รถยนต์คันหรูขับเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าเรือนใหญ่ส่วนตัวของอัศวเมฆินทร์เห็นปาริฉัตรกำลังเตรียมตัวกลับบ้านพอดีจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกวาดสายตามองสภาพบ้านที่เรียบร้อยเกินกว่าจะกล่าวหาได้ว่าเคยเกิดสงครามขึ้นที่นี่ช่วงหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
“หนูปัดจะกลับแล้วเหรอจ๊ะ”
“ค่ะน้าเดือน คนรถมารอลูกปัดได้สักพักแล้ว”
“จ้ะ กลับบ้านดีๆ นะ” บอกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานยกมือขึ้นลูบต้นแขนบอบบางเอ็นดูปาริฉัตรเต็มหัวใจ “แล้วนี่ตาเมฆอยู่ไหนเหรอน้ามีเรื่องอยากคุยกับเขาสักหน่อย”
“คุณเมฆในห้องทำงานค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
ได้คำตอบแล้วคุณเต็มเดือนก็เดินตรงมายังห้องทำงานของอัศวเมฆินทร์ ร้อนอกร้อนใจจนลืมเคาะประตูเปิดเข้าไปเห็นอัศวเมฆินทร์กำลังจ้องดูกรอบรูปอะไรบางอย่างซึ่งพอได้ยินเสียงตนเองมาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับคว่ำหน้ากรอบรูปนั้นลงบนโต๊ะ
“ขอโทษนะจ๊ะพอดีน้ารีบไปหน่อย”
“รีบยังไงก็ต้องเคาะประตูนะครับเพราะนี่เป็นที่ส่วนตัวของผมไม่ใช่ที่เดินเล่นของคนอื่น”
“จ้ะ ต่อไปน้าจะระวังจะเคาะประตูก่อนทุกครั้ง คุณเมฆอย่าโกรธน้าเลยนะคะ” บอกด้วยความเกรงใจท่วมล้นใจ
“ครับ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“ที่น้ามาถึงที่นี่ก็เพื่ออยากถามว่าคุณเมฆได้ทำร้ายหนูสาไหมคะ หน้าผากหนูสาแตกกับตามเนื้อตัวมีรอยแผลถูกของมีคมบาด น้าเจอหนูสาเดินร้องไห้อยู่ข้างถนนเลยพามาทำแผลน่ะค่ะ” ถามเสียงแผ่วเบา กลัวลูกเลี้ยงจะหาว่าตนนั้นใส่ร้ายกล่าวหาว่าเขาทำร้ายวารสา
อัศวเมฆินทร์ถอนหายใจยาวเหยียดติดรำคาญเล็กน้อย “ไม่ได้ทำครับ วารสาซุ่มซ่ามตกบันไดเอง”
“ค่อยโล่งอกหน่อยที่ได้ยินคุณเมฆพูดแบบนี้”
“หมดธุระหรือยังครับ”
“หมดแล้วค่ะ”
ตอบออกไปทันทีอัศวเมฆินทร์ก็หมุนล้อวีลแชร์ออกไปทันที คุณเต็มเดือนค่อนข้างไม่สบายใจที่เห็นลูกเลี้ยงกลับมาประชดชีวิตอีกแล้ว อาการดีขึ้นมากจนเดินเหินได้แม้จะไม่เต็มร้อยนักแต่ช่วงหลังมานี้เขาไม่ยอมเดินทั้งที่เดินเองได้แล้ว กลับมาใช้ชีวิตบนวีลแชร์เหมือนเดิม ไม่อยากคิดไปเองหรอกว่าเป็นเพราะวารสา แต่มันก็ไม่มีอะไรให้คิดแล้วนอกจากประเด็นนี้
คุณเต็มเดือนส่ายศีรษะถอดถอนลมหายใจอย่างปลงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปปริศนามาดู เรียวปากหญิงวัยกลางคนหยักขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิดว่าทั้งหัวใจของอัศวเมฆินทร์ไม่ได้เย็นชาอะไรเลยยังมีวารสาอยู่เต็มหัวใจ!
