(องก์ที่ ๑) บทนำ
“ลี่เหนียน พรุ่งนี้วันเกิดของฉัน เราไปดูหนังกันเถอะ” เลี่ยงหรงเอ่ยขณะเดินจูงจักรยานมาหยุดที่ทางข้ามถนน และยืนรอสัญญาณจราจร
ดวงตากลมโตสีเข้มเหลือบมองสัญญาณไฟ เมื่อเห็นว่าเป็นสีเขียวจึงก้าวลงถนนทันที
[ขอโทษนะเลี่ยงหรง พรุ่งนี้ฉันเข้าเวรน่ะ เอาไว้คืนนี้ฉันจะซื้อเค้กไปฝากนะ บอกคุณป้าด้วยว่าฉันอยากกินไก่ทอด!]
เลี่ยงหรงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู เนื่องจากลี่เหนียนเป็นเพื่อนสนิทที่เหมือนพี่น้องคลานตามกันมา เธอจึงไม่ได้ถือสาหาความ อีกอย่างคนเป็นหมออย่างไรก็ต้องยุ่งกว่าพนักงานบริษัทเล็กๆ อย่างเธออยู่แล้ว
“ได้สิ ฉันจะบอกแม่ให้ อย่าผิดนัดก็แล้วกัน แล้วก็เอานิยายมาคืนฉันได้แล้ว ฉันยังอ่านไม่จบเลยนะ”
[ฮ่าๆๆ โอเคๆ ฉันไม่ลืมหรอกน่า]
ปึง!!
ร่างของเลี่ยงหรงกระเด็นออกไปไกลจากจุดเดิมหลายเมตร เมื่อถูกรถบรรทุกคันหนึ่งเบรกแตกชนเข้าระหว่างทาง ร่างเล็กตกกระทบพื้นและกลิ้งไปหลายตลบและสิ้นใจทันที
[เลี่ยงหรง! เกิดอะไรขึ้น! เลี่ยงหรง! เลี่ยงหรง!]
เฮือก!!!
เปลือกตาบางพลันเปิดกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนกจากฝันร้าย นัยน์ตาสีทองสุกสว่างสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เพราะยังจำภาพติดตานั้นได้ดี
ภาพรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาชน ทำให้ร่างเล็กๆ นั้นลอยกระเด็นไม่ต่างจากผักปลา อีกทั้งยังความรู้สึกที่เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ราวกับเป็นเรื่องจริง...
“ข้า...ตายหรือ...” เลี่ยงหรงพึมพำก่อนจะยกฝ่ามือเล็กขาวซีดขึ้นมาดู จากนั้นจึงกวาดสายตามองรอบข้างอย่างเป็นกังวลเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเพียงฝัน
ขณะนี้เลี่ยงหรงอาศัยอยู่ภายในโพรงของต้นไม้ใหญ่ หากมองออกไปด้านนอกจะพบว่าต้นไม้ต้นนี้นั้นตั้งตระหง่านอยู่ในป่าท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจากจันทราและดาราระยิบระยับบนท้องนภาเท่านั้นที่ให้แสงส่องสว่าง
นางตรวจสอบสิ่งที่อยู่รอบกายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ภาพความทรงจำต่างๆ ในชีวิตเดิมจะไหลย้อนกลับคืนมาอย่างฉับพลันราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก เริ่มตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งถึงช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต
“นิยาย...อึก!” นางกุมศีรษะที่ปวดร้าว ก่อนก้าวลงจากเตียงไม้เล็กๆ จากนั้นก็ต้องตกใจกับเส้นผมยาวสยายสีทองซึ่งไม่ใช่สีผมเดิม แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับมาสงบใจได้ดังเดิม จากนั้นจึงนั่งทบทวนความทรงจำ
