ฟางเจียวเหมยที่เวลานี้แต่งตัวให้ลูกน้อยเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เสี่ยวเหลียนเห็นเครื่องบดมืออันนั้นไหมเล่า” หญิงสาวชี้ไปยังเครื่องบดมือที่เธอเอาออกมาจากมิติมาเตรียมไว้เพื่อบดข้าวให้ลูกกิน
“อันนี้ใช่ไหมคะ แล้วมันจะบดอาหารได้จริง ๆ เหรอคะ”
หลี่เหว่ยเหลียนหันมาตามที่พี่สะใภ้ชี้ให้ดูก่อนจะหยิบมันขึ้นมา เพราะน้ำหนักมันเบามากจึงแปลกใจว่าเจ้าเครื่องนี้มันสามารถบดอาหารให้ละเอียดได้ด้วยเหรอ
“ใช่แล้ว ส่วนบดได้จริงไหม เสี่ยวเหลียนมาช่วยฉันอุ้มสองแฝดหน่อย แม่ด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะทำให้ดูว่าเครื่องนี้มีประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง ช่วงกลางวันแม่จะได้ทำให้สองแฝดกินตอนฉันไม่อยู่” ฟางเจียวเหมยตอบกลับเมื่อทั้งสองมารับลูกไปแล้ว เธอก็สาธิตให้แม่และน้องสามีดูว่าเครื่องบดอาหารแบบนี้มีวิธีใช้อย่างไร
ทั้งสองแม่ลูกต่างมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะไม่เคยเห็นเครื่องบดอาหารแบบนี้มาก่อน ถึงจะเครื่องเล็ก ๆ แต่บดได้ละเอียดในเวลาเพียงไม่นานเลย
หลังจากที่บดอาหารให้ลูกน้องทั้งสองคนเสร็จแล้ว เธอก็บอกแม่กับน้องสามีให้กินอาหารก่อน ส่วนของเจ้าสองแฝดเธอจะป้อนเอง แม้ว่าจะไม่มีเก้าอี้เด็กสำหรับป้อนอาหารเหมือนยุคปัจจุบัน แต่เพราะหลายเดือนก่อน ที่หลี่อี้ข่ายกลับมา ชายหนุ่มทำเก้าอี้ไว้ให้ลูกสองตัว หญิงสาวจึงเอาผ้ามาวางทับซ้อน ๆ กัน แล้วหาผ้าผืนยาว ๆ มาผูกลูกติดกับเก้าอี้ไว้หลวม ๆ เพราะกลัวว่าเด็กน้อยจะดิ้นจนตกมานั่นเอง
แม้จะไม่เคยมีลูกมาก่อน แต่ว่าเธอทำทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย อาจจะเพราะมีสัญชาตญาณความเป็นแม่จากร่างนี้ที่แม้จะร้ายกาจแค่ไหนแต่ก็รักลูกมาก
“เดี๋ยวแม่กับเสี่ยวเหลียนเช็ดคราบอาหารของอาหมิงและหนิงหนิงเอง เจียวเหมยรีบไปกินข้าวก่อนเถอะ วันนี้จะเข้าเมืองไม่ใช่เหรอ” หงหนิงชุนที่กินข้าวเสร็จแล้วก็เอ่ยกับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณมากนะคะแม่” ฟางเจียวเหมยตอบกลับอย่างอ่อนโยนเช่นกัน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับลูกน้อยทั้งสองแล้วเดินไปยังหน้าห้องเพื่อกินอาหารมื้อเช้าที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากกินอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน โดยไม่ลืมกำชับให้แม่และน้องสาวของสามีให้ใส่ชุดใหม่ด้วยเหมือนกัน
“ฉันไปในเมืองนะคะแม่ แล้วแม่กับเสี่ยวเหลียนอย่าลืมใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่ฉันซื้อมาให้นะ และทำทุกอย่างตามที่ฉันเคยบอกไว้”
“จ้ะ แม่เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยนะเจียวเหมย” หงหนิงชุนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะบอกด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ ฉันไปนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกจากห้องไป
