ส่วนหล่อน ครั้นช้องม่วงไปทำงานตามปกติ และวันนี้น้องสาวของหล่อนก็ออกจากบ้านเช่นกัน ทิชาแต่งตัวเรียบร้อยออกไปพร้อมกับพี่สาว ช้องม่วงเป็นคนไปส่งถึงบริษัท ไม่ถึงห้านาที ที่พี่สาวขับรถจากไป ทิชาเปิดมือถือเพราะเบอร์ที่โทร.มา ทำให้หล่อนกดปิดเครื่องอีก
“จะโทร.มาทำไมอีก รำคาญ”
ทิชาเลิกสนใจสิรามเรศ แต่นั่นก็ทำให้สิรามเรศลงจากรถคันหรู เพราะเขาเอารถมาที่นี่ด้วย และจอดไว้ในชั้น รู้ว่าทิชาทำงานอยู่ที่นี่ คบหากันมาตั้งนาน เขาก้าวมาทันที่เห็นทิชาจะขึ้นลิฟต์
“ทิชา”
เสียงเรียกทิชาไม่สนใจหล่อนมองเขาเหมือนกับไม่มีตัวตนเลยตรงหน้าและเหมือนอากาศธาตุที่ว่างเปล่า
สิรามเรศถลันตัวจะเข้าลิฟต์ไปด้วยกันหากแต่ ลิฟต์ปิดเข้ามาก่อน อย่างอัตโนมัติ
ไม่ทันแต่เขาไม่ละความพยายาม เขารู้ว่าทิชาอยู่ชั้นนั้น จึงตัดสินใจกดลิฟต์ ทิชายังไม่เข้าไปข้างใน หล่อนรู้ว่าเขาจะต้องตามมา ประตูลิฟต์เปิดออก
สิรามเรศก้าวออกมา หญิงสาวที่ยืนหันหลังให้เขานั่น เขาจำได้ พร้อมกับหยุดยืน เพื่อขอคุยด้วย หากมีเสียงดังขึ้น
“ธุระอะไรของคุณ ที่ต้องมาถึงนี่ ขอร้องเถอะอย่ามาที่นี่อีก”
“อะไรกันนี่ ทิชา นี่ขนาดไล่เลยหรือ”
“ยิ่งกว่าไล่อีกค่ะฉันกับคุณเราไม่ควรเจอกันอีกเลย”
เขาเป็นคนที่ยืนรับฟังคำตัดรอนของทิชา หญิงสาวหัวอ่อนที่เขากับหล่อนคบหากันมานาน
“พี่สาวคุณห้ามหรือ ทุกเรื่องพี่สาวคุณชอบมายุ่ง” เขาขึ้นเสียงบ้าง
“หยุดเอาพี่สาวของฉันมาป้ายสีได้แล้ว พี่น่ะดีกับฉันทุกอย่าง ถามกลับไปยังคุณเถอะ ดีพอแล้วหรือยัง ที่จะรับผิดชอบคนอื่น ทั้งๆที่คุณก็คบผู้หญิงไม่เว้นแต่ละวัน”
เขาฟังแล้วก็อึ้งมันถูกต้องนี่คือชนวนความเจ็บปวดและบาดหมางที่เกิดขึ้น
ซึ่งรับรู้แล้วว่า ทิชาปฏิเสธเขา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เขาจะยอมให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมานานพังครืนหรือ สิรามเรศขบฟันกัดแน่นคนอย่างเขายอมแพ้เสียที่ไหน ก่อนที่เขาจะกลับ มีผู้หญิงคนหนึ่งตัดผมสั้นได้เดินเข้ามา เห็นว่าทิชายอมเดินตามเข้าไปอย่างง่าย นัยน์ตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองทิชา เขาไม่ไว้ใจ มันดูแปลก ยอมรับเขาหวงทิชา