“นี่คือความทรงจำในชาติก่อนของข้าสินะ” นางพึมพำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์สองดวงที่แข่งกันส่องสว่างอยู่เบื้องบน “ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นแดนเทวโลกที่อยู่ในนิยายอย่างนั้นหรือ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าตัวข้าเคยมีอยู่ในนิยาย” นางกล่าวกับตัวเองด้วยความสับสน พลางเหลือบมองเกศาสีทองสว่างด้วยความสงสัยว่าตัวเขาของนางคือผู้ใดกันแน่
เลี่ยงหรงนึกย้อนความเป็นมาทั้งหมดอย่างถ้วนถี่ ก่อนที่ความทรงจำจะกระจ่างชัดขึ้นมาในที่สุด และทำให้รู้ว่านางคือใคร
นางคือเซียนประจำต้นท้อสวรรค์ทองคำมีนามว่าเลี่ยงหรง หน้าที่ของนางมีเพียงอย่างเดียว คือรักษาเยียวยาผู้บาดเจ็บที่มาขอความช่วยเหลือเท่านั้น
ทว่าตลอดหลายหมื่นปีนั้นมีแต่ผู้รับ กลับมิเคยมีผู้ให้ ต้นท้อสวรรค์ทองคำต้นนี้จึงมิเคยได้รับการดูแลจนกระทั่งใบของมันเหี่ยวเฉาร่วงโรย มิเคยผลิดอกออกผลอีกเลยสักครั้ง จึงทำให้พลังเซียนของเลี่ยงหรงอ่อนแอลง นับแต่นั้นก็หลับใหลอยู่ภายในต้นไม้ต้นนี้ จนกระทั่งลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองระลึกชาติได้
นอกจากระลึกชาติได้แล้ว ยังรู้อนาคตอีกด้วย!
ที่มั่นใจว่าในโลกแห่งนี้คือโลกในนิยายเป็นเพราะว่ารู้จักสองคนนี้อย่างไรเล่า คนแรกคือรัชทายาทแห่งสวรรค์เกาหยาง พระเอกที่ยอมทำทุกอย่าง กระทั่งทำลายแท่นประหารเซียนเพื่อช่วยสตรีผู้เป็นที่รักอย่างเทพบุปผาหลีฮวา นางเอกของเรื่อง ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้มีอยู่จริง เพียงแต่ทั้งคู่ยังมิได้รักกันเนื่องจากยังไม่ถึงเวลานั้น ส่วนตัวร้ายอย่างพญามารจื่อเหยียน จักรพรรดิเทพมารผู้ปกครองดินแดนปรโลก ขณะนี้ก็ยังมิได้ตกหลุมรักเทพหลีฮวาเช่นกัน
ดูเหมือนว่าสงครามระหว่างเทพกับมารจะยังไม่เกิดขึ้นเพราะตัวละครหลักทั้งสามยังไม่ได้พานพบกัน น่าเสียดายที่อ่านถึงช่วงที่จักรพรรดิมารกำลังเพลี่ยงพล้ำให้แก่องค์รัชทายาทเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าบทสรุปของนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างไร
หากไม่ถูกรถชนตายกลางถนนไปเสียก่อน ก็คงได้อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมด น่าเสียดายจริงๆ
แต่รู้อนาคตได้ถึงขนาดนั้นก็นับว่าดีมากแล้ว เรื่องเหล่านี้ต่อให้เป็นเทพชะตาก็คงมิอาจล่วงรู้ได้เพราะเป็นความลับสวรรค์ หวังว่านางคงไม่ถูกลงโทษเนื่องจากแอบไปรู้เรื่องราวเหล่านั้นเข้า สวรรค์ต่างหากที่เลินเล่อ มิใช่ความผิดของนางสักหน่อย
“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี ข้ายังไม่อยากตายอีกรอบ”
หากตายไปอีกครั้งอาจจะยังอยู่ในวัฏสงสาร แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่แสนปีถึงจะได้เกิดใหม่อีกครั้ง แล้วนางก็ยังใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
เลี่ยงหรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเงยหน้ามองจันทราทั้งสองดวงด้วยสายตาเว้าวอน
สวรรค์ ข้ายังไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพื่อสังเวยแด่ความรักของผู้อื่น ท่านได้ยินคำร้องขอของข้าหรือไม่!