บทที่ 4 คำสั่งพ่อกับแม่
ใกล้เวลาอาหารค่ำ โต๊ะทานข้าวภายในบ้านของเคลลี่ถูกจัดไว้อย่างดี มีจานสำหรับใช้ทานข้าวอยู่อยู่หลายชุด รวมถึงอาหารที่ดูเยอะกว่าทุกวัน
“วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าครับพ่อ ทำไมกับข้าวถึงดูพิเศษกว่าทุกวัน”
เคลลี่ถามขึ้นเมื่อลงมาเห็นอาหารที่แม่บ้านได้จัดเตรียมเอาไว้ ซึ่งปกติแล้วแค่เขากับพ่อสองคน จะทานอาหารกันแค่ 2-3 อย่างเท่านั้น แต่วันนี้เมนูที่อยู่บนโต๊ะกลับมีมากกว่า 5 อย่าง
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีวันนี้พ่อชวนอาชาญมากินข้าวด้วยน่ะ อีกอย่างมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับแกแล้วก็หนูตะวันด้วยก็เลยชวนมากินข้าวกันให้พร้อมหน้าจะได้คุยพร้อมกันทีเดียว”
พ่อของเคลลี่ตอบเสร็จก็หันไปสั่งให้แม่บ้านจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยต่อ ปล่อยให้เขาสงสัยว่าเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขาและตะวันนั้นคืออะไร
คงไม่ใช่จะจับคลุมถุงชนหรอกมั้ง...
“สวัสดีค่ะลุงคาร์ล”
เสียงเจื้อยแจ้วของตะวันเอ่ยสวัสดีชายวัยกลางคนเมื่อเดินเข้ามาถึงข้างในบ้าน
“ไหว้พระเถอะลูก มา ๆ มานั่งตรงนี้กัน กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุย”
ตะวันหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ชายหนุ่มที่เป็นคู่กัดกับเธอตั้งแต่วันแรกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเหลือที่นั่งแค่ที่เดียว
เวลาอาหารค่ำผ่านไป ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น และบทสนทนาก็เริ่มขึ้น
“ตะวัน พ่อกับแม่แล้วก็ลุงคาร์ลมีอะไรจะบอกหนูกับพี่เคลน่ะลูก”
คำเอ่ยของผู้เป็นพ่อทำเอาเธอสงสัยไม่น้อย เรื่องอะไรกันถึงต้องมาคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตาขนาดนี้
“พ่อกับแม่มีอะไรจะบอกหนูเหรอคะ แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่เคล ถึงต้องคุยพร้อมกัน”
ใบหน้าเล็กหันมองหน้าพ่อกับแม่ซ้ายทีขวาที
“คืองี้นะตะวัน พ่อกับลุงคาร์ลตกลงจะเปิดบริษัทร่วมกันเพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศ แล้วพวกเราจำเป็นต้องไปดูตลาดที่ต่างประเทศด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนถึงจะกลับมา”
คำตอบของพ่อเธอก็ไม่ได้สงสัยอะไร มันก็เป็นเรื่องปกติเวลาต้องการขยายตลาดแล้วพ่อต้องไปดูด้วยตัวเอง เพียงแต่ครั้งก่อน ๆ มันไม่ได้นานขนาดนี้ก็แค่นั้น
“หนูเข้าใจเรื่องนั้นค่ะพ่อ ว่าแต่..แล้วทำไมต้องรอพูดกับหนูกับพี่เคลพร้อมกันด้วยคะ”
ตะวันถามผู้เป็นพ่อขึ้นมาอีกครั้ง
“นั่นน่ะสิครับ ผมก็ไม่เข้าใจ ปกติพ่อก็ไปต่างประเทศบ่อย ๆ ไม่เห็นจะต้องทำเหมือนมันเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย”
คราวนี้เป็นเคลลี่ถามพ่อตัวเองขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่แม่เสียชีวิตไปตอนเขาอายุ 16 ปีเพราะอาการป่วย เคลลี่ก็จำเป็นต้องอยู่บ้านคนเดียวเป็นประจำเมื่อพ่อของเขาไปทำงานไกล ๆ ซึ่งทุกครั้งก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร
“ก็คราวนี้แม่ก็ไปด้วยหนูต้องอยู่บ้านคนเดียว 2 เดือน”
ตะวันเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่สลับไปมา ปกติเธอจะมีแม่อยู่ด้วยตลอด ถึงเธอจะอายุ 19 ปีแล้ว แต่ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ต้องอยู่คนเดียว
“แล้วหนูจะอยู่ยังไงคะ พ่อกับแม่ก็รู้ว่าหนูกลัวผี”
“ก็เพราะรู้นี่แหละ พ่อกับแม่และลุงคาร์ลถึงต้องเรียกทั้งสองคนมาคุย”
พูดมาถึงตรงหน้าทั้งตะวันและเคลลี่ต่างหันมามองหน้ากันเลิ่กลัก
“นี่พ่อคงไม่ได้หมายถึงจะให้หนูย้ายมาอยู่กับอีตานี่เป็นการชั่วคราวหรอกใช่ไหมคะ”
“ตะวัน ทำไมเรียกพี่แบบนั้นล่ะลูก”
คนตัวเล็กยกมือปิดปากแทบไม่ทันเมื่อเผลอตัวเรียกชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตามความคิดในใจ
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวก้มหน้างุดเอ่ยขอโทษออกมาเบา ๆ เมื่อหันไปมองหน้าเคลลี่ก็เห็นว่าเขากำลังแอบหัวเราะเธอเล็ก ๆ
ฝากไว้ก่อนเถอะ..
