บทที่ 5

1448 คำ
บทที่ 5 เด็กในปกครอง ใต้ตึกคณะนิเทศศาสตร์ “เป็นอะไรยะ ทำหน้าเหมือนกับโลกถล่ม” กีตาร์ถามขึ้นเมื่อเห็นตะวันนั่งทำหน้าบูดหน้าบึ้งไม่ยอมพูดจากับใคร “พ่อกับแม่ไปดูงานต่างประเทศ 2 เดือน” ตะวันตอบออกมาเพียงเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสองคนต้องมองหน้ากันไปมา “แล้วมันมีปัญหาอะไรแกถึงต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้ พวกฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร” คราวนี้สโนถามขึ้นมาบ้าง จะว่าไปเพื่อนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กประถมที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้สักหน่อย “ปัญหามันอยู่ตรงที่ 2 เดือนนี้ฉันต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอีตาพี่เคลนั่นต่างหากล่ะ” “เป็นเด็กในปกครองพี่เคล!!” สองสาวเพื่อนซี้แทบจะพูดออกมาพร้อมกัน พร้อมกับทำสายตาเป็นประกายระยิบระยับ “นี่พวกแกดูท่าทางจะตื่นเต้นนะ เป็นอะไรมากปะ” ตะวันหันใบหน้าสวยไปมองเพื่อนทั้งสองคนที่ทำท่าทางยังกับเพ้อฝันอะไรอยู่สักอย่าง “โห..ตะวัน แกฟังนะ พี่เคลนะเป็นหนุ่มสุดฮอตในมหาวิทยาลัยของเรา แถมยังหล่อ บึกบึน แล้วจู่ ๆ แกก็ต้องไปเป็นเด็กในปกครองของเขาตั้ง 2 เดือน ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน แค่คิดฉันก็รู้สึกวูบวาบแทนแกแล้ว” กีตาร์พูดขึ้นพลางทำท่าทางประกอบอาการวูบวาบที่เธอหมายถึงไปด้วย “พวกแกหยุดคิดอะไรอัปมงคลเลยนะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิยายที่พระเอกนางเอกเป็นคู่กัดกันแล้วจะมารักกันเพราะความใกล้ชิดน่ะ แค่คิดก็ขนลุก อี๋” คราวนี้เป็นตะวันที่พูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางแสดงอาการขนลุกขนพอง “พูดไปเถอะ ระวังจะกลืนน้ำลายตัวเองนะยะ” เพื่อนซี้ยังเย้าหยอกเธอไม่หยุด ทำเอาตะวันต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ “อีตานั่นมีแฟนแล้วพวกแกอย่าลืม แถมขี้หวงยิ่งกว่าหมาหวงเจ้าของอีก ใครจะไปอยากได้คนแบบนั้นกัน” ดวงตากลมโตก้มมองหนังสือเรียนที่เปิดอยู่อย่างไม่สนใจอาการของเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า แต่เธอไม่รู้ว่าคำพูดต่าง ๆ นั้นเคลลี่ได้ยินหมดทุกคำ “คนอย่างฉันมันเป็นแบบไหนฮะ ยัยเตี้ย” เสียงยียวนลอยมากระทบโสตประสาทในการรับฟังจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมอง ตะวันก็เห็นเจ้าของเสียงยืนเอามือกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างหลัง “ก็เป็นอย่างนี้ไง กวนประสาท ว่าแต่พี่มีธุระอะไร มายืนทำหน้าเหมือนกำลังตามหาเจ้าของอะไรแถวนี้” ปากว่าเขากวนประสาท แต่เธอเองก็ไม่น้อยหน้า ทุกคำพูดที่สนทนากันไม่เคยคุยดีสักครั้ง “จะกลับไหมบ้านน่ะ ถ้าไม่กลับฉันจะกลับก่อน ส่วนเธอก็เรียกแท็กซี่เอาแล้วกัน” เคลลี่พูดเสร็จก็หมุนตัวเดินออกไปโดยที่ไม่สนใจว่าเธอจะกลับพร้อมตัวเองหรือเปล่า “กลับดิ รอหนูด้วย” เมื่อเห็นท่าว่าเขาจะไม่รอแน่ ๆ คนตัวเล็กที่ว่าเขาแจ้ว ๆ ก็รีบเก็บของลงกระเป๋าด้วยความไวเพื่อที่จะได้ตามไปขึ้นรถได้ทัน “เห้ยพี่! ขับให้มันช้าลงหน่อยสิ หนูกลัวนะ” มือเล็กจับอยู่ตรงที่ยึดแน่น เมื่อคนตัวโตเหยียบคันเร่งแรงไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนเบาลงเลยแม้แต่น้อย “ถ้ากลัว ทีหลังก็หัดพูดถึงฉันให้มันดี ๆ หน่อย อุตส่าห์รับเธอมาเป็นภาระตั้ง 2 เดือน” “ภาระอะไร หนูไม่ได้ให้พี่ต้องมาคอยซื้อข้าวซื้อน้ำให้ซะหน่อย แค่อาศัยติดรถนิดเดียวเอง อีกอย่างก็ไม่ได้ขอให้มาดูแลด้วย” สายตาคมตวัดมองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลง นัยน์ตาเฉี่ยวแสดงอารมณ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “นี่รู้ไว้นะถ้าพ่อฉันไม่บังคับ ฉันก็ไม่มีทางดูแลเธอหรอกยัยเตี้ย” “เลิกเรียกหนูว่ายัยเตี้ยนะ” “ก็เธอมันเตี้ยจริง” “เขาเรียกว่าคนตัวเล็กย่ะ” เพราะไม่อยากจะทะเลาะต่อ เคลลี่เลยโฟกัสสายตาไปยังถนนที่คราคร่ำไปด้วยรถแทน ส่วนตะวันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดเมื่อถูกเขาแกล้งว่าอยู่หลายครั้ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ก็ตอนนี้เขาขับรถอยู่เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่ “ตอนเย็นเธอจะกินอะไร” เคลลี่ถามขึ้นเมื่อรถมาจอดอยู่หน้าบ้านของตะวัน ขาเรียวก้าวลงจากรถโดยที่ไม่สนใจคำถาม “นี่ ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือยังไง” “ได้ยิน จะทำกับข้าวกินเอง กินอะไรพี่ก็ไม่ต้องมาสนใจหรอก” “ดี ทำเผื่อฉันด้วย เดี๋ยวมืด ๆ จะมากิน” ตะวันกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่เขาก็ขับรถออกไปและเข้าจอดในบ้านตัวเองเรียบร้อย 2 ทุ่ม “นี่ ทำไมเธอทำกับข้าวช้าจัง ฉันหิวแล้วนะ” เสียงทุ้มบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดเมื่อเคลลี่มานั่งรอทานข้าวที่บ้านของตะวันราวครึ่งชั่วโมงแล้ว “ก็แล้วทำไมไม่สั่งเดลิเวอรี่มากินเองเล่า หนูก็มีการบ้านที่ต้องทำก่อนเหมือนกันนะ” ตะวันที่กำลังจัดแจงอาหารลงใส่จานพูดขึ้น ที่จริงเขาจะออกไปทานข้างนอก หรือสั่งอาหารมาทานเองก็ได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะรอเหมือนกับว่าต้องการยั่วโมโหเธอเสียมากกว่า “เอ้า รีบกิน แล้วก็รีบกลับบ้านตัวเองไปซะ” จานข้าวถูกวางลงตรงหน้าชายหนุ่ม พร้อมท่าทีที่อยากให้เขาออกไปจากบ้านเร็ว ๆ “พ่อฉันบอกว่าให้อยู่จนกว่าเธอจะขึ้นไปนอน” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับเอือมระอาเต็มทน ไม่รู้พ่อกับแม่คิดอะไรถึงได้ฝากเธอไว้กับผู้ชายคนนี้ “อิ่มแล้วก็กลับบ้านตัวเองไป มาอยู่ทำไมบ้านคนอื่น” “ไม่อะ ฉันจะดูทีวีก่อน เธอจะทำอะไรก็ไปทำดิ” คนที่โดนไล่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว เคลลี่เดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ดูรายการต่าง ๆ โดยที่ไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านจะว่ายังไง เมื่อไล่ก็ไม่ไปตะวันก็ทำได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วก็เก็บโต๊ะอาหารที่พึ่งทานเสร็จ แต่ยังไม่ทันจะเรียบร้อยเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายวิดีโอคอลจากเพื่อนสนิท /ตะวัน! ดูอะไรนี่พวกฉันมีอะไรจะให้แกดู แกว่านี่ใช่พี่นาราแฟนของพี่เคลหรือเปล่าวะ/ เสียงของกีตาร์ดังออกมาจากสมาร์ทโฟนพร้อมกับสลับกล้องไปอีกทางที่มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งจู๋จี๋กันอย่างกับคนรัก และตะวันจำได้ดีว่านั่นคือนาราแฟนสุดที่รักของเคลลี่ /แกว่าใช่แฟนพี่เคลลี่หรือเปล่าตะวัน แต่ฉันว่าใช่นะ/ /กีตาร์ เบา ๆ อย่าเสียงดัง/ ตะวันทำท่าจุ๊ปากให้เพื่อนเบาเสียงที่พูดลงพร้อมกับพยายามเบาเสียงจากสปีคเกอร์ของโทรศัพท์ตัวเองด้วย เพราะตอนนี้เคลลี่ยังอยู่ในบ้านของเธอ “มีอะไร ไหนเอามาดูซิ” ไม่ทันรู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหน แต่ว่า สมาร์ทโฟนของเธอก็ไปอยู่ในมือเขาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมจ้องมองภาพในวิดีโอคอลนิ่ง มืออีกข้างที่ไม่ได้จับโทรศัพท์กำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ “พะ พี่เคล ไอ้กีตาร์อาจจะแค่เห็นคนหน้าเหมือนก็ได้นะ พี่อย่าพึ่งโกรธดิ” “อยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มที่ข่มอารมณ์โกรธไว้ดังเข้าไปในสาย ทำให้กีตาร์ต้องรีบสลับกล้องมาทางตัวเอง “พี่เคล!” เพื่อนซี้ของตะวันก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นชายหนุ่มอยู่ในหน้าจอ “ฉันถามว่าอยู่ที่ไหน!” เขาตวาดดังเข้าไปในสายที่ยังค้างอยู่จนคนที่โทรมารีบตอบคำถามแทบไม่ทัน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นเกิดขึ้นที่ไหน เคลลี่ก็รีบกลับไปเอารถที่บ้านตัวเองแล้วขับออกไปด้วยความเร็ว ///////
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม