“แล้วมันผิดตรงไหนคะ ในเมื่อพี่ใหญ่คือพี่ชายฉัน ส่วนบ้านใหญ่มีสายเลือดของฉันหรือเปล่า ถึงได้มาเรียกร้องอย่างกับ...” ประโยคสุดท้าย ฟางเจียวเหมยเลือกที่จะไม่พูด แต่ให้คนบ้านใหญ่คิดเอาเอง
“นี่แกกล้าด่าย่าสามีเหรอนังเจียวเหมย อีกอย่าง แกแต่งเข้าบ้านหลี่ ของทุกอย่างย่อมต้องเป็นของบ้านหลี่สิ มันไม่เกี่ยวอะไรกับบ้านเดิม หากจะชวนคนอื่นกินอาหาร หล่อนต้องชวนบ้านใหญ่ก่อนสิ นี่อะไรกลับชวนบ้านเดิมของตัวเองมากินโดยไม่ชวนบ้านใหญ่ แบบนี้มันถูกต้องที่ไหนกัน” ซ่งเจียฮุยตอบด้วยความโกรธจัด เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายด่าตนเองและบ้านใหญ่
“ฉันด่าย่าตรงไหนป้าสะใภ้ช่วยบอกหน่อยสิ แล้วการที่ฉันแต่งเข้าบ้านสามหลี่ก็ใช่ว่าของฉันที่นำติดตัวมาจะต้องให้บ้านหลี่ทั้งหมด ฉันใช้เงินจากสินเดิมของตัวเองซื้ออาหารและข้าวของมาให้ใครมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน บ้านใหญ่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” ฟางเจียวเหมยย้อนกลับอย่างไม่เกรงกลัว อย่างไรร่างนี้ก็คือสะใภ้ที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจอยู่แล้ว หากจะด่ากลับพวกเห็นแก่ตัวคงไม่แปลกอะไรเหมือนกัน
เมื่อเจอคำตอบนี้ คนบ้านใหญ่ก็ถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้เพราะต้องการอาหารพวกนี้กลับไปกินให้ได้
“แต่ถึงอย่างไรเธอแต่งก็เข้าบ้านหลี่ อีกทั้งบ้านหลี่ยังไม่มีการแยกบ้าน ไม่ว่าอย่างไร ของที่เธอซื้อมาต้องเอาเข้ากองกลางอยู่แล้ว ใช่ไหมคะย่า”
หลี่ฉีหลินเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะคิดว่าคำพูดของหล่อนนั้นสามารถหักล้างกับสิ่งที่ฟางเจียวเหมยพูดได้ แต่เปล่าเลย แม้ว่าฟางเจียวเหมยจะแต่งเข้าบ้านสามหลี่ ทว่าบ้านสามหลี่ก็ไม่สามารถเอาสินเดิมของลูกสะใภ้ออกมาใช้ตามอำเภอใจได้ ยิ่งบ้านใหญ่หลี่ยิ่งไม่มีสิทธิ์ เรื่องแบบนี้ไม่มีบ้านไหนเขาทำกัน
ย่าหลี่เองเพราะความโลภเข้าครอบงำ แม้จะชราแต่สายตาของนางยังสามารถมองเห็นถุงใส่ชุดที่วางอยู่ข้างกายของลูกชายบ้านฟาง จึงเอ่ย
เข้าข้างหลานสาวตัวเองทันที
“ใช่แล้ว บ้านหลี่ยังไม่มีการแยกบ้าน เช่นนั้นแล้วบ้านสามก็ควรเอาของทุกอย่างเข้ากองกลางสิ ทุกคนเข้าไปขนของกลับบ้านใหญ่ให้หมด”
ย่าหลี่พูดอย่างเห็นแก่ตัว
ฟางเจียวเหมยได้ยินก็ไม่พอใจทันที เนื่องจากบ้านใหญ่และบ้านสามนั้นแยกครัวกันแล้ว ต่อให้จะมีการส่งเสียเงินให้บ้านใหญ่ก็ตาม แต่ย่าหลี่และบ้านใหญ่ไม่ควรกระทำแบบนี้ เพราะเธอประกาศชัดแล้วว่าสิ่งของเหล่านั้นซื้อมาด้วยเงินสินเดิมของเธอเอง
พอเห็นว่าบ้านใหญ่กำลังเดินเข้ามา ฟางเจียวเหมยจึงหันไปคว้ามีดด้ามใหญ่ที่เธอใช้ทำกับข้าวเมื่อครู่นี้มาถือไว้ และกวาดมือไปมา พร้อมกับด่ากลับอย่างไม่ไว้หน้า ไม่สนหัวหงอกหัวดำ
“ใครกล้าเข้ามาฉันฟันหัวแบะแน่” หญิงสาวกวาดสายตาแล้วมาหยุดอยู่ที่หญิงชราที่สุด
“ที่ผ่านมาฉันพูดดีเพราะเห็นว่าย่าแก่แล้ว และยังเป็นย่าของสามี ฉันเลยไม่อะไรมากมาย แต่ไม่คิดว่าย่าที่มีผมขาวมากกว่าผมดำ ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ปล่อยให้ความโลภมันครอบงำทำเรื่องที่ไม่สมควร ฉันพูดออกจะเสียงดังฟังชัดแล้วว่าข้าวของพวกนี้ฉันเอาเงินสินเดิมตัวเองซื้อ ส่วนเงินที่พี่อี้ข่ายส่งมาก็หมดไปกับให้บ้านใหญ่แล้วซื้อของให้สองแฝด นี่ยังไม่รวมอาหารที่บ้านสามต้องกิน ฉันถามหน่อยนะ พี่อี้ข่ายทำงานใช้แรงงานจะมีเงินเดือนมากมายเหมือนคนที่มีความรู้และทำงานในโรงงานได้อย่างไร
คิดบ้างสิ สมองมีไว้คั่นหูหรืออย่างไร”
ฟางเจียวเหมยเหลืออด ด่าไม่เว้นหน้า ก่อนจะหันมามองป้าสะใภ้ใหญ่ของสามีก่อนจะด่าออกไปอีกรอบ “ป้าสะใภ้ก็เหมือนกัน ตอนนี้ตัวใหญ่กว่าหมูในคอมมูนเสียอีก ทำไมงานการไม่ทำเอง อะไรนิดหน่อยก็มาฟ้องแม่สามีตัวเอง ถามจริงเถอะนะ ประสาทหรือเปล่า ที่เห็นใครอยู่เหนือกว่าหรือกินดีกว่าไม่ได้ ความอิจฉามันจะจุกอกตายหรือยังไงถ้าไม่ได้มาหาเรื่องพวกฉัน”
หญิงสาวหยุดพูดเพื่อเว้นระยะหายใจ ก่อนจะด่าต่อ “คนเราเกิดมาก็ต้องตายเหมือนกัน ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ควรจะทำตัวให้ดี ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ไม่ต้องลงนรกไปชดใช้กรรม หรือว่าคนบ้านใหญ่อยากไปอยู่ในนรกกันนักถึงได้ตามล้างผลาญบ้านสามไม่หยุด
ใช่สิ!! บ้านใหญ่รู้ว่าบ้านสามของเรามีเพียงสตรีและเด็กน้อยเท่านั้น เลยคิดจะทำอะไรหรือว่าอยากจะแย่งชิงอะไรของเราไปก็ได้ ส่วนเรื่องอาหาร บ้านสามไม่เคยขอบ้านใหญ่กิน เพราะย่าและป้าสะใภ้ทั้งสองมักพูดเสมอว่าบ้านพวกเราแยกครัวกันแล้ว กินใครกินมัน หรือว่าวันนี้คนบ้านใหญ่ยอมคุ้ยน้ำลายที่ถมลงดินกลับมากินใหม่ล่ะ ถ้าทำแบบนั้นได้ ฉันจะยอมแบ่งอาหารให้กิน”
พูดจบ ฟางเจียวเหมยเชิดหน้าอย่างถือดี จะว่าเธอไม่เคารพผู้ใหญ่ก็ได้ จะว่าเธอเป็นสะใภ้ร้ายกาจก็ดี แต่ทุกคำที่พูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น
“หล่อนกล้าด่าฉันหรือนังเจียวเหมย!!” ย่าหลี่เวลานี้โกรธจนลมแทบจับ ไม่คิดว่าหลานสะใภ้จะไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา
“ย่าจะว่าฉันด่าก็ได้ แต่ทุกคำที่ฉันพูดไปนั้นมันเรื่องจริง ในเมื่อฉันเอาเงินจากสินเดิมมาซื้อของกินและชวนพี่ชายฉันมากิน มันก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพราะสินเดิมของแม่ พี่ใหญ่กับฉันก็มีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง หรือย่าคิดว่าคนบ้านฟางจะให้สินเดิมฉันมาล่ะ ย่าช่วยดูสภาพของบ้านฟางก่อน”