“ไม่มีใครต้องย้ายไปไหนทั้งนั้นล่ะ แต่ระหว่างสองเดือนที่พวกพ่อไม่อยู่ ไอ้เคลจะต้องดูแลหนูตะวันเป็นอย่างดี คอยไปรับไปส่งน้อง กลางคืนก็ต้องคอยสอดส่องว่าน้องอยู่ได้หรือเปล่า ถ้าน้องอยู่คนเดียวไม่ได้ แกก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าน้องจะสบายใจค่อยกลับมาบ้าน เข้าใจใช่ไหมเคล”
คราวนี้เป็นเคลลี่ที่เงยหน้าขึ้นมองพ่อตัวเองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อในคำสั่งสักเท่าไหร่
“แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ ถ้าเกิดผมมีธุระจะต้องออกไปไหนก็ต้องเอายัยเด็กเตี้ยนี่ไปด้วยยังงั้นเหรอ”
“ไอ้เคล!”
เสียงพ่อตะคอกทำให้เคลลี่ต้องหลบสายตา แต่ก็ไม่วายหันไปถลึงใส่คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“ภาระ”
เขาสบถพูดเบา ๆ แค่พอได้ยินกันสองคนเท่านั้น แต่ว่า..
“ลุงคาร์ลขา พี่เคลเขา”
ตะวันกลับเรียกพ่อของเขาแล้วยังทำท่าจะฟ้องอีกด้วย
“มีอะไรเหรอตะวัน”
“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่พูดกับน้องว่าจะดูแลให้ดีครับ”
เคลลี่ต้องรีบชิงพูดพัลวันก่อนที่ยัยตัวดีข้าง ๆ ทำท่าจะฟ้องพ่อของเขาขึ้นมาจริง ๆ
ร้ายนักนะ...
2 อาทิตย์ต่อมา
“เดินทางปลอดภัยนะคะ อย่าลืมของฝากหนูนะ”
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะตะวัน อย่าดื้อกับพี่เคลเขานักล่ะ”
ตะวันเข้าสวมกอดพ่อกับแม่อย่างออดอ้อน ด้วยที่เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวและไม่เคยอยู่เพียงลำพังมาก่อนทำให้พ่อกับแม่อดเป็นห่วงไม่ได้
“หนูเป็นเด็กดีจะตาย ไม่เคยดื้อเลยสักครั้งแม่กับพ่อก็รู้”
อ้อมแขนเล็กยังกอดผู้เป็นแม่ไม่ยอมปล่อย หยดน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโต
“ขี้แยเป็นเด็ก”
ใบหน้านวลหันขวับไม่มองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ส่วนเจ้าของเสียงก็ทำเฉไฉไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่กัดคนอื่นสักวันจะตายไหมฮะ”
คำพูดของเธอทำเอาแม่ต้องตีแขนเอาไว้เบา ๆ เพื่อปรามคำพูดของลูกสาวตัวเอง
“ไอ้เคล ดูแลหนูตะวันให้ดี ถ้าเกิดน้องเป็นอะไรขึ้นมาพ่อจะกลับมาจัดการแกชุดใหญ่ จำไว้ด้วย”
รอยยิ้มที่ได้ว่าคนตัวเล็กต้องหุบลงทันทีเมื่อพ่อของเขาหันมาออกคำสั่ง
“โธ่พ่อครับ ใครจะไปทำอะไรน้องตะวันได้ล่ะครับ ผมนี่ต่างหากที่พ่อต้องห่วง ไม่รู้จะต้องตกระกำลำบากอะไรบ้าง”
ใบหน้าหล่อ ๆ ก็ทำท่าออดอ้อนพ่อของตัวเอง จนทำเอาตะวันที่ยืนมองอยู่กลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
โตยังกับควายยังกล้าทำท่าทางเหมือนเด็ก..เธอคิดในใจ
“เวรกรรมของฉันจริง ๆ ที่ต้องมารู้จักกับเธอ”
เสียงทุ้มยียวนของเคลลี่พูดขึ้นระหว่างที่กำลังขับรถกลับมาที่บ้านพร้อมกับตะวันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“นี่ คิดว่าหนูดีใจนักเหรอที่ได้รู้จักกับพี่ คนอะไรปากเสียเสมอต้นเสมอปลาย ไม่รู้ผู้หญิงหน้ามืดพวกนั้นหลงอะไรนักหนา สงสัยจะยังไม่เคยเห็นนิสัยที่แท้จริง”
เขาพูดเพียงประโยคสั้น ๆ แต่เธอดันว่าเขายาวเป็นวา
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ 2 เดือนนี้เธอต้องอยู่ในความรู้แลของฉันนะ รู้ใช่ไหม ทำตัวให้มันดี ๆ ไม่งั้นฉันจะทิ้งให้เธอโดนผีหลอกอยู่บ้านคนเดียว”
ดวงตากลมโตตวัดมองด้วยความไม่พอใจ กล้าดียังไงเอาความกลัวของคนอื่นมาขู่
ไอ้คนนิสัยเสีย..
////////