“ผมยังไม่แน่ใจ”
“งั้นหรือลูก เอาให้แน่ใจก่อน ค่อยบอกแม่ แม่เชื่อลูกของแม่ว่าจะเลือกคู่ครองได้เพชรเม็ดแท้ที่คู่ควรกับวงศ์ตระกูลได้อย่างแน่นอน”
คุณผกาแก้วปักใจและมั่นใจอย่างแน่นหนัก
ศิลารัณย์เงียบ นั่นไม่ใช่คำตอบของเขาให้มารดา เพราะคนที่เขาคิด อาจจะไม่ได้เลิศเลอเพอเฟกต์อย่างที่มารดาคิด อาจจะฐานะกลางๆ แต่เป็นคนมีชื่อเสียง เขายอมที่จะเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองก่อน ที่จะบอกคนในบ้าน
“ผมจะเลือกใคร อาจจะไม่ตรงใจคุณแม่ก็ได้ครับ เพราะผมจะเลือกด้วยตัวเองให้ผู้หญิงคนนั้นเหมาะสมและเป็นคนดีที่สุด” ศิลารัณย์ตอบ
“แต่ถ้าตามมาด้วยข่าวฉาวโฉ่ เป็นผู้หญิงที่มีมลทินมา แม่ไม่ยอมรับนะ ผู้หญิงหยำฉ่า ถึงแม้จะเลิศเลอขนาดไหน แม่รับไม่ได้”
เป็นครั้งแรกที่เธอออกเสียงเข้ม เหมือนลูกชายจะแหกคอก ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำ นั่นเพราะความเสียใจและ เธอก็ไม่ต้องการ
“ศิลาก็รู้ดีว่าตระกูลของเราเป็นผู้ดีเก่า มีคนนับหน้าถือตา แม่ไม่อยากให้ลูกหลาน ทำอะไรอับอายขายขี้หน้าบรรพบุรุษที่ยืนยงตั้งวงศ์วานกันมาหลายยุคเพราะร่วมสร้าง ริเริ่มกันมา”
คำนี้เขาเข้าใจความหมายของคุณผกาแก้ว
แต่คำตอบของเขาตัดสินใจออกไปแล้ว ศิลารัณย์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของตัวเองและคำพูด
“งั้นก็ดี แต่ว่า นี่ แม่น่ะคัดเลือกผู้หญิงให้กับศิลาแล้วนะ ลูกสาวท่านรัฐมนตรี หนูเกศวลี แม่กับคุณพ่อกำลังทาบทามอยู่ เพราะอะไรนะหรือ ครอบครัวเรายังติดต่อธุรกิจ ท่านรัฐมนตรีก็เป็นเพื่อนกับพ่อของลูก ได้ตระกูลนี้มาประดับไว้ เหมาะสมวงศ์ตระกูล จะได้เชิดหน้าชูตาขึ้นอีกหลายเท่า”
เขาฟังคำพูดของมารดา ฟังแล้วก็รู้สึกเบื่อ นี่จะมากะเกณฑ์ชีวิตของเขาอีกแล้ว เขารู้ว่าสิรามเรศก็เจอเหมือนกัน สิรามเรศคบหาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จู่ๆก็หายเงียบไป ศิลารัณย์ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ที่มีสิริดาราเข้ามาในชีวิตของน้องชายก็เพราะผู้เป็นมารดาของเขาริเริ่มและก้าวก่ายถึงตัว ศิลาไม่อยากเป็นแบบนี้ เขาทั้งอึดอัดและเบื่อ วิธีการคลุมถุงชน น่าจะหมดจากโลกนี้ไปนานแล้วล่ะ
“แม่อย่าใช้วิธีนี้กับผมเลยนะ กับนายกอล์ฟ ก็พอเถอะ ผมไม่ยอมให้แม่บงการชีวิตหรอกครับ มันเป็นของผม ผมควรจะเลือกเองถึงจะดีที่สุด ผมมั่นใจตัวเอง”
เขาพยายามทำให้คุณผกาแก้วเข้าใจ
สำนวนสุภาษิตที่ว่าผูกเรือนตามใจผู้อยู่ผูกอู่ตามใจผู้นอน คำที่ขึ้นเสียงแข็งกับนางด้วยนิดหน่อยเป็นของลูกชายคนโต ก็ทำให้คุณผกาแก้วชะงัก ความทระนงหยิ่งในศักดิ์ศรีของศิลามีมาก คำที่เขาประกาศออกมา ทำให้นางเข้าใจเจตนาของเขาด้วยเช่นกัน แต่นางก็เลือกที่จะทำตามตัวเองด้วยการบังคับลูกชาย
“เถอะแม่จะคุยแค่นี้ แต่แม่ก็จะยืนยันตามความคิดของแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็เห็นเหมาะสมควรเช่นกัน”
กล่าวคำนี้ แล้วคุณผกาแก้วออกจากห้องลูกชาย
ศิลารัณย์เดินไปปิดประตูขังตัวเองเงียบ ไม่นอน หลังจากที่ฟังคำของมารดาที่ยึดมั่นถือมั่น ถูกต้องศิลาเป็นสมบัติของท่าน เลือดเนื้อแขนขาจิตวิญญาณ แต่การที่ต้องทำตามท่าน ชีวิตเขาจะมีความสุขหรือ ถ้าไม่ได้เป็นคนที่เลือกด้วยตัวเอง
คนที่เขาจะแต่งงานด้วย คือคนที่จะอยู่กับเขาตลอดชีวิต ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าว ล้มและจบลงด้วยเลิกหย่าร้าง เช่นหลายคู่ที่พบเห็นมากแล้วในสังคม
สักพักจึงปิดไฟแล้วเข้านอนพรุ่งนี้เขาต้องตื่นไปทำงานไอ้เรื่องสับสนความวุ่นวายต่างๆเก็บไว้ก่อนไม่อยากให้มันมาหลอนหลอกเขารุนแรง แค่คำพูดของคุณผกาแก้ว ก็ทำให้เขาเครียดแล้ว เขาต้องการเลือกเอง ที่สำคัญเขาคิดว่าหาเจอแล้ว
คำของคุณผกาแก้วก้องหู แต่เขาไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันนี้ศิลารัณย์ตื่นเช้ารู้สึกแปลกใจ ที่เมื่อคืนนอนดึก มีเรื่องที่กระตุ้นเตือนเขาจากคุณผกาแก้ว แม่ต้องการจับเขาคลุมถุงชน ซึ่งเขาไม่ชอบ
หากว่าคุณผกาแก้วจะนัดเพื่อนสนิทภริยาท่านรัฐมนตรีและเกศวลีลูกสาวให้มาที่บ้านเย็นนี้
และเขาก็รีบหาทางไปทำงานและกลับค่ำที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยง ศิลารัณย์แต่งตัวเสร็จสรรพ เขาตรงไปที่รถเพื่อขับออกไป ในบ้านยังไม่มีใครตื่น นอกจากคนใช้ที่ลุกขึ้นมาตามปกติเพื่อทำหน้าที่
“วันนี้ออกเช้าจังเลยนะคะ คุณศิ”
ตุ้มสาวใช้ทักเขา
“จะทานกาแฟก่อนมั๊ยคะ”
ศิลารัณย์ปฏิเสธ
“ไม่หรอกฉันรีบไป” ศิลารัณย์ก้าวจากไป ทำให้คนใช้มองดูเจ้านายหนุ่มแบบแปลกใจ เพราะเพียงเท่านี้เจ้านายหนุ่มก็ลิ่วไปแล้ว นางสาวจะไปจุ้นอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเจ้านาย ไม่เหมาะไม่ควร
แม้ลึกๆอยากจะรู้ อาจจะเป็นเพราะคุณศิลา เป็นลูกชายคนโตของบ้าน นางสาวตุ้มอยู่ดูแลมาตลอด แต่วันนี้เห็นสีหน้าไม่สบาย
อดคิดไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายคนโตสุดหล่อของบ้าน รัตนภูเบศ เพราะปกติแล้วลูกชายคนโตแม้ติดจะออกขรึม แต่บุคลิกก็ร่าเริงแจ่มใส ส่วนคนเล็กนั้นดูล้น ทั้งขี้เล่นไปจนถึงกะล่อน
แต่ว่าพอศิลารัณย์ก้าวลงจากบันได เขามองเห็นว่าน้องชายตามมาด้วย ปกติสิรามเรศไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า แต่เขาก็เร่งฝีเท้าเพื่อจะทำงาน ไม่ได้หยุดเพื่อทักกับน้องชาย แต่เห็นชัดว่า นอกจากรีบตื่นเช้า เหมือนมีธุระสำคัญ
สิรามเรศยังแต่งกายเนี๊ยบ แต่ถ้าจะให้คาดเดาว่าไปทำงานคงไม่หรอก เพราะไม่ชอบทำงาน ชอบสนุกสนานกับชีวิตไปวันๆ
นิสัยของน้องชายกับเขาต่างกันสุดขั้ว
แน่ล่ะ สิรามเรศอวดร่ำอวดรวยว่าเป็นลูกชายมหาเศรษฐีถึงไม่คิดทำกิน ก็มีคนเลี้ยง อย่างน้อยก็พ่อแม่
แต่ศิลารัณย์คิดในทางเอาตัวรอดก่อน คนเราต้องทำมาหากินทรัพย์สินเมื่อมีย่อมสูญหากไม่มีการต่อยอดหรือหาสะสมเพิ่ม ตัวอย่างนี้มีให้เห็นมากมายแล้ว
ใกล้ตัวเขาก็เห็น ลูกชายของอดีตมหาเศรษฐีเชื้อสายตระกูลเจ้าและชั้นเจ้าพระยาพาณิชย์ ถือว่าสายสกุลผู้ดี ยังต้องล้มละลายกิจการถึงขนาดเอาทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดของบรรพบุรุษขายทิ้งมีให้เห็นนักต่อนักอย่างเพื่อนเขา นักสิทธิ์
แต่ฝีเท้าที่ก้าวมาทัน เหมือนต้องการให้รู้ว่า ทำไมวันนี้พี่ชายของเขาถึงได้รีบร้อนออกจากบ้าน ทั้งๆที่ยังเช้าอยู่ ส่วนสิรามเรศรู้อยู่แก่ใจดี เขาต้องการไปดักพบกับ
ทิชาที่ทำงานหากแต่ทิชาก็ปฏิเสธเขาหลายครั้ง อยากรู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น พี่สาวของหล่อนใช่ไหมที่ขวางทางเขา นั่นเพราะ เขารู้ถึงฝีปากเราะร้ายของพี่สาวทิชาดี
“ศิลา” เมื่อเขาถูกทัก
“วันนี้รีบไปแต่เช้าเลย”
“ขยันไง” เอี้ยวร่างสูงนิด เพื่อหันมาตอบน้องชาย
“กอล์ฟล่ะ ปกติตะวันสายโด่งไม่ใช่หรือ ถึงจะออกจากบ้าน วันนี้ก็แปลกใจที่รีบออกจากบ้าน”
“มีธุระ”
“กับใครที่ไหนอีกล่ะ คู่ขาเก่าหรือว่าคู่ขาใหม่”
สิรามเรศยิ้มๆที่พี่ชายคนโตคาดเดาทางออก
“ก็ตามประสากอล์ฟนั่นล่ะ อยากไปเจอคนเก่า”
“คบกันทีละหลายคนระวังสับรางไม่ทันนะกอล์ฟ”
“ศิลาก็เถอะ หาให้ได้เป็นตัวเป็นตนละกัน ไม่งั้นก็ถูกคุณนายจับคลุงถุงชน”
แค่นั้น พี่ชายของเขาก็ไปแล้ว ทีนี้เหลือสิรามเรศถึงคราวทีเขาไปบ้าง ตั้งใจจะออกไปข้างนอก ไปหาทิชา ชื่อนี้ที่นึกถึง ต้องการไปดูถึงที่ทำงาน และรีบขับรถออกไป คิดว่า คงได้ทันหล่อน เพราะเขาจะมาดักพบทิชา