ท่อนแขนกำยำข้างขวายกขึ้นก่ายหน้าผากคิดย้อนไปถึงแววตาเจ็บปวดของวารสา ใช่ว่าทำให้หล่อนเสียใจแล้วเขาจะมีสุข ตรงข้ามเขาทุกข์จนทรมานไปหมดทั้งหัวใจแต่ก็ปล่อยให้หล่อนกลับเข้ามาในชีวิตไม่ได้เด็ดขาด
เสียงประตูด้านนอกถูกเคาะเขาออกปากอนุญาต
ลุงชมรุดกายเข้ามาในมือถือกระเป๋า
“ขอโทษที่ลุงต้องเข้ามารบกวนนะครับคุณเมฆ เผอิญว่าลุงเห็นกระเป๋าใบนี้ตกอยู่แถวบันไดเตี้ยหน้าตรงชานเรือน คิดว่าน่าจะเป็นของคุณหนูคนนั้นที่พลัดตกบันไดครับ”
“ขอบใจลุงมาก เอาเข้ามาให้ผมแล้วออกไปพักผ่อนได้”
“ครับคุณเมฆ”
ตำแหน่งที่ลุงชิดนำมาวางไว้คือโต๊ะข้างเตียงนอน รอคอยกระทั่งประตูปิดลงอัศวเมฆินทร์ยันกายลุกขึ้นขยับไปหยิบกระเป๋าใบนั้นมาถือวิสาสะเปิดดูก็เห็นว่าข้างในมีโทรศัพท์กระเป๋าเงินเครื่องสำอางรวมถึงเสื้อผ้าอีกสองชุด แล้วแบบนี้วารสาจะไปนอนที่ไหนกินข้าวที่ไหน
อัศวเมฆินทร์ร้อนใจลุกขึ้นเดินไปหยิบโทรศัพท์ของตนเองที่ชาร์จแบตอยู่อีกมุมตั้งใจจะโทรหาคุณเต็มเดือน แต่คิดดูอีกทีไม่โทรดีกว่าหากโทรคุณเต็มเดือนรัวคำถามที่เขาไม่อยากตอบกลับมาก็เป็นได้
อัศวเมฆินทร์วางโทรศัพท์ลงที่เดิมเดินกลับมานั่งลงขอบเตียงหยิบโทรศัพท์วารสามาซอกแซกด้วยความอยากรู้อยากเห็น เช็คดูทุกอย่างตั้งแต่รายชื่อโทรเข้าออก ข้อความ อัลบัมจรดแอพพลิเคชั่นต่างๆ
ไม่มีอะไรทำให้เขาลำบากใจเท่าโปรแกรมสไกป์เพราะวารสาใช้คุยกับชายชาวต่างชาติที่ชื่อแดเนียล!
ไอ้เวรนี่เป็นคนเดียวกันที่เขาเคยเห็นมันบ่อยๆ ในรูปที่ปลายฝนเทียวเอามาฝากให้เขาตาสว่างว่าวารสาตอนไปเรียนปริญญาโทนั้นไม่ซื่อสัตย์ต่อเขาเลยสักนิด
มือหนากำรอบโทรศัพท์แน่นทั้งหึงทั้งหวงทั้งโกรธสะสมปะปนกันจนแยกแยะไม่ถูก
เสียงสวบสาบอะไรบางอย่างดังขึ้นตรงพุ่มหญ้าข้างเรือน เขาหลุดจากภวังค์เดินยังหน้าต่างแอบส่องมองว่าเป็นอะไรพอเห็นร่างเล็กคาดว่าเป็นวารสากำลังก้มๆ เงยๆ หาอะไรบางอย่างก็กลับมาหยิบกระเป๋าแล้วขึ้นนั่งบนวีลแชร์หมุนล้อออกไปด้านนอก
กระเป๋าหายเลยต้องย้อนกลับมาหาถึงหน้าบ้านของคนใจร้าย ก่อนหน้าวารสาเอาแต่เหม่อกับเศร้าเลยไม่ทันรู้ตัวจนกระทั่งท้องร้องอยากหาอะไรรองท้องจะหยิบกระเป๋าสตางค์มาซื้อขนมก็ปรากฏว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของตนเองนั้นมีแค่เสื้อผ้า กระเป๋าเอยโทรศัพท์เอยหายหมด ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเผลอเอาไปวางไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก นึกออกแค่มันอาจจะตกตอนหล่อนตกบันไดลงมาก็ได้ซึ่งตอนนั้นหล่อนเองก็เสียใจจนไม่ได้สนใจอะไร
แผลบนหน้าผากปวดตุบๆ จนต้องยกมือขึ้นซ้ายกอบกุมส่วนมือขวานั้นคอยควานหาในความมืดเผื่อกระเป๋าจะตกอยู่แถวนี้ เนื้อตัวก็เจ็บไปหมดแถมข้อเท้ายังพลิกอีก
ซ้ำร้าย…
ท้องหล่อนก็ขยันร้องประท้วงอยู่นั่น