พอฟังคำพูดของลูกสะใภ้ หนิงหงชุนก็คิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อนึกถึงปัญหาที่ฟางหลู่เฉินต้องเจอต่อจากนี้กับทางบ้านฟาง เธอก็อดที่จะหวงไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วอาเฉินจะไม่มีปัญหาเหรอ” เธอถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“มีปัญหาก็ดีเหมือนกันครับน้าหงชุน ผมก็อยากจะออกมาจากบ้านฟางเต็มทีแล้วเหมือนกัน ตอนแรกมีสหายมาชวนไปทำงานต่างเมือง แต่เพราะยังเป็นห่วงเจียวเหมย ผมเลยยังไม่คิดจะไปไหน แต่ตอนนี้ในเมื่อน้องมีลู่ทางทำมาหากิน ผมเป็นพี่ชายก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือน้องครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับตามความรู้สึกของเขาจริงๆ หากไม่ติดที่คอยเป็นห่วงน้องสาว เขาคงตามสหายไปทำงานต่างเมืองแล้วเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรอยู่บ้านฟางเขาก็แทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากนะคะพี่ใหญ่ ที่ทำเพื่อน้องสาวที่ไม่เอาไหนและแสนร้ายกาจคนนี้มาตลอด ต่อจากนี้ไปฉันสัญญาเลยค่ะว่าจะไม่ทำให้พี่หนักใจหรือต้องเป็นห่วงอีก ขอแค่บ้านสามหลี่ตัดขาดจากบ้านหลี่ได้ พวกเรา
ทุกคนก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันเถอะ ที่นั่นมีลู่ทางให้พวกเราทำมาหากินเยอะแยะเลยล่ะ” ฟางเจียวเหมยตอบกลับพี่ชายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าเธอจะพาทุกคนไปพบเจอแต่สิ่งดี ๆ
หลังจากจบเรื่องกับบ้านใหญ่ ฟางเจียวเหมยและทุกคนจึงกิน
มื้อเย็นกันต่อ เมื่อจบมื้อเย็นแล้วฟางหลู่เฉินเอาจานชามไปช่วยล้างที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน ก่อนจะขอตัวกลับบ้านฟางด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
ส่วนฟางเจียวเหมยและคนบ้านสามต่างก็ช่วยกับเก็บของเข้าห้อง ก่อนจะรออาบน้ำต่อจากบ้านใหญ่และบ้านรอง จากนั้นก็เข้านอนพักผ่อน
กลับมาทางบ้านฟาง เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วฟางหลู่เฉินยังไม่กลับ ลู่เจียเม่ยก็บ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เพราะเธอรอใช้แรงงานเขาอยู่
“ลูกชายพี่หายไปไหน ไม่รู้หรือไงว่าฟืนบ้านเราใกล้จะหมดแล้ว”
“เธอก็จะอะไรกับลูกมากมาย อาเฉินนี้ก็โตแล้วนะ ความจริงแล้วควรจะหาภรรยาให้ได้แล้ว แต่เพราะบ้านเราจนอย่างไรล่ะเลยไม่มีใครอยาก จะแต่งเข้ามา”
ฟางควนนั่งสูบยาสูบอยู่ก็อดที่จะพูดสวนขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้ลูกชายคนโตก็อายุเกินวัยที่จะแต่งงานแล้ว แต่กลับยังไม่มีภรรยา จนลืมไปว่าเพราะเขานั่นแหละที่ไม่คิดจะสนใจหาภรรยาให้ลูกชายต่างหาก ไม่เกี่ยวกับว่าบ้านจะจนหรือไม่
