ที่พักใจ

1944 คำ
"ทำไมวันนี้วิณณ์นัดพลอยออกมากินข้าวกลางวัน" เสียงหวานๆ ของเกวลินเอ่ยพูดขึ้นเมื่อมาเฟียหนุ่มกำลังเลื่อนเก้าอี้ให้เธอในหย่อนก้นนั่งลงไป และตัวเขาเองเมื่อทำหน้าที่อย่างสุภาพบุรุษเสร็จแล้วก็รีบเดินไปนั่งตรงข้ามกับเธอ เธอแปลกใจที่เขานัดเธอออกมากินข้าวกลางวันด้วย เพราะปกติเวลาเขาจะนัดเธอก็มาก็ต้องเป็นเวลากลางคืน เพราะเขาเป็นคนที่นอนกลางวันและทำงานกลางคืน มาเฟียหนุ่มใช้ความเงียบเป็นคำตอบทั้งหมดเพราะเขาไม่ชอบการพูดมา และเขาก็ชอบที่จะฟังน้ำเสียงหวานๆ ของเธอมากกว่า มันไพเราะเสนาะหูดี ที่เขานัดเธอมาเวลานี้ก็เพราะอยากเจอเธอ อยากจะมีความสบายใจ ถ้านัดเธอในเวลากลางคืน เธอจะออกมาพบเขาไม่ได้ ด้วยหลายวันหลายคืนที่ผ่านมาเขามีปัญหาเล็กๆ กวนใจไม่รู้จบ จนทำได้กินไม่ค่อยได้นอนไม่ค่อยหลับเลย และธุรกิจของเขามันก็เริ่มมีปัญหาเพราะขายสินค้าออกไปไม่ได้ ยิ่งทำให้เขาเครียดมากขึ้น และต้องการที่จะเจอเธอ "มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" เกวลินถามอย่างนึกเป็นห่วงสลับกับเลือกเมนูอาหารฝรั่งเศสที่วางอยู่ตรงหน้าไปด้วย เพราะขืนรอเขาตอบกับรอเขาเลือกอาหารให้กิน วันนี้ทั้งวันคงได้แต่ความเงียบกลับมา ด้วยเขานั้นไม่ชอบพูด และก็ไม่ชอบทำอะไรจุกจิก เวลาเธอเจอเขาก็มักจะเห็นแต่เขานั่งมองเธอเท่านั้น เธอเลยรู้ดีว่าควรเป็นฝ่ายพูดตลอดเวลาเพื่อให้เขาตอบกลับมาบ้างสักคำสองคำ และทำอะไรที่เขาเรียกว่ามันจุกจิกแทนเขา เหตุผลที่เธอรู้ทุกอย่างว่าควรจะทำอะไรไม่ทำอะไร ด้วยเธอรู้จักเขามาหลายปี ตั้งแต่เรียนมหาลัยด้วยกันที่ต่างประเทศ เธอเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขาที่มีกันอยู่สองคน อีกคนหนึ่งก็คือคริสต์ลูกพี่ลูกน้องของเขา "เปล่า แค่อยากใช้ชีวิตแบบคนปกติ" เขาเลือกที่จะโกหกเธอออกไปเพราะไม่อยากให้เธอมารับรู้ปัญหาอะไรของเขา เพราะปัญหาของเธอมีมากพอแล้ว เขาไม่อยากให้เธอต้องเหนื่อยเพิ่ม แค่ได้มาเห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงของเธอแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากพอแล้ว "หน้าวิณณ์ดูเหนื่อยๆ นะ วิณณ์มีเรื่องอะไรบอกพลอยได้นะ เผื่อว่าพลอยจะ" หญิงสาวกลับไม่ยอมที่จะเชื่อฟังคำพูดของเขา ด้วยหน้าตาของเขามันบ่งบอกได้ดีเลยว่าเขากำลังมีเรื่องคิดหนัก ช่างดูเหนื่อยล้าเหมือนกันคิดจนไม่ได้นอนพักมาหลายคืน "ไม่มีอะไร กินข้าวกันเถอะ" วิณณ์รีบเปลี่ยนเรื่องเข้าหาอาหารที่กำลังเดินเข้ามาเสิร์ฟในทันที ก็เขาบอกแล้วไงว่า เขาไม่อยากให้เธอรับรู้ปัญหาอะไรของเขา ถึงภายในใจของเขาจะอยากได้เธอเป็นแม่ของลูกมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นไม่อาจครอบครองตัวเธอได้เหมือนอย่างที่ใจต้องการ "อาการของคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง" ด้วยเธอเป็นลูกของนายตำรวจใหญ่ที่ไม่ชอบขี้หน้าพวกมาเฟียอย่างรุนแรง และที่สำคัญพ่อของเธอกำลังป่วยหนัก และท่านอาการทรุดหนักเมื่อท่านได้รู้ว่าเขาสนิทกับเธอ เขาเลยจำเป็นต้องถอยห่างจากเธอเพื่อรักษาชีวิตของพ่อเธอเอาไว้ เพราะเขารู้ว่าเธอรักผู้เป็นพ่อมาก ทำได้แค่นานๆ จะนัดเจอกันสักครั้งอย่างไม่ให้พ่อของเธอได้รับรู้ และก็ถามหาพ่อของเธอเป็นครั้งคราว ด้วยลึกๆ ก็แอบแช่งให้อีกฝ่ายหมดกรรมไปเสียเขาจะได้ครอบครองเธอ เขารู้ว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดี แต่ว่ามันก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาจะได้เธอมาครอง เพราะถ้าให้เขาฆ่าพ่อของเธอเพื่อจะได้เธอมามันก็คงเป็นไม่ได้ "ดีขึ้นมากเลยนะช่วงนี้ แต่ก็..." พ่อของเธอท่านป่วยเป็นมะเร็งที่เรียกได้ว่าระยะสุดท้ายแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่พอผ่าตัดออกไปแล้วมะเร็งไม่ลามต่อ ยังคงเหลือทำคีโมให้ครบ และดูแลตัวเองให้ดี ท่านก็จะคือคนปกติที่หายป่วยแล้วคนหนึ่ง แต่ท่านก็ยังคงเกลียดมาเฟีย และมักจะพูดกรอกหูเธออยู่ทุกวันว่าอย่างกลับไปยุ่งเกี่ยวมาวิณณ์คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธออีก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ท่านรู้ว่าเธอกับเขากลับไปติดต่อกันอีก ไม่ว่าจะในฐานะอะไร ท่านจะจับเขาเข้าคุกหรือไม่ก็วิสามัญเขาให้ตาย คนทั้งคู่ไม่ได้มีความเกลียดชังอะไรต่อกันหรอก แต่เพราะพ่อเธอเป็นตำรวจที่เรียกได้ว่าเคร่งครัดต่อหน้าที่มาก ท่านก็เลยเกลียดพวกมาเฟียเป็นทุนเดิม ในชีวิตการทำงานของท่านตั้งแต่หนุ่มยันเกือบเกษียณจับกุมพวกมาเฟียที่ทำผิดแต่มีผู้ใหญ่คอยหนุนหลังมานับไม่ถ้วนแล้ว และท่านก็กำลังจะจับเขา แต่พอเธอรู้ก็เลยขอร้องเอาไว้ก่อน บวกกับที่ท่านเริ่มป่วยหนัก ทุกอย่างเลยหยุดชะงักไป "อีกหน่อยท่านก็คงกลับมาจับคนร้ายได้เหมือนเดิม" เขาไม่ได้รู้สึกยินดีเลยที่พ่อของเธออาการจะดีขึ้น เพราะคนแรกที่พ่อของเธอจะจับเข้าคุกก็อาจจะเป็นเขา และนั้นก็อาจทำให้เขาต้องห่างกับเธอออกไปอีก แต่ก็แสร้งยิ้มอย่างแข็งๆ ออกไปแสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขเหมือนกับที่เธอกำลังมี "พลอยให้ท่านลาออกจากราชการแล้วน่ะ อายุท่านก็มากแล้ว พลอยไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อยอีก" เธอให้พ่อของเธอลาออกจากราชการแล้ว ด้วยเหลืออีกแค่สองปีท่านก็จะเกษียณแล้ว เธอไม่อยากให้ท่านกลับไปทำงานให้เหนื่อยอีกแล้ว ท่านไม่ค่อยยอมสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ใช้น้ำตาของลูกสาวบีบบังคับท่านจนท่านยอม "มีอะไรจะให้วิณณ์ช่วยก็บอกนะ" เขารู้ดีว่าครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายนัก พอเสาหลักของครอบครัวต้องล้มป่วยและต้องออกจากงานรายได้ในครอบครัวเธอคงลดลง และเขาพร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขอแค่เธอร้องขอออกมา "ขอบใจมากนะวิณณ์" เกวลินไม่อาจรับความช่วยอะไรจากเขาได้ ด้วยแค่เขาฝากให้เขาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ในตำแหน่งสูงนั้นก็มากพอแล้ว เพราะถ้าพ่อของเธอรู้ว่าเขาคอยช่วยเหลือเธอ ทุกอย่างมันคงแย่ไปหมดอีกรวมถึงอาการป่วยของท่านด้วย "อาหารอร่อยมากเลย วันหลังพาพลอยมากินอีกนะ" พอมื้ออาหารจบลง การจากลาก็เกิดขึ้น เกวลินต้องรีบกลับไปทำงานต่อ เธอลาเขาด้วยรอยยิ้ม และยังคงแอบหวังว่าจะได้มากินข้าวกับเขาอีก ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ เพราะพ่อของเธอมีเส้นสายอยู่มากมาย ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเข้าแล้วเอาไปรายงานท่านก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก อิทธิพลมาเฟียของเขาช่วยปิดบังได้ก็จริง แต่ความลับมันไม่มีในโลก สักวันพ่อของเธอก็ต้องรู้เข้าจนได้ "อืม" มาเฟียหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับรู้ แต่เขาก็รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง เขามีเวลาว่างให้กับเธอตลอดชีวิตเพื่อให้ได้มานั่งกินข้าวด้วยกัน แต่มันไม่ได้มีโอกาสอะไรแบบนี้บ่อยๆ หรอก หรือต่อไปนี้มันอาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้ เพราะพ่อของเธอนั้นก็หายป่วยแล้ว การแอบมาเจอกันก็อาจจะไม่เป็นความลับตามที่เธอต้องการอีกต่อไป เมื่อเขาส่งเกวลินขึ้นรถเรียบร้อยก็เดินกลับมาขึ้นรถของตัวเอง โดยเขาสั่งให้ลูกน้องนั้นขับรถไปยังภาคอีสาน แต่ยังไม่บอกจุดหมายที่แน่นอน "นายจะแวะมาเยี่ยมคุณท่านเหรอครับ" เจซลูกน้องคนสนิทของมาเฟียหนุ่มเอ่ยถามตามความคาดเดาของตัวเขาเอง ด้วยทางภาคอีสานนั้นเป็นที่ตั้งของบ้านญาติผู้ใหญ่ของผู้เป็นเจ้านาย "ไปที่โกดัง" เมื่อลูกน้องพูดถึงญาติผู้ใหญ่ของเขาที่เลี้ยงดูเขาตั้งแต่สิบขวบขึ้นมา มันก็ทำให้คนอย่างเขาคิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่อยากจะไปที่นั่นสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้เขามีเรื่องไม่สบายใจอยู่ การจะไปหายายทวดของเขาด้วยสภาพนี้คงไม่เป็นเรื่องดีนัก ทั้งที่จิตสำนึกมันสั่งการออกไปแล้ว แต่พูดออกไปแล้วว่าจะเดินทาง เขาก็เลยหาจุดหมายปลายทางให้ลูกน้องเพื่อเป็นการไม่กลับคำพูด พอเดินทางมาถึงยังโกดังที่เต็มไปด้วยของผิดกฎหมาย ก็ยิ่งทำให้มาเฟียหนุ่มหนักใจขึ้นอีก เขาขายของเหล่านี้ไม่ได้มาสักพักแล้ว จนของมันเต็มโกดังไปหมด ในตอนนี้มันก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นจนขึ้นหรอก แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาจนขึ้นแน่ๆ พอเห็นแบบนี้แล้ว เขาก็เลยดื่มเหล้าเพื่อแก้ปัญหา ดื่มจนเมามายแทบไม่ได้สติ และเขาก็สั่งให้ลูกน้องขับรถพาเขาไปยังที่ที่เขาคิดว่าไม่ควรไปตั้งแต่แรก "ลมอะไรหอบพ่อรูปหล่อของยายทวดมาถึงที่นี่ได้" แม้นวาดเอ่ยทักทายเหลนเพียงคนเดียวของเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูงัวเงียสุดๆ ด้วยเธอนั้นลงนอนไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำ และต้องตื่นมาต้อนรับเหลนชายตัวแสบตอนเที่ยงคืน "สวัสดีครับ" ร่างหนาที่เมามายแทบเดินไม่ตรงทาง ประคองตัวให้เดินตรงให้มากที่สุด แล้วหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้องรับแขกของบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ทักทายญาติผู้ใหญ่แต่เพียงคำพูดไร้ซึ่งการกระทำใดๆ ทำราวกับทักทายเพื่อน "เมามางั้นเหรอ" กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งออกมาจากตัวเหลนชายทำให้คนแก่อย่างแม้นวาดรับรู้ได้ในทันทีว่าเหลนชายตัวแสบนั้นเมามา ทำเอาเธอถึงกับเบือนหน้าหนีไม่มองเหลนชายคนเดียวที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีๆ ด้วยไม่ค่อยชอบคนเมา หรือเรียกอีกอย่างว่ารังเกียจก็ว่าได้ "นิดหน่อยครับ" คนเมายอมรับแต่โดยดีแต่มันก็ไม่ทั้งหมด เขาไม่ได้เมาแค่นิดหน่อยตามที่ปากพูดออกไปหรอก เขาเมามากมาย เมาจะเขาพาตัวเองมาตรงนี้ได้ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่มาเด็ดขาดเพราะไม่อยากรับกวนยายทวด "มีธุระอะไรก็ว่ามา คนแก่จะไปนอน ไม่อยากอยู่คุยกับเหลนเมาๆ อย่างแก" แม้นวาดออกปากไล่เหลนชายเพียงคนเดียวของเธออย่างอ้อมๆ ไม่อยากจะพูดตรงๆ ออกไปว่าให้กลับไปเสียเถอะ หายเมาแล้วค่อยกลับมาใหม่ เพราะจะพูดอะไรไปคนเมาแทบไม่มีสติก็คงไม่กลับหรอก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม