“สา…”
กระซิบชื่อเดียวที่แม้ยามหลับก็ไม่เคยลืมแผ่วเบา ฉายความเจ็บปวดผ่านทางสายตาส่งต่อไปยังหล่อน ให้หล่อนรู้ว่าตลอดสองปีที่หล่อนมีคนอื่นเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน
กายบอบบางสะอื้นตัวโยน
“ทำแบบนี้ทำไมคะ ทำแบบนี้ทำไม… ไม่รักสาแล้วเหรอคนดี หมดรักแล้วเหรอถึงได้ปันใจไปให้คนอื่น”
“…”
“คุณไม่มีสิทธิ์บุกรุกเข้ามาในบ้านของคนอื่นแบบนี้นะคะ! ออกไปซะก่อนที่ฉันจะโทรฯ แจ้งตำรวจ” ปาริฉัตรข่มขู่ ไม่ยอมให้หญิงสาวแปลกหน้าเข้ามาเหยียบบ้านไปมากกว่านี้ ในใจแอบหวั่นว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดาเพราะสังเกตจากอากัปกิริยาสั่นๆ ของอัศวเมฆินทร์
คำพูดประโยคนั้นไม่ได้ผ่านเข้ามาในสมองคนฟังเลยแม้แต่น้อย สายตาของวารสายังคงจับจ้องไปยังชายคนรักนัยน์ตาไหวระริก เสียใจในอกที่เขาหลบสายตา
“คุณเมฆ…”
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะคะ ลุงชิดคะลุงชิดอยู่แถวนี้หรือเปล่ามาจับผู้บุกรุกออกไปทีค่ะ!!”
“เธอหุบปากไปเลยนะ!”
“คนที่ต้องหุบปากคือเธอนั่นแหละวารสา!”
“คุณเมฆ…”
หล่อนสะอื้นตัวโยนยกสองแขนขึ้นกอดร่างกายหนาวเหน็บของตนเอง คำขับไล่ของเขาเสียดแทงเข้ามาในหัวใจของวารสาจนเจ็บหาอะไรเปรียบไม่ได้ วินาทีเดียวหล่อนเห็นแววตามีชัยในหญิงสาวคนนั้น เป็นแววตาที่น่ารังเกียจเหลือเกิน
วารสาไม่ยอมไปตามคำไล่รุดกายผ่านหน้าหญิงแปลกหน้าเข้าไปหาเขาทรุดกายนั่งลงหน้าวีลแชร์กอดขาเขาไว้แน่น
“ฮือ… สาขอโทษนะคะขอโทษที่ทิ้งคุณเมฆไป”
“พูดตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร!”
มือหนาผลักไสกายบอบบางออกทว่าหล่อนก็กอดแน่น ยื้อแย่งกันนานกระทั่งปาริฉัตรมาผลักไสวารสาออกเขาจึงหลุดพ้น
กายบอบบางนอนคว่ำหน้าลงบนพื้นไม้ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดมองผู้หญิงคนนั้นเข้าไปกอดคนรักของตนเอง เจ็บปวดเหลือเกิน จะมีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการทนมองภาพตรงหน้าไหม… วารสาหลับตานิ่งทิ้งกายลงนอนสะอื้น
หลับตาเพื่อรวบรวมพลังใหม่อีกครั้งและอีกครั้งจนพร้อม หล่อนยันกายลุกขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยดวงตาก้าวร้าว
นาทีนี้วารสาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่สน… แม้กระทั่งเศษแก้วที่เขาทำแตกก่อนหน้าจะบาดตามเนื้อตัวหล่อนจนเลือดซึมเป็นทางยาว ไม่เว้นแม้แต่พวงแก้มนวลข้างขวา
“ออกไปซะ!”
เขาขับไล่อีกครั้ง จับประสานมือกับหญิงแปลกหน้าแน่น
เป็นสัญญาณบอกให้รู้ ให้รู้ว่า… หล่อนมาช้าเกินไป มาช้าทั้งที่เป็นคนมาก่อนผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ
“สาไม่ไป…”
ต่อต้านเสียงโรยราปานใจจะขาดกายสะท้านหนักดั่งนกน้อยปีกหักจะถลากายเข้าไปหาเขาก็ดึงผู้หญิงคนนั้นไปกอดแน่น ทำให้หล่อนได้แค่ยืนมองอย่างเสียใจตรงนี้
ไม่จริง…
คุณเมฆจะรักผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงมันเป็นไปไม่ได้...
วารสาไม่ยอมเชื่อภาพตรงหน้าเดือนสะอื้นไปหยิบเศษแก้วมากรีดปลายนิ้วมือตัวเองจนได้เลือด
“ทำบ้าอะไรสา!!”
วารสายิ้มบางคิดเข้าข้างตนเองว่าเขาห่วงเลยยกปลายนิ้วขึ้นแล้วพูดปนสะอื้นซึ่งเป็นถ้อยคำที่เคยพูดในอดีต
“คุณเมฆเคยบอกว่าจะไม่ยอมให้เลือดสักหยดไหลออกมาจากร่างกายของสา ถ้ามันไหลหนึ่งหยดคุณเมฆจะ…”
“พอได้แล้วเลิกบ้าสักที!!”
“ฮึก…”
“ต่อให้เลือดไหลออกมาจากตัวเธอทั้งหมดฉันก็ไม่สนใจอีกแล้ว ฉะนั้นเลิกบ้าเลิกเรียกร้องความสนใจแบบโง่ๆ ซะที ออกไปให้พ้นหน้าฉัน ออกไปไกลๆ!!”
นัยน์ตาอ่อนหวานพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาเห็นชายคนรักเพียงเลือนราง เท้าบอบบางก้าวถอยอย่างล่องลอย
ไม่จริงใช่ไหม เขาไม่ได้ขับไล่หล่อนจริงๆ ใช่หรือเปล่า มันคือความฝันมันต้องไม่ใช่ความจริง
“คุณหนูลูกปัดเกิดอะไรขึ้นครับ!!”
“ลุงชิดมาพอดี ช่วยพาผู้หญิงคนนี้ออกไปทีค่ะเธอบุกรุกเข้ามา” ได้ทีปาริฉัตรรีบสั่งกร้าว
“ครับ” ลุงชิดตกใจรีบรับคำด้วยการวิ่งเข้าไปจับกุมข้อมือของหญิงปริศนาเผลอกระชากรุนแรงทว่าหล่อนกลับสะบัดทิ้งด้วยความตกใจไม่แพ้กันส่งผลให้กายบอบบางเอนคว้างขว้างไปข้างหลังแล้วตกบันไดจำนวนห้าขั้นลงไปอย่าเร็ว
โป๊ก!!
ได้ยินแค่เสียงนั้นเท่านั้นวารสาร้องไห้ยันกายยากลำบากขึ้นนั่งตรงพื้นหญ้า ร้องไห้สุดเสียงสะอื้นตัวโยนจนต้องยกอุ้งมือขึ้นปิดริมฝีปากเพราะตรงมุมนี้หล่อนมองไม่เห็นใครทั้งนั้น
“คุณ คุณครับลุงไม่ได้ตั้งใจ”
ชายวัยกลางคนวิ่งตาตื่นลงบนไดมาดูอาการพอเห็นหน้าผากหญิงสาวแตกก็สำนึกผิด
“ฮึก…”
“ลุงช่วยนะครับ”
“ไม่ต้อง!”