“เอ๊ะ นี่พี่กำลังเข้าข้างลูกพี่อยู่อย่างนั้นเหรอพี่ฟางควน ฉันแต่งงานเข้าบ้านฟางมาก็อยากจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดี แต่พี่จะให้ฉันไปบังคับลูกสาวบ้านอื่นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสตรีใดอยากแต่งเข้าบ้านฟาง พี่จะให้ฉันทำอย่างไร” ลู่เจียเม่ยพูดขึ้นมาคล้ายกับจะแก้ต่างกับสามี ว่าทั้งหมดไม่ใช่ความผิด
ของเธอ
“ช่างเถอะ ถึงเวลาอาเฉินก็คงมีภรรยาเองนั่นแหละ ว่าแต่อาเซียนยังไม่กลับมาอีกเหรอ” เขาคร้านจะเถียงกับภรรยา จึงเอ่ยถามถึงลูกเลี้ยงขึ้นมาเพราะไม่เห็นหญิงสาวอยู่ภายในบ้าน
“คงไปบ้านสหายนั่นแหละพี่ เดี๋ยวก็คงกลับมา พี่หิวหรือยัง จะไปกินมื้อเย็นก่อนไหม” ลู่เจียเม่ยไม่อยากให้สามีตำหนิลูกสาวตนเอง จึงหาเรื่องเบี่ยงเบนด้วยการชวนเขาไปกินมื้อเย็นแทน
“อืม หิวแล้วเหมือนกัน สองคนนั้นเดี๋ยวพอกลับมาค่อยหากินกันเอง เธอกับฉันไปกินกันก่อนเถอะ” พูดจบฟางควนก็ดับยาสูบและลุกขึ้นเดินไปยังห้องโถงที่ภรรยาเตรียมอาหารรอไว้เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งกินอาหารอยู่นั้น ฟางหลู่เฉิน
เดินกลับเข้ามาพอดี พร้อมกับถุงใส่เสื้อผ้าที่น้องสาวให้มา
ชายหนุ่มกำลังจะเดินไปที่ห้องของตนเอง แต่กลับโดนแม่เลี้ยงอย่างลู่เจียเม่ยเรียกไว้เสียก่อน เพราะหล่อนนั้นเห็นถุงใส่ของที่ลูกเลี้ยงถือมา
“เดี๋ยวก่อนสิอาเฉิน นั่นถุงอะไร กลับบ้านก็เย็น ไม่ใช่ว่าแอบเอาเงินที่ควรจะนำเข้ากองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวหรอกนะ” ลู่เจียเม่ยถามออกไปพร้อมกับจ้องถุงในมือของลูกเลี้ยงไม่วางตา
“แล้วยังไงครับ ต่อให้ผมเอาเงินในกองกลางไปซื้อ แต่ว่านั่นก็เงินที่ผมหามาไม่ใช่เหรอครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชั่วพอที่จะเอาเงินกองกลางไปซื้อของส่วนตัวหรอกครับ เสื้อผ้าในถุงนี้เจียวเหมยเป็นคนซื้อให้ น้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฟางหลู่เฉินตอบกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า เพราะคนที่เอาเงินกองกลางไปใช้ส่วนตัวก็มีแต่คนที่ถามเขาอยู่นี่แหละ
ต่อให้ไม่อยากจะทะเลาะด้วย แต่ครั้งนี้เพื่อต้องการทำตามแผนของน้องสาว ชายหนุ่มจึงยอมที่จะปะทะฝีปากกับแม่เลี้ยง
“เอ๊ะ นี่เธอกำลังว่าฉันอยู่เหรอ ฉันก็แค่สงสัยเลยถาม หรือเธอคิดว่าฉันและลูกสาวเอาเงินกองกลางไปใช้อย่างอื่น ว่าแต่เจียวเหมยเอาเงินที่ไหนไปซื้อ” ลู่เจียเม่ยร้อนตัวทันที เพราะหล่อนเอาเงินกองกลางไปซื้อของใช้ส่วนตัวให้ตนเองและลูกสาวจริง ๆ
“น้าไม่รู้เหรอครับ ว่าแม่พวกเราก็มีเงินเหมือนกัน ตอนที่เจียวเหมยแต่งงาน ผมก็เอาสินเดิมของแม่ให้ไปเป็นสินเดิมของน้อง วันนี้น้องเห็นเสื้อผ้าลดราคาก็เลยซื้อมาให้ผมและคนบ้านสามหลี่” ชายหนุ่มพูดตามที่นัดแนะกับน้องสาวทุกอย่าง ในขณะที่พูดนั้นมุมปากก็กระตุกรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของแม่เลี้ยงดูตกใจที่แม่มีสินเดิมทิ้งไว้ให้เขาและน้องสาว
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะคะพี่ฟางควน แล้วทำไมจะต้องให้สินเดิมไปทั้งหมดด้วย” หลังจากได้ยินว่าลูกเลี้ยงมี
