บรรยากาศยามเช้าของหมู่บ้านเล็กๆ คึกคักแน่นขนัดไปด้วยผู้คนกำลังออกมาจับจ่ายซื้อกับข้าวกับปลา กลุ่มคนไม่น้อยต่างส่งเสียงอยู่หน้าร้านขายข้าวแกงประจำหมู่บ้าน บ้างก็ตะโกนสั่งมาจากโต๊ะด้านในร้าน
“เฮ้ยอย่าแซงคิวสิวะ ข้ามาก่อนนะนังยา” หญิงร่างท้วมตะโกนด่าทันทีก่อนจะหันมาบอกเจ้าของร้านที่ชื่อยา เมื่อเห็นว่าตนถูกเอาเปรียบ
“เออๆ ได้เหมือนกันนั่นแหละ เอาไรสั่งมาเร็วๆ” คนชื่อยารีบตัดรำคาญ ก่อนที่จะมีเรื่องกันมากไปกว่านี้ มือก็ยื่นส่งถุงแกงให้กับคนที่เพิ่งจ่ายตังค์ เสร็จก็หันมารับลูกค้าเจ้าปัญหาที่ยืนทำหน้ายักษ์เท้าเอวจ้องมาอย่างเอาเรื่อง
“กูมาก่อนแท้ๆ อีนั่นมันมาทีหลังเอ็งก็เห็นอยู่” ยังบ่นไม่เลิก
“พี่นางเอาอะไรบอกเลย เดี๋ยวผมตักให้ ยามันไม่ทันได้มองน่ะ” ชายเจ้าของร้านที่ยืนคู่กับยาใจผู้เป็นเมียรีบพูดเสียงอ่อนแก้ตัวแทน
“เอาลาบใส่ถุง แล้วก็เอาแกงเนื้อราดข้าวจานหนึ่ง” เมื่อเห็นพ่อค้าเริ่มเสียงอ่อน สีหน้าลูกค้าก็เริ่มดีขึ้น สั่งเสร็จก็เดินเข้าไปนั่งในร้านที่มีโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ วางบริการให้ลูกค้า
“ดา...ดา...นังดาออกมาเก็บจาน” เสียงยาใจหันหน้าตะโกนเข้าไปในบ้าน ก่อนจะมีร่างหญิงสาวผิวขาววิ่งหน้าตื่นออกมาจากข้างใน
“มัวทำอะไรอยู่นังนี่ บอกให้ออกมาช่วยข้างนอกตั้งนานแล้ว” ยาใจบ่นเสียงดัง มือก็ตักแกงใส่ถุงตามคำสั่งลูกค้าแล้วยื่นส่งให้ หางตาก็เหลือบมองในร้านไปด้วย
สาวผิวขาวเจ้าของชื่อดา ก้มหน้าก้มตาเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ถาดสี่เหลี่ยมที่ถือติดมือออกมาด้วย หล่อนจับจานซ้อนๆ กันแล้วหันมาหยิบแก้วน้ำพลาสติกใช้แล้ววางเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะออกแรงยกถาดเดินเร็วๆ กลับเข้าไปหลังร้าน
ไม่นานร่างบางวิ่งกลับออกมาพร้อมผ้าสีหม่นในมือ
“ขอเช็ดโต๊ะค่ะ” เสียงเบาอย่างคนขาดความมั่นใจ เมื่อหลุดคำพูดออกมา ทำเอาลูกค้าที่นั่งรอข้าวราดแกงขมวดคิ้วสงสัยกับท่าทางขลาดกลัวของลูกจ้างคนใหม่
“ไปเอาเด็กจากไหนมานังยา” ส่งเสียงดังถามเจ้าของร้านจนคนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งโหยง
“อ๋อ...นังดาน่ะเหรอ ลูกพี่สาวฉันเองเพิ่งเอามาเมื่อวานจ๊ะพี่นาง ยังตื่นคน” ยาใจหันมามองแล้วรีบตอบส่งๆ ก่อนจะหันกลับไปตักแกงใส่ถุงเมื่อเสียงลูกค้าหน้าร้านเอ่ยเร่ง
“ที่ว่าแม่เพิ่งตายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วใช่ไหม”
“นั่นแหละพี่ ฉันเพิ่งไปรับมา ผู้ใหญ่บ้านเขาจดหมายมาบอก”
“แหม่ หน้าตาผิวพรรณมันใช้ได้ว่ะ แต่ดูมันตื่นๆ อย่างเอ็งว่านะ”
“ใช่พี่ มันไม่เคยเจอคนเยอะ เกิดมาก็อยู่แต่ในหมู่บ้านกับแม่มัน นี่เรียนจบมอหกได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว” ยาใจยังส่งเสียงเล่าต่อ อนงค์นางก็นั่งมองตามหลังของหลานสาวยาใจไม่วางตา สมองกำลังเก็บรายละเอียดเอาไว้ให้มากที่สุด
“แล้วจะให้เรียนต่อไหม อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“โอ้ย จะเอาเงินที่ไหนมาส่งมัน แค่ให้มันมาอยู่ด้วย ฉันกับที่ชอบก็ลำบากจะแย่แล้ว ดีที่มันพอช่วยงานได้แล้วนะ ไม่งั้นฉันไม่เอามาหรอก” ยาใจเสียงดังลั่น เมื่อพูดถึงภาระหนักที่ต้องรับมาดูแล
นี่ถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่จดหมายมาบอก ยาใจคงไม่ดูดำดูดีให้ยุ่งยากแบบนี้หรอก ติดที่น้ำท่วมปากพูดมากไปก็จะหาว่าหล่อนใจดำ อุตส่าห์ออกมาทำมาหากินไกลแบบนี้ ก็ยังมีคนตามมากวนใจ น่าเบื่อจริงๆ
“เอ็งก็เลี้ยงไว้เอาบุญ เด็กมันลำบากมา” อนงค์นางทำทีพูดเสียงใจดี มุมปากแสยะยิ้มทันทีเมื่อยาใจสวนแว๊ดขึ้นมา
“ฉันไม่เอาหรอกบุญน่ะ แค่ค่ารถไปรับมันมา ฉันต้องจ่ายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่...”
“ยา...เบาๆ หน่อย” เสียงนายชอบเตือนเบาๆ เมื่อเห็นว่าเมียเริ่มอารมณ์เสีย ลูกค้าที่ยืนหน้าร้านส่ายหน้าอย่างระอากับความขี้งกของแม่ค้า ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ดีว่ายาใจนั้นขี้เหนียวมากแค่ไหน ปากร้ายก็ไม่มีใครเกิน ยิ่งได้ยินกับหูแบบนี้ยิ่งเอือมกันเข้าไปอีก
ถ้าไม่ติดว่าฝีมือทำอาหารถูกปาก ป่านนี้ยาใจกับนายชอบคงมองหน้าใครไม่ติดเหมือนกัน เพราะความปากร้าย ขี้งก แถมเห็นแก่ตัวของยาใจที่ใครๆ รู้กิตติศัพท์กันดี เพื่อนบ้านบางคนถึงขนาดออกปากถามนายชอบว่าทนอยู่กับผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง แต่คงเป็นเวรกรรมทำกันมาเพราะนายชอบก็ดูจะอยู่กับยาใจได้ไม่เห็นบ่นอะไร หรือเพราะพูดอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้
“อะไรล่ะพี่ชอบ ฉันพูดจริงๆ นี่ แค่กินไปวันๆ เราก็หากันแทบตายแล้ว ยังจะมีนังดาเพิ่มมาอีก ฉันยังโมโหไม่หายที่แม่มันสั่งเสียก่อนตายว่าให้ฉันรับมันมาอยู่ด้วย” ยาใจหันไปตวาดใส่ผัวที่สะกิดเตือนยิกๆ อารมณ์เริ่มเสียขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงตัวภาระ น้ำเสียงห้วนจัดสายตาเขียวปั๊ดตวัดมองเข้าไปในตัวบ้าน ราวกับอยากให้คนด้านในรับรู้
เพล้ง! โครม!