เธอยกเรื่องสินเดิมของแม่ออกมาอ้าง ที่จริงแล้วจากความทรงจำของร่างเดิมมีสินเดิมจากแม่จริง ๆ แต่มีไม่กี่อย่างเท่านั้น ทว่าตัวเธอเองเพิ่งจะทะลุมิติมา เลยยังไม่ได้สำรวจของในกล่องนั้น
ทุกคนได้ยินที่ฟางเจียวเหมยพูดก็ได้แต่คิดตาม แต่ถึงอย่างไรบ้านใหญ่ก็ไม่คิดที่จะยอมสูญเสียผลประโยชน์ตรงหน้าไป จึงได้หันมาสบตากันเพื่อปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปเอาอาหารที่ชวนน้ำลายไหล แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวมีดด้ามใหญ่ในมือของฟางเจียวเหมย
“ผมไม่รู้นะว่าทุกคนคิดอย่างไร แต่อย่างที่เจียวเหมยบอกว่าอาหารมื้อนี้เธอซื้อมาด้วยเงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเงินที่น้องเขยส่งมาให้ และเงินส่วนตัวของน้องสาวผมก็มาจากสินเดิมของแม่ และผมเป็นคนให้น้องเอามาทั้งหมดเอง หากบ้านใหญ่หลี่คิดจะแย่งชิงอาหารและสินเดิมของหลานสะใภ้จากบ้านสาม เห็นว่าพี่ชายอย่างผมคงต้องร้องเรียนที่สำนักงานพลเรือนเสียแล้ว” ฟางหลู่เฉินเลือกที่จะเดินหน้าเข้ามาปกป้องน้องสาว เขาเลือกที่จะพูดตามที่ฟางเจียวเหมยบอกก่อนหน้านี้
การที่พี่ชายของฟางเจียวเหมยเดินหน้าออกมาพูดเอง ทำให้คนบ้านใหญ่หลี่ที่ยืนอยู่ตรงนี้เริ่มมีท่าทางลังเล ที่ลังเลไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่าย แต่กลัวเรื่องจะถูกร้องเรียน หากเป็นอย่างนั้นบ้านหลี่คงไม่กล้าสู้หน้าใคร
ย่าหลี่เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปบ้านใหญ่ของตัวเองทันที พร้อมกับสะใภ้รองที่ประคองพาเดิน
ส่วนสะใภ้ใหญ่และลูกสาวยังคงมีความละโมบ แต่เมื่อย่าหลี่ไม่พูดอะไร ทั้งสองก็ทำเพียงสะบัดหน้าและเดินกระทืบเท้าตามไป
“จบเรื่องเสียที” หนิงหงชุนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
“ยังไม่จบหรอกแม่ เชื่อเถอะว่าบ้านใหญ่ไม่จบแค่นี้แน่ แม่ไม่เห็นสายตาของป้าสะใภ้ใหญ่กับพี่ฉีหลินเหรอ ดูทั้งสองจะยอมเสียที่ไหน” หลี่เหว่ยเหลียนเอ่ยขึ้น เธอไม่เชื่อว่าเรื่องจะจบแค่นี้อย่างที่แม่พูดมา
“ฉันเห็นด้วยกับเสี่ยวเหลียนนะแม่ เอาล่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปฉันขอให้แม่กับเสี่ยวเหลียนรวมถึงพี่ใหญ่ใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ฉันซื้อมาให้ พอครบสามวัน แม่กับเสี่ยวเหลียนพาสองแฝดไปเที่ยวเล่นบ้านสหายหรือจะพาไปเที่ยวในเมืองก็ได้ เชื่อเถอะว่าเมื่อถึงวันนั้น เราอาจจะได้แยกบ้านเพราะความโลภของบ้านใหญ่เอง”
ฟางเจียวเหมยพูดถึงแผนการขั้นต่อไป เธอเชื่อว่าหากป้าสะใภ้หรือคนบ้านใหญ่เห็นว่าบ้านสามและพี่ชายของเธอมีเสื้อผ้าใหม่ใส่ คงอดใจไม่ได้ที่จะเข้ามาค้นบ้านสาม!!
เมื่อถึงเวลานั้น ฟางเจียวเหมยคนนี้จะเอาคืนอย่างสาสม