ส่วนทางด้านบ้านฟาง ฟางหลู่เฉินก็ใส่เสื้อผ้าใหม่ที่น้องสาวซื้อให้ด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะเสียดายและกลัวว่าจะเปื้อนตอนทำงานก็ตาม แต่เพราะชายหนุ่มทำงานแปลงเดียวกับลูกชายและหลานชายบ้านใหญ่หลี่ เขาจึงตัดสินใจใส่และเริ่มทำตามแผนของฟางเจียวเหมย
แต่ทว่ากลับโดนแม่เลี้ยงเอ่ยขัดอีกแล้ว
“เสื้อผ้าใหม่และสะอาดแบบนั้น ทำไมไม่เอามาให้พ่อใส่สักตัวหรือ ไม่ก็เอาไปขาย คงได้เงินไม่น้อย ดีกว่าเอามาใส่ลงแปลงนาแบบนี้เสียดายของแย่”
ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะไม่อยากทะเลาะด้วย เลยเอ่ยบอกพ่อเพียงไม่กี่คำเท่านั้น “ผมไปทำงานก่อนนะครับพ่อ” พูดจบฟางหลู่เฉินก็เดินออกมาทันที โดยไม่สนใจพ่อและแม่เลี้ยงรวมถึงลู่อันเซียนลูกสาวของแม่เลี้ยงที่มองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
เมื่อเดินออกมาจากบ้านก็เจอเข้ากับคำทักทายของชาวบ้าน ซึ่งมีทั้งยิ้มแย้มทักทายอย่างมีไมตรี มีทั้งจำพวกที่ขี้อิจฉาและชอบจิกกัดเมื่อเห็นชายหนุ่มใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ชายหนุ่มเดินออกมาได้ไม่นานก็พบกับหลี่เหว่ยเหลียนที่อุ้มหลานสาวมาด้วยเรียกเขาเอาไว้
“พี่หลู่เฉิน แม่ให้มาตามไปกินมื้อเช้าน่ะ พี่สะใภ้ทำอาหารไว้แล้วก่อนเข้าเมือง” เด็กสาวบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้มมองหลานสาวที่สอดส่องสายตามองไปทั่วเพราะเพิ่งได้มีโอกาสออกมาเที่ยวข้างนอกห้อง
“อ้าว เสี่ยวเหลียนเองเหรอ ขอบใจมาก แล้วนี่เจียวเหมยไปแล้วเหรอ” ชายหนุ่มแกล้งลืมว่าต้องไปกินมื้อเช้าที่บ้านสามหลี่ตามที่น้องสาวได้กำชับไว้เมื่อคืนเพราะความเกรงใจ แต่ไม่คิดว่าหลี่เหว่ยเหลียนจะมาตามคล้ายกับรู้ว่าเขาจะไม่ไป
“ไปแล้วค่ะ หนิงหนิงให้ลุงใหญ่อุ้มหน่อยไหม ลุงใหญ่ใส่ชุดใหม่แล้ว”
หลี่เหว่ยเหลียนตอบกลับชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยบอกหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพราะเมื่อวานพี่ชายบ้านฟางไม่ยอมอุ้มหลานทั้งสองคนเพราะเห็นว่าชุดเปื้อนฝุ่นจากการทำงานและขึ้นเขามา วันนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายใส่ชุดใหม่ จึงเอ่ยขึ้นคล้ายกับกำลังพูดคุยกับหลานสาว เด็กน้อยก็เหมือนรู้เรื่องด้วยการยิ้มกว้างออกมาและยื่นมือน้อย ๆ ไปทางชายหนุ่มเป็นการตอบรับ
“ส่งหลานมาให้พี่เลย”
ชายหนุ่มรู้ความหมายของเด็กสาว จึงยื่นมือเข้ามาอุ้มหลี่หนิงตัวน้อยมาแนบอก “เป็นยังไงบ้าง หนิงหนิงของลุง” พอได้อุ้มหลานสาวเท่านั้น ชายหนุ่มก็เปลี่ยนแววตาเรียบนิ่งเป็นอบอุ่นและอ่อนโยนทันที ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่เหว่ยเหลียนเพื่อพากันเดินไปยังบ้านสามหลี่
