“เดียร์ไปขอคุณผู้หญิงแล้ว แต่ไม่ได้ คุณผู้หญิงบอกว่าคุณพ่อตัดงบค่าเทอมเดียร์ออก ให้ไปหาเอง”
ปรีชาสะอึกนิดหนึ่ง ในหัวก็พยายามคิด ว่าสั่งออกไปตอนไหน แต่พอจำไม่ได้ก็เงยหน้าขึ้นไปใส่อารมณ์กับลูก ใจนั้นก็ถามแต่ว่า วันนี้มันอะไรนักหนาวะ ทำไมมีแต่เรื่องรายจ่ายประดังเข้ามาให้ปวดหัวตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลย
“แล้วทำไมแกไม่ไปหาล่ะ แขนขามีครบ หัดลุกขึ้นมาทำงานทำการบ้าง หรือแกชอบเป็นแบบแม่แก ที่นอนแบอยู่กับเตียง รอให้คนอื่นเลี้ยงไปจนวันตายน่ะ”
“เดียร์จะไปหายังไงให้ทันคะ ในเมื่อไม่มีใครบอกล่วงหน้าสักคำ”
ลูกให้เหตุผลกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณแม่สั่งให้อ้วนไปบอกตั้งแต่จ่ายค่าเทอมครั้งก่อนแล้วนะคะคุณพ่อ แต่เขาคงจำไม่ได้หรือไม่ก็ตีเนียนมาขอคุณพ่อเองล่ะค่ะ”
อลิยารีบแก้ต่างให้แม่ทันที แม้จะรู้ดีว่าแม่ไม่ได้บอกอะไรตอนนั้น เพราะอยากแกล้งลูกเมียคนใช้ แต่เรื่องอะไรจะทำให้พ่อเคืองแม่ที่ตัวเองรักสุดหัวใจ
“อ้าว! ในเมื่อเขาบอกแล้ว แกจะมาโกหกฉันทำไม เดี๋ยวนี้แกเอาใหญ่แล้วนิ ริหัดโกหกเหรอ”
คนเป็นพ่อเลยหันมาเอ็ดลูกอีกบ้านด้วยความรำคาญนิดๆ แม้จะเชื่อลูกอีกคนบ้างไม่เชื่อบ้างก็ตามที
“เดียร์ไม่ได้โกหกค่ะ ไม่มีใครบอกเดียร์จริงๆ ค่ะ ถ้าบอกเดียร์ก็ไปหางานทำตอนเลิกเรียนมาเป็นค่าเทอมแล้วสิคะ เดียร์ไม่มากวนแบบนี้หรอกค่ะ คุณพ่อจ่ายเทอมนี้ให้เดียร์ก่อนนะคะ สัญญาค่ะว่าเทอมหน้าเดียร์จะหาเอง ไม่มากวนคุณพ่อหรอกค่ะ”
“แกจะเอาเท่าไหร่”
คนเป็นพ่อทนเสียงอันสั่นเครือกับทนเห็นน้ำตาลูกไม่ได้ เลยตัดใจคว้ากระเป๋าสตางค์บนโต๊ะออกมา ปากก็ถามไปด้วยความรำคาญยิ่ง
“ค่าเทอมสองหมื่นสองค่ะ ค่าใช้จ่ายรายเดือนของเดียร์กับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกหกพันค่ะ” ลูกสาวปาดน้ำตาออกจากแก้ม ตาจ้องมองมือพ่อที่กำลังเปิดกระเป๋าสตางค์ออกมา
“ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่นี้ล่ะ ที่เหลือแกไปดิ้นรนหาเอง แล้วก็หัดลุกขึ้นมาทำงานทำงานเลี้ยงตัวเองกับแม่ของแกด้วย ฉันไม่ใช่โรงทานนะ จะได้มีให้พวกแกรีดไถ่ไม่จบสิ้น”
ลูกมองธนบัตรสีเทาที่พ่อโยนมาให้ด้วยหัวใจเจ็บร้าว ดูจากสายตานั้น ไม่ใช่จำนวนที่ต้องการแน่ แต่ก็จำต้องฝืนใจ เดินไปรวบมากำไว้ในมือ ส่วนลูกอีกคนที่จ้องมองการกระทำของพ่ออยู่นั้น
ยิ้มหยันๆ มาหาคนกำลังกำเงินในมือไว้ แม้จะไม่พอใจที่พ่อให้เงิน แต่ก็ไม่ใช่จำนวนมากอะไร ไม่มีทางเอาไปจ่ายค่าเทอมได้แน่ เลยก้มหน้าลงไปหานิตยสารในมือต่อ
“ไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน แล้วก็ห้ามมากวนฉันอีกเด็ดขาด”
แม้จะถูกไล่ไม่ต่างจากขอทานในความรู้สึก แต่ปริยกรก็ฝืนใจยกสองมือไหว้ โดยไม่สนใจสักนิด ว่าพ่อจะเงยหน้าขึ้นมองบ้างไหม สองเท้าก้าวเดินออกไป
สองมือยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วพยักหน้าให้เพื่อนที่ยืนรออย่างกระวนกระวายเดินไปหาลิฟต์ พยายามสกัดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไปยืนโบกแท็กซี่แทนการขึ้นรถเมล์เหมือนตอนขามา
“ได้มั้ยเดียร์”
พิมลแขเอ่ยเสียงเบา ขณะนั่งอยู่เบาะหลังคู่ไปกับเพื่อน มือบางกำแน่นอยู่นั้น ยื่นออกมาส่งเงินให้เพื่อนเอาไปนับเอง ด้วยรู้ดีว่าไม่ใช่จำนวนที่ต้องการ
“ห้าพัน! จะพออะไรล่ะ”
ปริยกรไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว นอกจากโผลเข้ากอดเพื่อนแล้วร้องไห้เพราะความเสียใจ โดยไม่คิดจะอายคนขับแท็กซี่แม้แต่นิดเดียว ด้วยสะเทือนใจกับการกระทำของพ่อผู้ให้กำเนิดเหลือทน
อีกทั้งไม่รู้ว่าจะระบายความอัดอั้นตันใจกับใครได้ เพราะแม่ที่เคยรับรู้ความทุกข์มาตลอดกำลังเจ็บป่วย เลยไม่อยากเอาเรื่องร้ายๆ ไปสุมในใจให้กลัดกลุ้มเพิ่มเข้าไปอีก
“ใจเย็นๆ นะเดียร์ ทุกอย่างต้องมีทางแก้ เชื่อเราสิ”
พิมลแขโอบกอดเพื่อนไว้ด้วยความสงสารยิ่ง สองมือก็ลูบหลังอันสั่นสะท้านเพราะความเสียใจไปด้วย แม้ไม่รู้รายละเอียดว่าเพื่อนกับพ่อคุยอะไรกัน แต่ก็เดาได้ไม่ยาก จึงได้แต่ปล่อยให้เพื่อนร้องไห้จนสาสมแก่ใจโดยไม่คิดจะห้ามปรามใดๆ
“แล้วเดียร์มีใครที่พอจะช่วยได้อีกมั้ย จะได้ไปหาวันนี้เลย ยิ่งปล่อยเอาไว้นานก็ยิ่งไม่ดีนะ ใกล้จะถึงวันสอบแล้วด้วย”
พอเพื่อนเลิกฟูมฟายแล้ว พิมลแขก็เอ่ยเสียงเบา สายตาส่งแววบางอย่างที่สองเพื่อนรู้ๆ กันอยู่
“เราจะลองโทรหาพี่เอ็ดดู”
หญิงสาวหมายถึงรุ่นพี่ปีสี่ เพิ่งจบไปและกำลังเตรียมตัวจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ฐานะทางบ้านอยู่ในระดับดี ที่สำคัญมักจะมาคอยแจกขนมจีบให้ประจำ
พิมลแขพยักหน้ารับแม้ในใจจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็รู้ดีว่าเพื่อนไม่มีทางเลือกอื่น เลยได้แต่มองเพื่อนโทรคุยกับรุ่นพี่เท่านั้น
“บ้านพี่เอ็ดอยู่ตรงไหนคะ ได้ค่ะ! งั้นเดียร์ไปหาตอนนี้เลยนะคะ”
ปริยกรหันมาหาเพื่อนแล้วยิ้มให้ทั้งน้ำตา ก่อนเอ่ยบอกด้วยความดีใจว่า
“พี่เอ็ดให้ไปหาที่บ้าน แล้วจะแอบเอาเงินที่จะเอาไปไว้ใช้ที่อังกฤษให้ก่อน ให้รีบไปตอนนี้ด้วย เพราะกลัวคนที่บ้านรู้ ตอนนี้พี่เอ็ดอยู่คนเดียว”
“ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอเดียร์”
“ไม่รู้เหมือนกัน ก็พี่เอ็ดบอกแบบนี้ มลจะให้ทำยังไง”
“มันก็ต้องลองแล้วล่ะน้อ ในเมื่อไม่มีทางเลือกนี่ เสียดายจังเราต้องไปทำงาน ไม่งั้นคงได้ไปเป็นเพื่อนแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกมล แค่นี้เราก็เกรงใจมลจะแย่แล้ว ไว้ได้เรื่องยังไงเราจะรีบโทรไปบอกนะ”
“โอเค! พี่คะจอดซอยหน้าด้วยค่ะ”
พิมลแขหันไปบอกแท็กซี่ เมื่อถึงจุดตัวเองจะลง จากนั้นก็ยืนมองเพื่อนนั่งรถต่อไปยังอีกที่ และหวังว่าจะได้เงินมาอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้จะห่วงเพื่อนแต่ตัวเองก็มีงานต้องไปทำ เพราะต้องดิ้นรนหาเงินส่งเสียตัวเองและจุนเจือคนทางบ้านที่ฐานะยากจนเช่นกัน