“ลูกมีเรื่องที่ห้างการค้าจะคุยกับท่านพ่อหน่อย” เทียนหยูบอก
ฟู่เทียนเฉินเห็นสีหน้าของลูกชายที่ดูค่อนข้างเป็นกังวลก็พอจะมองออกแล้วว่ากิจการของตนเองต้องมีปัญหาเป็นแน่ จึงได้รีบเรียกให้ลูกชายเข้าห้องมา
บรรยากาศความรื่นรมย์ที่เกิดขึ้นระหว่างท่านฟู่กับหลินฮวาได้จบลงแล้ว เมื่อเทียนหยูก้าวเข้าไปในห้องก็รู้สึกเหมือนกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้นภายในห้องก่อนหน้านี้
ท่านฟู่จัดการเก็บหลักฐานทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเป็นเสื้อผ้าของเขาที่เคยถอดทิ้ง ข้าวของที่ตกกระจัดกระจายอันเนื่องมาจากแรงกระแทก หรือแม้แต่กลิ่นกายของหลินฮวาเขาก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย
“ว่ามา เกิดอะไรขึ้น” ฟู่เทียนเฉินหันหน้าไปถามลูกชาย เขาดูท่าทางไม่มีความหนักใจแสดงออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย
ผิดกับลูกชายที่แบกความกังวลมาเต็มอก อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในวงการการค้ามานานจนไม่เกรงกลัวอะไรแล้วก็เป็นได้
เทียนหยูก้มหน้ามองพื้นอยู่ครู่หนึ่ง พยายามคิดเรียบเรียงคำพูดว่าจะพูดอย่างไรดี ไม่ใช่เพราะว่ากลัวท่านฟู่จะโมโห เพียงแต่เขาคิดว่าท่านฟู่จะคิดว่า มันเป็นปัญหาเล็กจนไม่เก็บมาใส่ใจต่างหาก และแล้วเขาก็พูดออกมา
“หลี่เฟิงมันไปยุแยงคู่ค้าของเราที่นานกิง มันบอกว่าเราไม่มีของจะส่งให้จนตอนนี้คู่ค้าของเราที่นานกิงยกเลิกการสั่งสินค้าไปแล้ว”
“ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรใหญ่โต” ฟู่เทียนเฉินว่า
เทียนหยูได้ยินคำตอบจากพ่อของตนก็ได้ถอนหายใจออกมา
“ไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะท่านพ่อ ลูกบอกกับทางคู่ค้าไปแล้วว่าเรามีสินค้าแน่นอน แต่ปัญหามันอยู่ที่หลี่เฟิง พวกมันไม่เคยหยุดระรานเราแม้แต่วันเดียว”
“เรื่องของหลี่เฟิงเดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าออกไปเถอะ” ฟู่เทียนเฉินบอกกับลูกชาย
ห้างการค้าสกุลหลี่ของหลี่เฟิงเป็นปรปักษ์กับห้างการค้าสกุลฟู่มากว่าสองทศวรรษแล้ว ที่จริงจะว่าไปแล้วห้างการค้าทั้งสองนี้มีต้นตอมาจากที่เดียวกัน
เนื่องจากหลี่เฟิงเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของฟู่เทียนเฉิน พอมีพวกอันธพาลมาหนุนหลังหลี่เฟิงก็ทรยศสกุลฟู่ไปเข้ากับพวกอันธพาลนั่น แล้วก่อตั้งห้างการค้าของตัวเองขึ้นมาซึ่งขายสินค้าเหมือนกับห้างการค้าสกุลฟู่ทุกประการ
หลินฮวากลับมาที่ห้องแล้วจัดแจงเครื่องแต่งกายของตนเองเสียใหม่ นางจะปล่อยให้ตัวเองดูผิดปกติไม่ได้ประเดี๋ยวสามีของนางจะสงสัยเอา
หลินฮวาดึงชุดกี่เพ้าสีชมพูที่สวมอยู่ให้เข้าที่ ขณะที่กำลังจัดการกับปิ่นปักผมอยู่นั้น นางก็คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับพ่อสามี
‘เหตุใดข้าจึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้นะ ทั้ง ๆ ที่นั่นคือพ่อสามีของข้าแท้ ๆ ข้าได้ทำเรื่องที่ผิดประเพณีลงไปแล้ว’
นางนั่งคิดราวกับว่าสิ่งที่นางทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ผิดบาป แต่ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกแทรกเข้ามา
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้นางรู้สึกผิดก็จริง แต่ภายใต้ความรู้สึกผิดนั้นมีความสุขอย่างแปลกประหลาด ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลฟู่ นางยังไม่เคยรู้สึกมีความสุขอย่างนี้มาก่อนเลย
ฟู่เทียนหยูแต่งงานกับนางเขาก็ไม่เคยแตะต้องนาง แต่ว่าวันนี้ท่านฟู่กลับทำให้สิ่งที่นางปรารถนานั้นเกิดขึ้น
ตอนที่นางกำลังมีสัมพันธ์อยู่กับท่านฟู่นั้นนางรู้สึกมีความสุขมาก มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยได้รับการสัมผัสแบบนี้มาก่อน
เด็กสาวบริสุทธิ์อย่างนางเมื่อได้ลองครั้งแรกแล้วมีหรือจะไม่โหยหาครั้งต่อไป
ประเทศจีนตอนนี้อยู่ในช่วงสิ้นสุดสงครามแล้ว เนื่องจากประเทศติดอยู่ในสภาวะสงครามมานาน ที่ผ่านมาประชาชนยากจน
ตอนนี้ชาวจีนต่างกำลังพากันขยันขันแข็งทำงานเพื่อฟื้นฟูสถานะของตนเอง รัฐบาลเองก็มีนโยบายที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเช่นกัน
ตระกูลฟู่ก็เป็นอีกตระกูลหนึ่งที่ใช้น้ำพักน้ำแรงทุ่มเทอย่างหนักเพื่อที่จะขยับฐานะ ตระกูลฟู่ถือว่าเป็นตระกูลที่ค่อนข้างรวย
บ้านที่หลินฮวาเข้ามาอยู่เป็นบ้านหลังใหญ่ แต่บ้านหลังนี้ดูออกจะใหญ่เกินไปด้วยซ้ำสำหรับการอยู่อาศัยของสามคน
ส่วนป้าหวังแม่บ้านที่ดูแลบ้านหลังนี้นางไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
หลินฮวาเดินลงมาในครัวเพื่อที่จะช่วยป้าหวังจัดอาหารเย็นขึ้นโต๊ะ นางทำอย่างนี้เป็นประจำ เนื่องจากนางไม่อยากให้ป้าหวังที่แก่แล้วทำงานหนักจนเกินไป
ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงสะใภ้คนเดียวของตระกูลฟู่ก็จริง แต่ด้วยความที่เคยเป็นเด็กยากจนมาก่อนจึงได้เข้าใจความลำบากของการทำงานหนักว่ามันเหนื่อยมากแค่ไหน
“ป้าหวัง เดี๋ยวข้ายกไปให้เองเจ้าค่ะ” หลินฮวาพูด มือทั้งสองข้างก็เอื้อมไปยกจานกับข้าวที่ป้าหวังตักใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว”
ป้าหวังหันมาพูดตอบอย่างเกรงใจ
“คุณผู้หญิง เดี๋ยวป้ายกขึ้นไปเอง คุณผู้หญิงไปนั่งรอเถอะ”
หลินฮวาไม่ฟังคำที่ป้าหวังพูดนางเพียงแค่หันมายิ้มให้แล้วยกจานกับข้าวขึ้นไปเหมือนเดิม
ได้เวลาอาหารเย็น
ท่านฟู่ ฟู่เทียนหยู และก็หลินฮวา ต่างมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากัน
กลิ่นหอมของอาหารที่ป้าหวังทำลอยมาเตะจมูกจนหลินฮวารู้สึกอยากจะกลืนน้ำลาย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
พ่อสามีหันมามองนางอยู่เป็นระยะ แต่ว่านางเองกลับไม่กล้าสบตาเขากลับเลย ส่วนสามีของนางน่ะหรือเขามัวแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวหาได้รู้เรื่องอะไรไม่
พอเห็นหลินฮวาดูเกร็ง ๆ ท่านฟู่จึงได้พูดขึ้นมาเพื่อให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง
“ช่วงนี้อาหยูก็จะงานเยอะสักหน่อยนะ อาจจะไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้า หวังว่าหลินเอ๋อร์คงจะไม่เคือง”
หลินฮวาเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาตอบอย่างตะกุกตะกักว่า
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้คิดมากอะไร”
“นี่อาหยู ว่าง ๆ เจ้าก็พาหลินเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่ห้างการค้าของเราดูสิ เผื่อหลินเอ๋อร์อยากได้อะไร” ท่านฟู่หันไปพูดกับลูกชายตนเอง
“ได้ขอรับท่านพ่อ” เทียนหยูตอบเสียงราบเรียบ
ปกติแล้วคนสกุลฟู่มิใช่พวกที่จะพูดคุยกันมากสักเท่าไร ยิ่งระหว่างท่านฟู่กับเทียนหยูด้วยแล้ว แทบจะไม่คุยกันเลย ส่วนมากก็จะคุยเรื่องงานกัน
ท่านฟู่เองเป็นคนสุขุมจึงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะพูดคุยกับใครอย่างไม่เป็นทางการ
ส่วนหลินฮวาเองก็เป็นคนใหม่ นางยังไม่ค่อยกล้าที่จะพูดอะไรมากนัก เทียนหยูก็ไม่ค่อยได้คุยกับนาง ทำให้บรรยากาศในบ้านค่อนข้างเงียบเหงา จะครึกครื้นก็แค่ตอนที่นางได้คุยกับป้าหวังเท่านั้น