สินเดิมจากแม่ทิ้งไว้ให้ หล่อนจึงหันมาทำเสียงไม่พอใจใส่สามี หากรู้ก่อนหน้านี้หล่อนคงยึดเอาของพวกนั้นมาไว้เป็นของตัวเองแล้วล่ะ
“ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เลยไม่ได้บอก อีกอย่างลูกทั้งสองก็เติบโตแล้ว น่าจะเก็บสินเดิมของแม่ตัวเองไว้ได้ และเมื่อเจียวเหมยแต่งงานก็ควรจะได้สินเดิมของแม่ไปก็ถูกต้องแล้วนี่”
ฟางควนไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะลูกทั้งสองคนก็โตพอที่จะเก็บทรัพย์สินของแม่ไว้เองได้ เขาเลยไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ โดยปล่อยให้สองพี่น้องจัดการเอาเอง
หลังจากตอบภรรยาแล้ว เขาก็หันมาต่อว่าลูกชายคนโตที่ดูจะไม่มีความเคารพต่อแม่เลี้ยงเลย
“แกก็เหมือนกันอาเฉิน หัดพูดจาดี ๆ กับน้าเจียเม่ยหน่อยเถอะ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดไม่ต้องจากันเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
แม้จะรู้สึกปวดหัวใจที่ไม่สามารถฉกชิงสินเดิมของสองพี่น้องมาได้ แต่ลู่เจียเม่ยก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ที่สามีเข้าข้างตนเองและหันไปตำหนิลูกชายแทน
“ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่คิดจะแวะพูดด้วยอยู่แล้วนะครับพ่อ แต่ภรรยาของพ่อกลับเรียกผมไว้ ถ้าไม่อยากให้ผมพูดจาแบบนี้อีก ก็อย่าเรียกสิครับ ขอตัวก่อนนะครับพ่อ” พูดจบฟางหลู่เฉินก็เดินหนีไปยังห้องของตัวเองทันที
“ดูลูกชายพี่ทำกิริยาต่อฉันสิคะ ฉันแต่งเข้าบ้านฟางมาก็หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน ฉันก็ไม่เป็นที่เคารพของลูกพี่ทั้งสองคน” ลู่เจียเม่ยได้ทีก็ฟ้องสามีทันที เธอทำเหมือนตัวเองเป็นแม่เลี้ยงที่ถูกลูกสามีรังแก
“เธอก็ใจเย็นหน่อยเถอะ เดี๋ยวสักวันอาเฉินคงจะดีขึ้น” ฟางควนไม่พูดอะไรต่อ และก้มหน้าก้มตากินอาหารทันที
เช้าวันต่อมา…
ฟ้ายังไม่ทันสว่างสักเท่าไหร่ ฟางเจียวเหมยก็ตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมให้แม่และน้องสามี รวมถึงลูกน้อยทั้งสองคน ทำให้กลิ่นอาหารก็ตลบอบอวลลอยไปทางบ้านใหญ่เหมือนเดิม
หลังจากทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็หลบเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ครัว ก่อนจะเข้ามิติไปอาบน้ำชำระร่างกาย และออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นจึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้เรียบร้อยแล้วเรียกแม่และน้องสามีออกมากิน
ส่วนตัวเธอนั้นต้มน้ำและไปตักน้ำมาใส่อ่างเล็กเพื่อผสมกับน้ำร้อน ทำเป็นน้ำอาบให้ลูกทั้งสองคนอย่างเอาใจใส่
“พี่สะใภ้ ข้าวต้มแบบนี้กินได้เหรอคะ”
เด็กสาวมองไปยังหม้อใบเล็ก เห็นว่าในนั้นมีข้าวต้มผสมกับผักหั่นเต๋าหลายชนิดรวมถึงตับหมูที่หั่นเป็นเต๋าแล้วเหมือนกัน เลยไม่เข้าใจว่าหลานตัวน้อยจะเคี้ยวข้าวพวกนี้ไปได้อย่างไร