บทที่ 1

1112 คำ
หลังจากระลึกชาติได้ ครั้นจะกลับไปนอนต่อก็นอนไม่หลับ เลี่ยงหรงจึงทำได้แค่นั่งเฝ้ามองดวงจันทราทั้งสองที่ค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย จนกระทั่งฟ้าสว่างแล้วนางจึงออกมาจากต้นท้อสวรรค์ทองคำที่อาศัยอยู่มานับหมื่นปี เมื่อเห็นสภาพภายนอกของต้นท้อจากที่สูงก็สะท้อนใจ ต้นท้อสวรรค์ทองคำที่เคยงดงามในความทรงจำได้หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงสังขารโรยรา แม้แต่รากก็ถูกไอมารกัดกินจนแทบไม่เหลือพลังในการชำระล้าง เมื่อเลี่ยงหรงแยกตัวออกมาแล้ว ต้นท้อจึงค่อยๆ สลายกลายเป็นเถ้า “โชคดีที่พลังของข้าไม่ได้ลดลง” เสียงหวานใสกล่าว จากนั้นแบมือ และเรียกเสกผลท้อออกมาจากพลังของตัวเอง นางกัดกินเพื่อประทังความหิว ร่างอรชรเคลื่อนตัวลอยออกไปเพื่อสำรวจพื้นที่รอบกาย จำไม่ได้แล้วว่าหลับไปนานเท่าใด แต่ที่ยังมั่นใจว่าเรื่องราวในนิยายยังไม่ได้เริ่มขึ้น เป็นเพราะว่าป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังไม่ถูกพญามารรุกราน สัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ต่างๆ ดูเหมือนจะยังอาศัยอย่างสุขสงบไร้กังวล แม้แต่ดินแดนทระนง ซึ่งเป็นเขตปกครองของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ใกล้กับป่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นสีเขียว มิใช่ทะเลเพลิงอย่างที่ระลึกได้ หลังจากสำรวจเสร็จแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก “ยังไม่เกิดขึ้นจริงๆ ด้วย หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ยังพอมีเวลาเอาตัวรอด!” เลี่ยงหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นใช้วิชาเหยียบเมฆาเหาะไปยังประตูลับแดนเทวโลก นางไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้ก็จริง แต่เพราะเคยเห็นมันในความทรงจำ จึงเสี่ยงดวงลองมาตรวจสอบดู นี่คือประตูลับที่เทพบุปผาหลีฮวาใช้เป็นทางผ่านหนีไปเที่ยวยังดินแดนปุถุชน ก่อนจะถูกพญามารจื่อเหยียนพบเข้า และถูกลักพาตัวไปนั่นเอง มือเล็กแตะลงบนแผ่นหินหน้าประตู จากนั้นใช้พลังปราณบริสุทธิ์ออกคำสั่ง “จงเปิดออก!” ครึก... อากาศตรงหน้าค่อยๆ แยกออก และประตูลับแง้มเปิดอย่างเชื่องช้า เลี่ยงหรงมองภาพอัศจรรย์ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าขาวเหลือบมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดจึงหลับตา และกระโดดเข้าไปในประตูลับทันที เมื่อเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าที่เห็นกลับยิ่งทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว นี่หรือคือดินแดนเทวโลก! ช่างงดงามและสว่างไสวจนตาพร่า เหล่าเทพเซียนที่เดินผ่านหน้าต่างสวมใส่อาภรณ์งดงาม โดยเฉพาะเซียนสตรีที่มีเครื่องประดับเป็นดอกสาลี่อย่างน้อยคนละชิ้น ด้วยความสงสัย เลี่ยงหรงจึงใช้วิชาพรางกายปกปิดเส้นผมยาวสลวยและดวงตาสีทองโดดเด่นให้กลายเป็นสีนิลเหมือนเซียนทั่วไป จากนั้นลอบเดินเข้าไปในงานเลี้ยงน้ำชาซึ่งจัดอยู่ในสวนบุปผา ไม่สิ...