เพราะทิชาเป็นของเขาแต่คนนั้นที่เขาเรียกว่าผู้หญิงหล่อนมีความเป็นหญิงที่ใบหน้าแต่ท่าทางทะมัดทะแมงเหมือนชาย สวมเชิ้ตแต่พับข้อศอก ผมตัดสั้นไว้จอน นี่ลักษณะผู้ชายชัดๆ ใส่ต่างหูเหมือนคนที่ระเบิดหู เขาตกใจ อย่าบอกนะที่ทิชาไม่ยอมคบเขาเพราะเบี่ยงเบน อึ้งอีกครั้ง มันทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม
************
เย็นวันนั้นเมื่อศิลารัณย์กลับมาถึงบ้านก็พบว่าแขกที่มาเยือนคือคุณหญิงผอบเดือน กับเกศวลี ตามที่มารดาเอ่ยไว้ไม่มีผิด ขณะศิลารัณย์ขับรถเข้ามาจอด และนั่นรถเบนซ์คันหรูสีขาวของเขาก็จอดทิ้งไว้ เขาสามารถทายและคาดเดาได้ว่า มารดาจะต้องทำตามที่ท่านต้องการ
“ศิลา เสร็จแล้วลงมาหาแม่ด้วยนะลูกมีแขกมา” เขาไม่เอ่ยตอบแต่อย่างใด หากเข้าใจความประสงค์ ระหว่างเดินขึ้นห้องของตัวเอง
น้องชายของเขา คนที่อยู่บ้านทั้งวัน ทราบความและการก้าวเข้ามาเยี่ยมเยือนที่แม่ของเขา และแขกทั้งสอง คุณหญิงผอบเดือนกับลูกสาวที่ถูกเชื้อเชิญมา
“ว่าไงล่ะศิลามีโจทย์เสียแล้วไม่แน่อาจจะเป็นข่าวดี”
สิรามเรศที่ก้าวออกมาหยุดยืนมือเกาะที่ระเบียง “อยากจะฟัง อยากจะรู้เหลือเกินว่าเป็นข่าวอะไร กันแน่ เพราะเพื่อนคุณแม่ระดับไฮโซไฮซ้อทั้งนั้น”
“ไม่อยากฟัง”ศิลารัณย์ตอบน้องชาย
“กอล์ฟก็เหมือนกัน จัดการเรื่องชีวิตตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ที่จะมาห่วงพี่ เพราะพี่ไม่มีอะไรน่าห่วงเท่ากอล์ฟ ทำอะไรไว้เยอะนี่”
ศิลารัณย์เอ่ยแค่นั้นก็ผลุบเข้าห้อง ใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอาบน้ำ ลงมาในชุดใหม่ อย่างที่ใจของศิลารัณย์ไม่ได้ต้องการนัก ทำเหมือนแบบตามมารยาท ในเมื่อมารดาของเขาเลือกอย่างนี้
เขาแค่ช่วยเหลือท่านไม่ให้แขกเหรื่อตำหนิ ร่างสูงโปร่งตรงมาแล้ว เกศวลีเห็น หล่อนได้เห็นนัยน์ตาของคุณผกาแก้วและคุณหญิงมารดาที่ขยิบเหมือนบอกให้รู้ว่าต้องทำยังไง
“สวัสดีค่ะพี่ศิลา” ศิลายิ้มให้ตามมารยาท ไหล่ตรงที่ผึ่งผายใบหน้าดูคมคาย เกลี้ยงเกลาสะอาดตา คุณหญิงผอบเดือนจดจ้องสายตามาทางชายหนุ่ม บรรยากาศที่ทำให้ศิลารัณย์อึดอัด ไม่ใช่ความต้องการของเขาแต่เป็นของมารดา เขาจะพูดออกมาไม่ได้
“เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน คงจะเหน็ดเหนื่อย คนหนุ่มไฟแรงก็อย่างนี้ล่ะนะ ขยันเชียว”
แต่ศิลารัณย์นิ่งกับคำชม
“ไม่ได้มาเสียนาน ป้าพายายเกศมาด้วย รบเร้าเชียว อยากจะมาเห็นหน้าพี่ศิลา”
ศิลาพยักหน้า เขาจะทนอยู่ได้นานสักแค่ไหน บอกตามตรงกิจกรรมที่เขาอยากไปคือข้างนอก นักสิทธิ์เพื่อนรักมาชวน เขาจะมาขออนุญาตคุณผกาแก้ว แต่เมื่อเห็นแขกมา ต้องเก็บไว้ก่อน เขากลัวจะยืดยาว แล้วธุระของเขาจะไม่ได้ไป สิ่งที่เขามองเป็นตัวกั้นขวางคือคุณผอบเดือนกับเกศวลี ที่จำเพาะมาในเวลานี้
เกศวลียิ้มเอียงอายหน้าบายไม่ยอมหุบ
“วันนี้แม่ชวนคุณหญิงอยู่ทานข้าวกับเราด้วย ลูกก็ต้องพร้อมนะ กับข้าววันนี้แม่ปรุงสุดฝีมือ”
คุณผกาแก้วหันไปทางบุตรชาย ศิลารัณย์มีสีหน้าเนือยแต่ก็พยักหน้า แค่ทานข้าวคงไม่นาน
“งั้นผมมีธุระจะออกไปข้างนอกด้วยครับ”เขาบอก
คุณผกาแก้วหันมาทางบุตรชายสีหน้าตำนิเล็กน้อย และคุณหญิงผอบเดือนก็มองมายังเขาตรงๆ ตรวจตราดูความผิดปกติ เกศวลีที่นั่งนิ่งมานานก็ชักอยากจะรู้จนทนไม่ไหว
“พี่ศิลาจะออกไปทำธุระที่ไหนคะ”
“พี่นัดกับเพื่อนไว้”
“ก็ไม่เป็นไร เสร็จธุระเรื่องนี้ก่อน ขอให้อยู่คุยกินข้าวแล้วค่อยไปก็ได้”
“ครับ” ศิลาพยักหน้า
สิรามเรศก้าวเดินผ่านมา เขาพร้อมในชุดที่จะออกไปข้างนอก ค่อนข้างเนี๊ยบ
“อ้าว ตากอล์ฟ” คุณผกาแก้วทัก
“ออกไปข้างนอกครับ”
ศิลารัณย์เหลือบดูน้องชาย สิรามเรศหยุดฝีเท้า เมื่อถูกทัก ดูเหมือนมารดายังอยากให้อยู่พบแขก
“ธุระอะไรจำเป็นนักหนาล่ะลูก แม่เห็นอยู่กับบ้านทั้งวัน”
“ก็ตอนนี้กอล์ฟเบื่อแล้วนี่ครับอยากออกไปข้างนอก”
เอ่ยแล้วสิรามเรศทำความเคารพคุณหญิงและทักทายเกศวลี เกศวลียิ้มรับเท่านั้น ลักษณะเพลย์บอยแต่งตัวกวนๆ ขัดใจหล่อน คุณผกาแก้วถอนใจหันไปทางคุณหญิง
“นี่แหล่ะค่ะคนเล็ก เอาแต่ใจสุดๆ”
“ปล่อยไปเถอะค่ะคนหนุ่มก็เลือดร้อนอย่างงี้ล่ะ ชอบเที่ยว”
คุณหญิงผอบเดือนคล้ายไม่พึงพอใจแต่ก็เอ่ยไปตามน้ำ เพราะจุดประสงค์ของลูกสาวนั้นอยู่ที่ลูกชายคนโตของคุณผกาแก้ว
“ว่าแต่พ่อศิลาเถอะ ชอบเที่ยวหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่เที่ยว พ่อคนโตของดิฉันน่ะชอบอยู่บ้าน ทำงานเหนื่อยก็อยากพักผ่อน”
คุณผกาแก้วชิงตอบเสียเอง ศิลารัณย์ได้แต่นิ่งเงียบ เขาอยากแย้งโต้เถียงกลับไปบ้าง มารดาของเขาต้องการวาดภาพของเขาให้สวยหรูเหลือเกินในสายตาของ
คุณหญิง แต่ศิลารัณย์รู้ดี มารดาต้องการสร้างภาพพวกนี้ไปทำไม ทั้งๆที่เขาไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป ที่มีรักโลภโกรธหลงเหมือนมารดาพยายามเอาผ้าห่อมาปิดภาพที่แปดเปื้อนของเขาเลยกลายเป็นว่า เวลานี้เขาไม่ได้เอาปากมาด้วย