กลับมาทางด้านของฟางเจียวเหมย หลังจากเดินออกมาจากบ้าน ครั้งนี้หญิงสาวเลือกที่จะขึ้นเกวียนเข้าไปในเมืองเพราะกลัวว่าจะเจอชาวบ้าน เนื่องจากเวลานี้ยังเช้าอยู่มาก จึงไม่สะดวกที่จะหลบเอาจักรยานออกมา แต่เพราะเธอขึ้นชื่อว่าเป็นสะใภ้ร้ายกาจของบ้านหลี่และหญิงสาวร้ายกาจแห่งบ้านฟาง เลยทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครอยากจะเสวนาหรือคุยด้วย มีแต่เพียงนินทาและพูดกระทบกระทั่งมาตามลมเท่านั้น
“โอ๊ะ!! วันนี้สะใภ้บ้านสามหลี่เข้าเมืองอีกแล้วเหรอเนี่ย สงสารแต่อาข่ายที่ไปทำงานต่างเมืองเพื่อส่งเงินมาให้เมียถลุงเล่น”
นางหลันจีบปากจีบคอพูดขึ้นมาเพราะไม่ชอบฟางเจียวเหมย
เนื่อง จากหล่อนหวังจะให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านสามหลี่เพราะมั่นใจว่าหาก
ลูกของหล่อนแต่งเข้าไปแล้วจะสามารถทำให้หลี่อี้ข่ายแยกบ้านได้นั่นเอง แล้วเงินเดือนของเขาก็จะเป็นของลูกสาวหล่อน แต่ทุกอย่างก็พังลงมาไม่เป็นท่าเพราะหญิงร้ายกาจคนนี้มาสร้างเรื่องน่าอับอายจนหลี่อี้ข่ายต้องแต่งเข้าบ้านสามหลี่ ลูกสาวนางเลยยังไม่ได้แต่งจนถึงทุกวันนี้
“ต่อให้ฉันจะถลุงเงินที่สามีส่งมาให้จนหมด แล้วป้ามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ญาติก็ไม่ใช่ คนรู้จักฉันก็ว่าไม่น่าจะใช่เหมือนกัน แบบนี้เขาเรียกว่า....” ฟางเจียวเหมยยังคงเชิดหน้าตอบตามแบบฉบับนางร้ายประจำหมู่บ้าน มือทั้งสองข้างกอดอกก่อนจะกวาดสายตามองอย่างเหยียด ๆ
“เอ๊ะนังนี่ ฉันแค่เตือนหล่อนเท่านั้น อาข่ายทำงานอย่างหนักกว่าจะได้เงินมา แทนที่หล่อนจะช่วยประหยัด แต่นี่อะไร วัน ๆ เอาแต่คอยถลุงเงินเล่น หรือว่าตกน้ำจนเกือบตายในวันนั้นไม่ทำให้คิดได้เลยหรืออย่างไร”
นางหลันไม่วายจะยกเรื่องที่ฟางเจียวเหมยตกน้ำในวันนั้นออกมาพูด เพราะเชื่อว่าวันนั้นไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่ลูกสาวตัวเองและหลี่เชี่ยนหยู่ลูกสาวคนเล็กของซ่งเจียฮุยวางแผนผลักลูกสะใภ้บ้านสามตกน้ำ หากวันนั้นไม่มีชาวบ้านที่มาซักผ้าที่ริมน้ำ ป่านนี้หญิงร้ายกาจคนนี้คงตายไปแล้ว
โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนนั้นคาดการณ์ถูกต้อง เพราะฟางเจียวเหมยคนก่อนได้ตายไปแล้วจริง ๆ ซึ่งคนที่อยู่ตรงหน้าหล่อนในเวลานี้คือหญิงสาวที่มาจากอนาคตอย่างไรล่ะ
“ก็พูดอยู่นี่ไงว่าป้าเกี่ยวอะไรด้วย ต่อให้ฉันจะใช้เงินที่ ผ สระ อัว ผัว ฉันส่งมาให้จนหมด มันก็ไม่หนักหัวใคร เพราะนี่มันคือเรื่องของครอบครัวบ้านสามหลี่ แม่สามียังไม่พูด แล้วป้ายุ่งด้วยทำไม หรือว่ายังคิดที่จะให้พี่อี้ข่ายแต่งเข้าบ้านป้า” ฟางเจียวเหมยจีบปากจีบคอพูด พร้อมกับนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าตามความทรงจำของร่างเดิม
เมื่อโดนเด็กรุ่นลูกเอาความจริงตอกหน้ากลับมาแบบนี้ นางหลันจึงเงียบปากตัวเองอย่างทันที ไม่นานเกวียนประจำหมู่บ้านก็มาถึง ชาวบ้านและเหล่าเด็กนักเรียนต่างก็ทยอยขึ้นเกวียนทันที
การที่ต้องนั่งเกวียนแบบนี้ ฟางเจียวเหมยนึกถึงรถประจำทางในยุคอนาคตที่เธอจากมา หากเธอสามารถหาทุนได้เยอะ การจะทำกิจการเดินรถก็น่าสนใจเหมือนกัน!!