จัดอยู่ในสวนสาลี่ต่างหาก โดยนางคาดว่างานเลี้ยงนี้คงจะเป็นงานของท่านเทพหลีฮวาเป็นแน่ แต่เพื่อความมั่นใจ เลี่ยงหรงจึงแฝงตัวเข้าไปในวงสนทนา และยืนฟังเหล่าเซียนสตรีกำลังเอ่ยถึงเจ้าของงานเลี้ยงบุปผานี้อย่างแนบเนียน “งานบุปผาครั้งนี้เทพหลีฮวาเป็นผู้จัดด้วยตัวเอง พวกท่านไม่คิดว่าดูข้ามหน้าข้ามตาจักรพรรดินีจันทราบ้างหรือ ถึงแม้ว่านางจะเป็นคู่หมายของ องค์รัชทายาท แต่เป็นเพียงเทพชั้นต้นเท่านั้น ไม่ใช่เทพชั้นสูงอย่างท่านเทพจันทรา กลับกล้ากระทำการใหญ่เช่นนี้ ช่างไม่เจียมตัวเสียเลย” เซียนสาวผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม รอบข้างก็มีเซียนสตรีอีกหลายคนคอยผสมโรงเห็นด้วย สิ่งที่ได้ยินทำให้เลี่ยงหรงประหลาดใจเล็กน้อย เพราะถ้อยคำเหล่านี้ขัดกับในหนังสือที่เคยอ่าน ในนิยายเทพหลีฮวาแม้ยังไม่ได้เป็นเทพชั้นสูง แต่ก็เป็นที่รักของเหล่าเซียน นอกจากจะมีชื่อเสียงด้านการควบคุมบุปผาแล้ว ยังอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าเทพธิดาบุปผาแห่งเทวโลกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ใดกล้านินทานางอย่างออกรสถึงถิ่นเช่นนี้ เลี่ยงหรงส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความระอา หลังจากรับฟังคำนินทาว่าร้าย แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือนางเอกของเรื่องได้ ส่วนหนึ่งที่ไม่ทำก็เป็นเพราะว่านางยังรักชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเทพคนดังในเทวโลกทั้งหลาย หรือเทพมารในปรโลกที่ยังไม่ได้พบเจอ นางก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว ในโรงละครใหญ่โรงนี้ นางขอเป็นคนนอกเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็พอ เว้นเสียแต่จะมีคนใกล้ตายนอนอยู่ตรงหน้า เมื่อถึงตอนนั้นค่อยช่วย...ก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง ร่างอรชรเหาะวนหาที่นั่งพักอย่างสงบ ต้องรับรู้เรื่องราวหลายอย่างในเวลาอันสั้น ทั้งร่างกายและจิตใจจึงอ่อนล้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางยังไม่คุ้นชินกับอากาศในเทวโลกสักเท่าใดนัก จึงหายใจได้ไม่เต็มปอด ไม่เหมือนในป่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเต็มไปด้วยพฤกษาชั้นเซียนที่คอยชำระปราณขุ่น และปล่อยอากาศอันแฝงไปด้วยพลังบริสุทธิ์ออกมา แต่น่าเสียดายที่ป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นจะถูกทำลายทันทีเมื่อ ‘เรื่องราว’ เริ่มต้นขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เทพหลีฮวาจะหนีออกไปท่องเที่ยวในดินแดนปุถุชน ซึ่งต่อจากนั้นก็จะได้พบกับพญามารจื่อเหยียนที่อยู่ในสภาพปางตาย ถ้าหากวันนั้นนางเอกของเรื่องไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยรักษา จื่อเหยียนคงไม่เกิดความรู้สึกทั้งเจ็ด จนถูกพลังชั่วร้ายในขุมนรกครอบงำจิตใจ ก่อสงครามกับเทวโลกเพื่อทวงคืนนางผู้เป็นที่รัก แม้สุดท้ายก็เสียท่าให้กับองค์รัชทายาทแห่งสวรรค์ก็ตาม นึกถึงฉากนี้เลี่ยงหรงแล้วก็อดเห็นใจพญามารไม่ได้ อยู่ๆ ก็กลายเป็นตัวร้ายเพื่อพิสูจน์ความรักของเทพทั้งสอง แถมการพิสูจน์ที่ว่านั่นก็ทำสามภพถึงกับปั่นป่วน “เฮ้อ...” เลี่ยงหรงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นเสกผลท้อสวรรค์ทองคำออกมากินแก้เบื่อ “ท่านเทพขอรับ ผลท้อลูกนั้นช่างน่าอร่อยเหลือเกิน” เสียงเล็กๆ ของเซียนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้เลี่ยงหรงเงยหน้ามองบุคคลตรงหน้าด้วยความสงสัย จากนั้นยกผลท้อของเขาขึ้นมาตรงหน้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม