“จองไว้แล้ว” ผมพูดขึ้นทันทีเมื่อมือสวมสร้อยคอให้กับเลิฟโดยที่เธอเป็นคนเลือกมันเอง
“คะ” เธอเอ่ยขึ้นราวกับไม่แน่ใจว่าผมพูดว่าอะไรออกไป
“ฉันบอกว่าฉันจองเธอไว้แล้ว” ผมพูดขึ้นอีกครั้งเพื่อเน้นย้ำกับการกระทำของตัวเอง
“หมายความว่ายังไงคะ” เธอถามขึ้นพร้อมกับหันหน้ากลับมาหาผม
“บอกว่าจองไว้แล้วก็คือจองไว้แล้ว” ผมพูดขึ้นพร้อมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มด้วยท่าทางหงุดหงิดเพราะผมก็มั่นใจว่าตัวของผมพูดชัดเจน
“จองในที่นี้เฮียปั้นหมายถึงอะไรคะ” ให้ตาย...บางครั้งผมก็อยากจะเอาหัวตัวเองโขกกำแพงสักหลายๆที
ผมรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าของผมเป็นเด็กดีเป็นเด็กเรียบร้อยแต่ก็ไม่คิดว่าจะซื่อขนาดนี้
“จองที่หมายถึงว่าตอนนี้เธอเป็นของฉัน ถ้าใครมาจีบก็บอกไปว่ามีผัวแล้ว” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
ถ้าต้องการขยายความแบบตรงๆตามแบบของผม ก็ต้องแบบนี้แหละดูท่าจะชัดเจนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
“อะไรกัน ! เลิฟไปเป็นของเฮียปั้นตอนไหน” คนตัวเล็กโวยวายขึ้นทันที
“ตอนนี้”
หลังจากคิดเงินค่าสร้อยกับพนักงานเรียบร้อย ผมก็พาเธอกลับมาที่รถเพื่อที่จะอธิบายให้เธอได้เข้าใจเพราะใบหน้าสวยมันมีแต่ความสงสัย
“เธอมีอะไรจะถามฉันก็ถามมา” ผมเปิดประเด็นขึ้นทันทีเพราะรู้ดีว่าเธอคงมีคำถามเป็นร้อยเป็นพันอยู่ในหัว
“เฮียปั้นจีบเลิฟหรอ” ก็ไม่ซื่อเท่าไหร่
“เออจีบ ! ที่บอกว่าจองก็คือจีบ” ผมพูดขึ้นทันทีเพราะมันก็คงต้องพูดแบบนี้
“มาจีบเลิฟทำไมคะ”
“เพราะชอบฉันถึงจีบ”
ชัดเจนกว่านี้ไม่มีแล้ว !
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดตอนนี้หรอก แต่แม่ง ! คนแบบเธอก็คงต้องพูดกันตรงๆแบบนี้ ไม่งั้นมีหวังไม่เข้าใจอีกแน่ๆ
“แต่เลิฟไม่ได้ชอบเฮียปั้นนะ” ชอบหรือไม่ชอบผมก็ไม่รู้หรอกแต่ผมมั่นใจแน่ๆว่าผมทำให้เธอชอบผมได้
“ไม่ชอบฉันก็ไม่เป็นไรแต่ฉันคิดว่าฉันสามารถทำให้เธอชอบฉันได้” ผมพูดขึ้นพร้อมกับขยับใบหน้าไปใกล้ๆเธอก่อนจะหอมแก้มเนียนของเธอด้วยความมันเขี้ยว
“หอมเลิฟครั้งที่สองแล้วนะเฮียปั้น” คนตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมกับฟาดมือลงที่ไหล่ของผมอย่างแรง
ให้ตายตัวเล็กแต่มือหนักฉิบ !
หลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังมาได้สักพัก ผมที่ทนความเงียบไม่ไหวก็ถามขึ้น
“มหาวิทยาลัยเปิดวันไหน”
“อาทิตย์หน้าค่ะ” คนตัวเล็กตอบกลับมาอีกครั้งแต่ยังไม่เลิกสนใจโทรศัพท์ในมือและนั่นทำให้ผมคว้าโทรศัพท์ของเธอมาวางไว้ที่เบาะของผม
“ฉันคุยกับเธออยู่ เธอต้องสนใจฉันให้มากกว่าโทรศัพท์” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
ไม่รู้สิ ผมไม่ได้มีเวลาบ่อยๆที่จะได้อยู่กับเธอสองคนแบบนี้เพราะงั้นผมต้องเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแบบนี้ไว้ให้ดี
“แต่นั่นมันของเลิฟนะเฮียปั้น อีกอย่างเลิฟก็ตอบเฮียปั้นแล้ว” คนตัวเล็กโวยวายขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ถึงบ้านแล้วจะคืนให้”
“งั้นเฮียปั้นมีอะไรจะคุยกับเลิฟก็พูดมาเลยค่ะ แล้วรีบขับรถให้ถึงบ้านเลิฟเร็วๆด้วย เลิฟไม่อยากอยู่กับคนนิสัยไม่ดีนานๆ” คนตัวเล็กพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ปากน้อยๆจะเบะลงราวกับตัวยู
“เปิดเรียนแล้วฉันจะไปรับ” ผมพูดขึ้นทันที
“ไม่ไปหรอกค่ะเลิฟไปเองได้ อีกอย่างไม่อยากรบกวนเฮียปั้นด้วย” เธอตอบกลับมาราวกับไม่คิดอะไรสักนิดแต่ช่วยคิดสักหน่อยได้ไหมวะ
“ฉันบอกว่าจะไปรับก็คือไปรับ” ผมเน้นย้ำความต้องการของตัวเองอีกครั้งเพราะถ้าผมจะไป เธอก็ห้ามผมไม่ได้
“รับเลิฟไปส่งมหาวิทยาลัยน่ะหรอ”
“ใช่”
“เฮียปั้นไม่ตื่นหรอกเลิฟรู้ ขนาดข้าวหอมเฮียปั้นยังไม่เคยตื่นไปส่งโรงเรียนเลย นับประสาอะไรกับเลิฟล่ะ”
หึ ! พูดก็พูดเพราะมันเรื่องจริง ผมไม่เคยไปส่งข้าวหอมที่โรงเรียนเลยสักครั้งแต่แล้วไงวะ ในเมื่อตอนนี้ผมอยากไปส่งเธอ
“เพราะข้าวหอมไปเองได้” ผมตอบกลับไป
“เลิฟก็ไปเองได้ค่ะ” ไม่รู้แหละ ถ้าผมจะไปส่งก็คือต้องได้ไปส่ง อาจจะฟังดูเอาแต่ใจแต่ผมก็เอาแต่ใจจริงๆ
“ฉันจะไปรับเธอที่บ้านแล้วจะพาไปส่งมหาวิทยาลัย” ผมพูดขึ้นอีกครั้งโดยครั้งนี้ผมพูดเน้นย้ำให้เธอฟังชัดๆ
“หนู ไป เอง ได้ ค่ะ” คนตัวเล็กตอบกลับมาโดยที่พูดทีละคำช้าๆชัดๆเน้นเสียงให้ผมได้ยินราวกับกลัวว่าผมจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
แสบนัก !
“ฉันบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง”
“ไปส่งข้าวหอมให้ได้ก่อนค่ะ”
“เธอกับข้าวหอมคนละคนกัน ทำไมฉันต้องไปส่งข้าวหอมด้วย” ผมถามกลับไปเพราะที่ผมต้องการไปส่งเธอเพราะผมกำลังจีบเธออยู่
“ข้าวหอมเป็นน้องสาวเฮียปั้น ส่วนเลิฟเป็นแค่เพื่อนสนิทน้องสาวเข้าใจยากตรงไหนคะ”
“เธอเป็นคนที่ฉันชอบ แค่นี้ฉันไปส่งเธอได้ไหม” ผมพูดขึ้นอีกครั้งโดยใช้น้ำเสียงปกติที่ไม่ใส่อารมณ์เหมือนครั้งก่อนๆ เผื่อว่าคนข้างๆจะใจอ่อนลงได้บ้าง
เพราะผมคงไม่ยอมแน่ๆ ถ้าหากรู้ว่าคนตัวเล็กของผมไปมหาวิทยาลัยแล้วไอ้ตัวผู้ตัวไหนมันมองเธอ ที่ผมต้องการเป็นคนไปส่งเธอก็เพราะอยากประกาศให้พวกมันทุกตัวรู้ว่าเธอคนนี้เป็นของผม