เสียงของตกแตกดังมาจากหลังบ้าน ทำเอาคนกำลังอารมณ์ขึ้นยกมือเท้าเอวหมับ หันขวับ
“นังดา! อะไรอีก อีนี่มันจะล้างผลาญไปถึงไหน” เสียงตวาดแว๊ดๆ ใบหน้าถมึงทึงก้าวฉับๆ เข้าบ้าน เหลือบเห็นไม้กวาดข้างประตูก็ฉวยติดมือไปด้วย
“ยา...” นายชอบพูดได้แค่นั้นเพราะทำอะไรไม่ได้เมื่อเมียหันมาจิกตาใส่ คำพูดห้ามปรามหายลงคอทันที รีบหันมาตักแกงต่ออย่างไม่รู้จะช่วยยังไง ภาวนาในใจอย่าให้เมียลงมือฆ่าใครตายเลย
อยู่กันมานาน นายชอบนั้นรู้นิสัยยาใจดีกว่าใครว่าหล่อนอารมณ์ร้ายแค่ไหน ครั้งหนึ่งหล่อนตากปลาไว้หลังบ้าน มีแมวจรจัดมาคาบไปกิน ยาใจโกรธมาก เดินตามหาจนเจอแล้วทุบไอ้แมวขโมยตัวนั้นซะตายคามือ ภาพนั้นเขายังจำติดตามาจนทุกวันนี้
“โอ้ย! น้ายาพอแล้ว...เจ็บค่ะ” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากหลังบ้าน พร้อมเสียงตุบตับโครมครามไม่ยั้งมือ
“กูบอกให้ระวังๆ แตกหมดเห็นไหม เงินทั้งนั้นอีดา สอนไม่จำ...จำไหม...จำรึยัง” เสียงด่าทอสลับเสียงร้องทรมานดังเป็นระยะๆ ก็ยังไม่มีทีท่าจะลดความดุเดือดลง
ลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าร้านต่างพากันผวาตาม บางคนหน้าเผือดตัวสั่นต้องเดินหนีไม่สนใจกับข้าวหน้าตาน่ากินตรงหน้า
“พี่ชอบ ไม่เข้าไปดูหน่อยเหรอ เดี๋ยวมันตายขึ้นมาทำไง” เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งทนไม่ไหว ยื่นหน้ากระซิบเสียงเบา
“กูไม่อยากโดนหางเลขไปด้วยว่ะ มึงก็รู้ เมียกูมือหนักแค่ไหน” นายชอบทำหน้าขยาด ส่ายหน้าไปมา
เสียงก่นด่ากับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดค่อยๆ เงียบลง ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความวุ่นวายเหมือนทุกวัน ลูกค้าที่ยืนลุ้นอยู่หน้าร้านต่างชะโงกหน้าดูเหตุการณ์ระทึกอย่างหดหู่ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เนื่องจากยาใจนั้นปากร้าย แถมหัวหมอสุดๆ ใครกล้าแหยมเข้ามามีหวังได้ถูกชี้หน้ากราดด่าไม่เว้นหัวหงอกหัวดำ
อนงค์นางที่ยืนมองอยู่ ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดหนักกับเรื่องน่าเวทนาแต่เช้าแบบนี้
สังคมบ้านนอกห่างไกลความเจริญ ใครก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างจำใจ
คนอยากช่วยมีเยอะแต่ถ้าต้องหมดเวลามากมายเข้าไปแจ้งตำรวจในตัวเมืองที่ต้องใช้เวลาเกือบหมดวันกว่าจะไปถึง ต่างก็ถอดใจปล่อยให้คนในครอบครัวจัดการกันเอง
สงสารก็แต่หญิงสาวเคราะห์ร้ายที่ต้องมาพบเจอกับมนุษย์ใจยักษ์อย่างยาใจ ระหว่างระเหเร่ร่อนไม่มีญาติพี่น้องกับญาติเพียงคนเดียวอย่างยาใจ อนงค์นางเลือกอย่างแรกดีกว่า