วารสาตะคอกใส่ไม่ยอมให้ใครแตะเนื้อต้องตัวที่อุตส่าห์ถนอมไว้อย่างดี หยัดยืนลุกขึ้นยืนเองด้วยลำแข้งเพื่อทอดสายตาเจ็บช้ำมองชายคนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดใจหันหลังเดินออกไปโดยไร้ซึ่งคำพูดใด
ผ้าพันแผลสีขาวถูกแปะลงบนหน้าผากนวลเป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อปิดปิดรอยแผล ไม่คิดว่าจะมีคนใจดีทำแผลให้วารสาจึงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ ไม่พูดจาอะไรเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างน้ำตาเอ่อคลอ
แพทย์หญิงศิริโฉมถามอะไรคนเจ็บก็ไม่ตอบเลยหันไปส่ายหน้าให้คุณเต็มเดือน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากที่คุณหมอแวะมาเดี๋ยวฉันจะให้เลขาฯ เดินไปส่งที่รถนะคะ”
“ค่ะคุณเดือน”
“เชิญค่ะ”
ชายิกา เลขาฯ ของคุณเต็มเดือนรุดกายเข้ามาช่วยถือกล่องพยาบาลก่อนเชิญแพทย์หญิงออกไป คล้อยหลังนั้นคุณเต็มเดือนเดินเข้ามาหาวารสา
“หนูสา รู้สึกยังไงบ้างเจ็บแผลตรงหน้าผากหรือแผลต่างอื่นไหม เอ่อ… แล้วหนูไปโดนใครทำร้ายมาเหรอถึงได้เดินร้องไห้อยู่ริมถนน หรือหนูสาไปเจอตาเมฆที่เรือนบนเนินเขามา” เปลี่ยนคำถามเมื่อหญิงสาวไม่ยอมตอบคำถาม สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรอยู่ดีเงียบเก่งเหมือนอัศวเมฆินทร์แท้ๆ เลยเชียว “เอาเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”
“…”
“ตอนนี้ใกล้มืดแล้วหนูสาพักที่นี่แล้วกันนะเดี๋ยวฉันจะเปิดห้องให้” คุณเต็มเดือนบอกต่ออย่างมีน้ำใจ ไม่รังเกียจหรือโกรธวารสาเลยสักนิดเรื่องที่ทิ้งอัศวเมฆินทร์ไปนานกว่าสองปี ไม่โทษว่าวารสาเป็นต้นเหตุทำให้อัศวเมฆินทร์เคยพิการเพราะลูกเลี้ยงตนเองประมาทขับรถเร็วมากเกินไปเองไม่ใช่ความผิดวารสา
“ไม่เป็นไรค่ะ” เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่ม วารสาลุกขึ้นยืนนอบน้อมตรงหน้าคุณเต็มเดือน
“ทำไมล่ะ เกรงใจเหรอ”
“ก่อนหน้าสาเข้าไปจองห้องพักแล้วแต่คนที่นี่ไม่ต้อนรับสา ไม่เป็นไรค่ะสาไปพักที่อื่นก็ได้ ขอบพระคุณคุณเดือนที่เมตตาอุตส่าห์เรียกหมอมาทำแผลให้ สาขอตัวก่อนนะคะ”
“สา หนูสา!”
เดินตามยังไงก็ไม่ทัน เรียกยังไงวารสาก็ไม่ยอมหันกลับมา คุณเต็มเดือนท้อแท้ สงสารจนไม่รู้จะสงสารยังไงเคยเอ็นดูยังไงก็เอ็นดูอย่างนั้นเพราะเคยหมายมั่นว่าวารสาต้องได้มาเป็นสะใภ้ของตระกูลแต่เพราะวารสาเลือกเรียนต่อในสองปีก่อน ทำให้ปาริฉัตรกลับมามีความหวังอีกครั้งทางผู้ใหญ่รุกทวงคำสัญญาที่เคยมีร่วมกับคุณเมฆินทร์ว่าจะให้สองตระกูลเกี่ยวดองกัน
คุณเต็มเดือนก็ไม่รู้จะพูดจะคัดค้านยังไงเพราะคุณเมฆินทร์ก็เสียชีวิตไปนานแล้วไม่รู้ว่าได้สัญญากันจริงแท้หรือเปล่า
แต่พอวันเวลาผ่านไปปาริฉัตรนั้นแสดงให้เห็นว่ารักอัศวเมฆินทร์ด้วยใจจริง คอยดูแลแม้เขาจะพิการเดินไม่ได้ คุณเต็มเดือนจึงเปิดใจรับและเอ็นดูอยากได้ปาริฉัตรมาเป็นสะใภ้ของตระกูลทดแทนวารสา เรื่องราวชักจะอีรุงตุงนังไปกันใหญ่เมื่อวารสาย้อนกลับมาในชีวิตอัศวเมฆินทร์อีกครั้ง
เฮ้อ!!
เป็นคนกลางใครบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ลำบากใจ!