“เฮียปั้นพูดไม่รู้เรื่องอะ” คนตัวเล็กพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมมุ่ยหน้าด้วยอาการไม่พอใจ
“เธอนั่นแหละที่พูดไม่รู้เรื่อง แค่ให้ฉันไปส่งมันจะเป็นอะไร” ผมถามขึ้นทันที
“งั้นตอนจะมารับเลิฟ ตอนนั้นต้องมีข้าวหอมนั่งอยู่ในรถด้วยนะ ไม่งั้นเลิฟไม่ไปกับเฮียปั้นแน่ๆ” คนตัวเล็กพูดขึ้นอีกครั้งแต่นี่ไม่ใช่แบบที่ผมคิดเอาไว้
“ฉันจะไปส่งแต่เธอ ยัยข้าวหอมไปเองได้”
“ถ้าแบบนั้นเลิฟก็ไปเองได้ค่ะ”
“เออ ! ก็ได้วะ เดี๋ยวเอาข้าวหอมไปด้วย” สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับแบบที่เธอพูดมาเพราะไม่งั้นคงอดไปส่งเธอกันพอดี
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
เลิฟ
ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อรอเฮียปั้นกับข้าวหอมมารับซึ่งข้าวหอมก็ส่งไลน์มาบอกฉันแล้วว่าอยู่หน้าหมู่บ้านและวันนี้ฉันค่อนข้างตื่นเต้นเพราะมันเป็นวันแรกของการเรียนมหาวิทยาลัยของฉัน
“แกหน้าบานกว่าฉันอีกเลิฟ” ทันทีเมื่อฉันเปิดประตูรถด้านหลังขึ้นก็เห็นข้าวหอมที่นั่งอยู่ก็พูดขึ้น
“หน้าบานอะไรกัน ฉันแค่ตื่นเต้น” ฉันตอบกลับทันทีพร้อมกับจะก้มตัวเข้าไปในรถ
แต่ทว่า…
“มานั่งหน้า / ไปนั่งหน้า” เสียงของสองพี่น้องดังขึ้นพร้อมกันนั่นทำให้ฉันเลิ่กลั่กทันที
“ฉันหรอ” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ถึงในใจจะรู้แล้วว่าที่พูดกันออกมาก็คงหมายถึงฉัน
“มานั่งด้านหน้าถ้าไม่อยากสายวันแรก” เสียงเฮียปั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้ฉันต้องปิดประตูรถด้านหลังมาเปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับทันที
“สวัสดีค่ะเฮียปั้น” ฉันพูดขึ้นเหมือนทุกครั้งที่เจอเพราะเขาแก่กว่าฉัน
“แซนด์วิชของเธอ” เฮียปั้นเอ่ยขึ้นก่อนจะโยนแซนด์วิชมาบนตักของฉัน
“กินได้เลยนะแก ฉันกินไปแล้ว” ตามพร้อมด้วยเสียงของข้าวหอมที่ดังมาจากด้านหลัง
“ฉันกินข้าวแล้วเหมือนกัน คืนนะคะเฮียปั้น” ฉันพูดขึ้นก่อนจะหยิบแซนด์วิชวางไว้ที่ตรงกลางที่เป็นที่ว่าง
“ไม่กินก็ตามใจ” เฮียปั้นพูดขึ้นเสียงเบาๆแต่ฉันที่นั่งด้านหน้าก็ได้ยินอยู่ดี
“เฮียปั้นตื่นเช้ามาทำให้ฉันกับแกเลยนะเลิฟ จะไม่กินหน่อยหรอ” ฉันหันหน้าไปมองข้าวหอมอีกครั้ง
คนอย่างเขานะหรอจะตื่นเช้ามาทำ ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เพราะสมัยเรียนมัธยมข้าวหอมเอาแต่เล่าเรื่องของเฮียปั้นในมุมลบๆให้ฉันฟัง จนฉันคิดว่าเขาคงไม่มีข้อดีอะไรเลยหรอกแต่ผิดคาด
“ทำเองจริงๆหรอคะ” ฉันถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้
“จะกินก็กินอย่าถามเยอะ” เฮียปั้นตอบกลับมา นั่นทำให้ฉันหยิบแซนด์วิชมาแกะเพราะถ้าเขาเป็นคนทำ ฉันก็ขอชิมหน่อยแล้วกันว่ารสชาติมันจะดีแค่ไหน
“อร่อยไหม” เฮียปั้นที่ทำหน้าที่ขับรถถามฉันขึ้นทันที
