"สถานที่สวยงามเช่นนี้ ไม่น่ามีภูตผีปีศาจอย่างที่ลือกันนะ เจ้าว่าไหม" เชียนจือหว่าเดินสำรวจไปรอบๆ อย่างเบิกบานใจราวกับได้ออกมาเที่ยวเล่นในแดนวิเศษ นางเดินนำเยี่ยนหรงเข้าไปในบ้านไม้แห่งนั้นอย่างไร้ความกังวล
เมื่อทั้งสองเข้ามาในบ้านไม้ก็พบกับเครื่องเรือนที่ถูกจัดวางไว้อย่างประณีตยิ่ง ม่านโปร่งสีขาวปลิวไปตามลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างอย่างอ่อนโยน เชียนจือหวาบอกว่าในบ้านหลังนี้ยังมีกลิ่นของยาและสมุนไพรจางๆลอยอยู่ ราวกับผู้ที่อาศัยอยู่เป็นหมอ… เยี่ยนหรงได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
เทพที่มีวิชาแพทย์… ไม่ใช่กระมัง ไม่ใช่อย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลเลย
นางส่ายหน้าให้กับความเลอะเลือนของตัวเอง นิสัยที่พอได้ยินอะไรก็คิดถึงกู้เฉิง สามารถโยงไปหาเขาได้ตลอดนั้นยังคงต้องปรับปรุง อันที่จริงเทพที่มีวิชาแพทย์ก็มิได้มีเพียงกู้เฉิง เพียงแต่กู้เฉิงโด่งดังในด้านนี้ที่สุดก็เท่านั้น
ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในห้องด้านในก็พบว่าเป็นห้องนอน หลังม่านโปร่งสีขาวมีเตียงหลังใหญ่ตั้งอยู่ เตียงสีเขียวมรกตมีไอสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่บนพื้นผิวของเนื้อหินเรียบลื่น
นั่นมิใช่เตียงธรรมดา แต่เป็นเตียงศิลาหยกเย็น ช่วยเลือดไหลเวียนดีต่อสุขภาพของเทพอย่างยิ่ง แต่หากใช้กับมนุษย์ผลอาจตรงกันข้าม เพราะความหนาวเหน็บเสียดกระดูกมิใช่ว่ามนุษย์ธรรมดาทุกคนจะทนทานได้
เทพที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาช่างเป็นเทพที่ใส่ใจด้านสุขภาพยิ่ง
ไม่ใช่กระมัง…
เยี่ยนหรงส่ายหน้าไล่ความวุ่นวายในหัวออกไป
"เป็นอะไรไป เห็นเจ้าเดินไปส่ายหน้าไปมาตั้งแต่เข้ามาแล้ว ที่แห่งนี้ทำให้เจ้ามึนหัวหรือ เช่นนั้นวันนี้เรากลับกันก่อน วันหน้าค่อยมาสำรวจใหม่ดีหรือไม่" เชียนจือหวาเอามืออังหน้าผากเยี่ยนหรงเพื่อดูว่ามีไข้หรือเปล่า
สถานที่ที่มีปราณฟ้าดินแข็งแกร่งเช่นนี้น่ะหรือจะทำให้นางมึนหัวได้ มีแต่จะเหมาะต่อการฟื้นฟูร่างกายและพลังของนางอย่างที่สุด
เยี่ยนหรงเดินไปเปิดหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียงออก เมื่อมองออกไปก็เห็นบ่อน้ำพุร้อนอยู่ไกลๆ ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งไปในอากาศ นางสัมผัสได้ว่าจุดนั้นเป็นจุดที่พลังปราณเข้มข้นที่สุด หากได้ลงไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนสักหน่อย อีกทั้งยังมีไข่มุกวารีที่สวมอยู่คอยช่วย จะต้องฟื้นฟูได้เร็วขึ้นแน่นอน
เพียงแต่นางกลับคิดว่านี่ไม่ปกติ ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่นาน แม้จะไม่มั่นใจนักแต่กันไว้ดีกว่าแก้ ชาตินี้นางไม่คิดว่าจะได้เจอเขา ไม่อยากเจอ ทั้งยังไม่มีหน้าไปเจอเขาอีกด้วย
"มึนหัวนิดหน่อย รีบกลับกันเถอะ"
ที่แท้นางยังมีความรู้สึกขลาดกลัวอยู่บ้าง มิใช่กลัวอันตราย มิได้กลัวอสูรสัตว์ประหลาด แต่คือกลัวที่จะสู้หน้า แม้ใบหน้านี้ของนางจะไม่เคยมีใครในแดนเทพเห็นมาก่อน แต่หากไม่ต้องเจอกันอีกก็เป็นการดีที่สุด หากยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นคนสร้างป่าปริศนาขึ้นมา ก็อย่ามาเพ่นพ่านแถวนี้ให้บ่อยนัก ชาตินี้หวังเพียงอยู่ไปวันๆ อย่างสงบก็พอ
เช้าวันรุ่งขึ้นเยี่ยนหรงก็ไปเข้าเรียนตามปกติ วันทุกวันผ่านไปเหมือนเดิม นางยังคงได้จดหมายกองพะเนินเหมือนเดิม เชียนจือหวายังนำจดหมายมากมายของนางไปจุดไฟไล่ความหนาวเหมือนเดิม และนางยังคงใช้แส้สีเงินที่เป็นอาวุธประจำกายไม่คล่องเหมือนเดิม จึงมักจะแอบมาฝึกฝนอยู่คนเดียวที่ชายป่าของสำนัก
