับเฮียปั้นก็มีแต่พวกขับรถคันโตๆออกมาจากโรงเรียนทั้งนั้น
“ถ้าเฮียปั้นอยากเปิดอู่ก็ทำเลยสิคะ เลิฟว่าเหมาะ” ในเมื่อเขาพูดว่าเป็นฉันที่ต้องช่วยเขา ฉันก็จะช่วยคิดอย่างเต็มที่ อะไรที่ฉันคิดว่าดีฉันก็จะบอกว่าดี
“ถ้าเธอว่าดี ฉันก็ว่าดี” เฮียปั้นตอบกลับมาอีกครั้งก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาใครสักคน
ภายในเวลาไม่นานนัก ผู้คนที่มาใหม่ก็เดินมาพร้อมกับเอกสารต่างๆมากมาย
“ผมตกลงซื้อที่ดินผืนนี้ครับ” เฮียปั้นพูดกับบุคคลตรงหน้าพร้อมกับทั้งคู่คุยที่กันนิดหน่อยก่อนที่เราเคลื่อนตัวจากที่ดินว่างๆตรงนั้นมาเป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
เฮียปั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารทุกหน้า ส่วนบุคคลเจ้าของที่เดินก็จัดการตรวจเอกสารต่างๆ
“ผมโอเคกับทุกอย่างที่คุณเขียนมาในเอกสาร ผมพร้อมจ่ายทุกอย่าง” เฮียปั้นพูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณปั้นสะดวกวันไหนครับ เราจะได้เข้าไปทำเรื่องที่กรมที่ดินกันเลย” เจ้าของที่ดินที่นั่งตรงข้ามเฮียปั้นถามขึ้น
“พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”
“งั้นพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าที่กรมที่ดินนะครับ”
“ขอบคุณมากๆครับ”
“เฮียปั้นไม่ปรึกษาใครเรื่องนี้เลยหรอคะ” อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เลยเลือกที่จะถามออกไปเพราะสำหรับการตัดสินใจคนเดียวแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
“ไม่หรอก ฉันอายุยี่สิบแล้วบรรลุนิติภาวะแล้ว ทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว” เฮียปั้นตอบกลับมาส่วนมือก็ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“แล้วทำไมถึงคิดจะเปิดอู่” ฉันถามขึ้นอีกครั้งด้วยความอย่างรู้ หวังว่าเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นการละลาบละล้วงหรอกนะเพราะบ้านของเขาก็มีธุรกิจมากมาย การที่เขาเรียนช่างแบบนี้ ฉันว่ามันขัดกับธุรกิจของเขาที่บ้านของเขา
“ฉันกำลังจะเรียนจบปีนี้ เรียนจบก็อยากมีงานทำแต่ฉันไม่ได้ชอบสายบริหารที่จะไปสานต่องานของป๊า เลยเลือกทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ฉันชอบเรียนช่าง ฉันว่าการเป็นช่างมันเหมาะกับฉัน” คนตัวโตอย่างเฮียปั้นอธิบายมายาวเหยียด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่มีเรื่องต่อยตีไม่เว้นวันจะมีความคิดดีๆแบบนี้
“เห็นฉันมีเรื่องต่อยตีเกเรแบบนี้แต่เรื่องอนาคตฉันก็วางแผนไว้แล้ว”
“ดีแล้วค่ะ เลิฟไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างเฮียปั้นจะมีความคิดดีๆแบบนี้”
“คนแบบฉันมันทำไม คนแบบฉันมันไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือไง” อ่า...ให้ตาย เหมือนฉันพูดอะไรผิดไปสินะ
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ เลิฟแค่ไม่เคยเห็นเฮียปั้นเป็นแบบนี้ไง” ฉันตอบกลับตามความจริง
“งั้นก็เห็นไว้ซะ ฉันมีหลายมุมเอาไว้ใช้กับหลายคน” ก็จริงเพราะฉันเชื่อแบบนั้น
“เชื่อค่ะเพราะเมื่อกี้ตอนเฮียปั้นคุยกันเจ้าของที่ดินเฮียปั้นดูโตมากเลย ดูเป็นผู้ใหญ่ไม่เหลือคราบเด็กเกเรที่ชอบมีเรื่องเลยสักนิด” ฉันพูดขึ้นทันที บางทีฉันว่าพี่ชายของข้าวหอมก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแบบนั้นหรอก หลังจากนี้ฉันคงต้องมองเขาใหม่
“เธอกำลังชมหรือกำลังด่าฉันกันแน่”
“ชมสิคะ เลิฟกำลังชมเฮียปั้นอยู่ ว่าคนอย่างเฮียปั้นก็ดูมีความคิดมากกว่าที่เลิฟคิดเลยนะ” ฉันว่าฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะแต่ทำไมเขามองหน้าแบบนั้นล่ะ
“แล้วคนแบบฉันเหมาะจะเป็นแฟนเธอหรือยัง”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ไม่รู้หรือไงว่าที่ทำทั้งหมดคือจีบ” ใครจะไม่รู้กันก็เขาพูดชัดซะขนาดนั้น
“รู้ค่ะแต่เลิฟยืนยันคำว่าเลิฟไม่ได้ชอบเฮียปั้น อีกอย่างเลิฟไม่อยากมีความรักตอนนี้ เลิฟกลัวเสียการเรียน” ฉันตอบกลับไปตามตรง ไม่รู้สิ สำหรับฉันความรักมันเป็นสิ่งที่ไม่อยากมีไปแล้ว
จริงๆฉันมีอดีตกับความรัก ฉันมันก็เด็กน้อยคนหนึ่งที่เคยแอบรักใครคนหนึ่งแต่มันดันผิดหวังนะสิ ฉันเลยไม่คิดเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ฉันรอแค่ฉันโตพอโตพอที่จะมีความรักอีกครั้งและไม่กลับไปเสียใจเหมือนครั้งก่อน
“งั้นฉันถามอะไรเธอหน่อยสิเลิฟ” เฮียปั้นพูดขึ้นพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ฉัน ตอนนี้ใบหน้าหล่อได้รูปของเขาขยับเข้ามาใกล้ฉันอีกแล้ว ให้ตายแบบนี้หัวใจฉันไม่เคยปกติเลยสักครั้ง
“ว่ามาสิคะ…อย่าใกล้ขนาดนี้สิ” ฉันพูดขึ้นพร้อมกับผลักเขาให้ถอยห่าง
“เวลาฉันอยู่ใกล้เธอแบบนี้ เอาหน้าใกล้เธอแบบนี้ เธอหัวใจเต้นแรงบ้างหรือเปล่า” ไม่เต้นแรงก็แปลก ฉันก็คนนะ มีความรู้สึกเหมือนกัน
“ถามทำไมคะ ใครเอาหน้ามาใกล้แบบนี้ก็ต้องเต้นแรงอยู่แล้วมันตกใจนะ”
“รู้หรือเปล่าว่าทุกครั้งที่ฉันเอาหน้าเข้าไปใกล้เธอ หัวใจเธอมันเต้นดังจนฉันได้ยิน หน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะอาการเขิน” ดะ…เดี๋ยวสิ มันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย
“เฮียปั้นอย่าคิดไปเองสิ เลิฟไม่ได้ชอบเฮียปั้นสักหน่อย” ตอนนี้ก็พูดได้เต็มปากว่าฉันไม่ได้ชอบเขาเพราะฉันไม่ได้ชอบใครง่ายๆ แต่ถ้าถามว่ารู้สึกดีหรือเปล่า อันนี้มันก็ตอบยากนะเพราะเวลามันน้อย ฉันพูดได้ไม่เต็มปากหรอกแต่ถึงอย่างไรตอนนี้เฮียปั้นก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันอยู่ใกล้ด้วยมากที่สุดและถึงฉันซื่อแต่ฉันก็ไม่ได้โง่จนดูไม่ออกหรอกนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ เฮียปั้นน่ะพูดชัดตั้งแต่วันที่ซื้อสร้อยให้ฉันแล้ว
จองเท่ากับจีบ
“งั้นเลิฟถามหน่อยสิแต่เฮียปั้นต้องตอบเลิฟตรงๆนะ”
“ว่ามาสิ”
“เฮียปั้นชอบเลิฟหรอ ไม่ใช่เอ็นดูเลิฟเหมือนน้องสาวหรือไงเพราะเลิฟไปเล่นกับข้าวหอมบ่อยนะ”
❤️