“อร่อย” ฉันตอบกลับไปทั้งที่แซนด์วิชยังอยู่ในปากเต็มคำเพราะมันอร่อยจริงๆ
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงมหาลัยแล้วก็รีบยัดแซนด์วิชที่เหลือลงท้องก่อนที่รถจะจอดเพราะไม่อยากกินเหลือและเดินไปกินไป
“จำที่บอกได้ไหมข้าวหอม” เฮียปั้นหันไปพูดกับข้าวหอม แน่นอนว่าฉันไม่รู้เรื่องหรอกว่าสองพี่น้องกำลังคุยอะไรกัน
“จำได้ดิเฮีย จะดูแลอย่างดีเลยไม่ต้องห่วง”
“ส่วนเธอ อย่าลืมว่าฉันจองเธอไว้แล้ว” จองที่หมายความว่าจีบนะหรอ
“รู้แล้วแต่อย่าลืมว่าเลิฟไม่ได้ชอบเฮียปั้นนะ” ฉันตอบกลับไปตามตรงเพราะในตอนนี้ฉันยังไม่เคยคิดเรื่องมีแฟนเลย
อีกอย่างเฮียปั้นก็เป็นพี่ชายของข้าวหอม ฉันไม่อยากจะคิดอะไรด้วยนะ
“แกพูดแบบนี้เฮียฉันเสียใจนะเลิฟ” ข้าวหอมพูดขึ้นอีกครั้ง
“ก็ฉันไม่ชอบจริงๆ” ฉันตอบกลับไปตามเพราะคนไม่ชอบจะให้มาชอบได้ยังไงกัน
อีกอย่างฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับการที่เฮียปั้นบอกว่าชอบฉันเพราะฉันไม่เคยรู้มาก่อน พึ่งจะมารู้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนที่เขาซื้อสร้อยให้กับฉัน
แน่นอนว่าฉันค่อนข้างตกใจเพราะฉันไม่เคยคิดเลยว่าเฮียปั้นจะชอบฉันในทางจีบๆเพราะปกติแล้วฉันแทบจะไม่เคยคุยกับเขาเลยแม้กระทั่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ไม่เคยเว้นแต่ตอนทำแผล
“ย้ำจริงๆ ฉันรู้อยู่ว่าเธอไม่ได้ชอบฉันแต่ไม่ต้องย้ำบ่อยก็ได้” เฮียปั้นพูดขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางเซ็งๆ
“อย่าพึ่งลง ข้าวหอมลงไปก่อน” เฮียปั้นพูดขึ้นต่อเมื่อฉันกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
“มีอะไรคะ แบบนี้เลิฟช้านะ” ฉันพูดขึ้นทันทีเมื่อข้าวหอมลงจากรถไปแล้ว
“รู้ใช่ไหมว่าฉันจีบเธอ” เฮียปั้นพูดขึ้นพร้อมมองหน้าฉันอย่างไม่วางตา
“ระ...รู้ค่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างประหม่าเพราะสายตาที่เขามองมามันทำให้ฉันไม่เป็นตัวเอง
“แล้วถ้ามีคนมาจีบเธอต้องทำยังไง” สำหรับฉันถ้าเขามาจีบ ฉันก็คงปฏิเสธเพราะเรื่องความรักไม่เคยอยู่ในหัวของฉัน
“ปฏิเสธไงคะ ปฏิเสธเหมือนที่ปฏิเสธเฮียปั้น” ฉันตอบกลับทันที
หน้าตาของเฮียปั้นตอนนี้แทบจะร้องไห้กับคำพูดของฉันแต่จะให้ทำยังไงล่ะเพราะฉันพูดความจริง
“ถ้ามีคนมาจีบบอกว่ามีผัวแล้ว” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ เมื่อไหร่เขาจะเลิกใช้คำแบบนี้กับฉันสักที มันฟังดูไม่เข้าหูยังไงก็ไม่รู้
“บอกแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะเพราะเลิฟไม่มีใครและที่สำคัญเฮียปั้นอย่าลืมสิเราไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”
“ถ้าฉันเห็นเธออยู่ใกล้ผู้ชายคนไหน ฉันเล่นมันแน่”
“เล่น ?”
“ฉันกระทืบมันแน่”
❤️
กรี๊ด ! อย่ามาโหดกับลูกสาวฉันนะ