หลายร้อยปีที่ผ่านมานางมีเพียงกระบี่เฟิงหวาเป็นอาวุธประจำกายซึ่งใช้ปราณของเทพควบคุม มิได้ต้องใช้แรงกายฟาดฟันเหมือนกับอาวุธในแดนมนุษย์ ท่วงท่าเป็นสิ่งสำคัญ พลังปราณก็เป็นสิ่งสำคัญ หลิวเส้าชงพร่ำสอน เชียนจือหวาพร่ำบอก แต่นางยังคงสะบัดแส้มามัดตนเองได้อย่างแม่นยำเรื่อยมา…
พลังของนางเหลือน้อยจนน่าเวทนามากอยู่แล้ว ร่างกายราวมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หากว่ากันตามตรงให้สู้กับเชียนจือหวาตอนนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะชนะเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเมื่อวานหลิวเส้าชงบอกว่า มีชาวบ้านในเมืองหุนโจวร้องเรียนมาว่าเจอเข้ากับอสูรหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวขณะที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่า
พรานฝีมือดีไปกันสามคนกลับเหลือเพียงคนเดียวที่รอดมาได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส หลายวันมานี้มีชาวบ้านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจำนวนมาก ผู้คนจึงคาดกันว่าเป็นเพราะถูกอสูรตนนั้นจับไปกิน ดังนั้น ในอีกสามวันข้างหน้า หลิวเส้าชงจะพานางกับเชียนจือหวาไปสำรวจดูในป่าทางทิศตะวันตกของเมืองหุนโจวเสียหน่อย
นางเคยเป็นถึงเทพผู้เลื่องลือด้านการต่อสู้ ครอบครองกระบี่เฟิงหวา ศาสตราวุธวิเศษอันดับที่สามแห่งแดนเทพ เคยนำทัพออกศึกกับเหล่าอสูรร้ายกาจนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้จะบังคับแส้ที่เป็นอาวุธแดนมนุษย์ก็ยังยาก แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับอสูร
นางไม่ชอบความอ่อนแอ ไม่ชอบยอมแพ้ ไม่ชอบกลายเป็นตัวถ่วง จึงมาซุ่มฝึกใช้แส้อยู่ข้างชายป่าหลังเลิกเรียน แต่ฝึกอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่พอใจนัก
หากสามารถใช้ปราณควบคุมแส้จากระยะไกลดังเช่นตอนควบคุมกระบี่เฟิงหวาได้ก็คงดีไม่น้อย แต่พลังในร่างยังมีไม่เพียงพอ แม้มีไข่มุกวารีคอยช่วยฟื้นฟูแต่ก็ช้าเกินไป นางจึงนึกถึงป่าปริศนาหลังกำแพงโปร่งแสงนั่น
หากได้มีโอกาสแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนสักระยะ พลังฟ้าดินจะช่วยฟื้นฟูพลังของนางได้อย่างรวดเร็ว แม้จะห่างไกลกับพลังตั้งต้นของนางอยู่มากโข แต่ก็ดีกว่าพลังเช่นทารกเทพแบบนี้ อย่างน้อยก็อาจควบคุมแส้ให้ลอยไปลอยมาได้
คิดได้ดังนั้นก็รีบไปที่ป่าปริศนา เพื่อลอบเข้าไปอีกครั้ง และใช้คาถาพรางกายไว้ไม่ให้ใครเห็น เผื่อเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดจะได้หนีทัน
เมื่อเข้าไปในป่าปริศนาได้ เยี่ยนหรงก็มุ่งตรงไปที่บ่อน้ำพุร้อนอย่างรวดเร็ว ในคราแรก มองจากที่ห่างไกลยังนึกว่าบ่อน้ำพุร้อนนี้มีขนาดเล็ก แต่พอมาถึงกลับพบว่าบ่อน้ำพุร้อนมีขนาดใหญ่มาก สามารถแหวกว่ายเล่นไปมาได้อย่างสบายๆ เห็นดังนั้นนางก็รีบถอดเสื้อผ้ากองไว้ที่ขอบสระ แล้วเดินลงไปในน้ำทันที
น้ำในบ่อมีความอุ่นร้อน เมื่อปะทะกับอากาศเย็นก็เกิดเป็นควันลอยขึ้นอบอวล หากเป็นคนปกติคงรู้สึกว่าน่าสัมผัส ร่างกายคงรู้สึกสบายอย่างมาก แต่นางในตอนนี้ไม่มีความรู้สึกร้อนหนาว เมื่อลงไปแช่เพียงรู้สึกว่าการฟื้นฟูร่างกาย และพลังเพิ่มพูน แต่อุณหภูมิของน้ำนั้นนางกลับไม่รับรู้เลย
เยี่ยนหรงยกแขนตนเองขึ้นมอง พบว่ามันมีสีขาวอมชมพูจางๆ มิได้เกิดรอยลวกจนควันขึ้นก็วางใจ นางพิงร่างกับก้อนหินริมสระ ที่ด้านข้างยังมีต้นหลิวขนาดใหญ่แผ่กิ่งใบห้อยระผิวน้ำ เสมือนม่านบังตาผู้คนไว้ชั้นหนึ่ง
นางหลับตาลงตั้งสมาธิฟื้นฟูพลังอย่างตั้งใจ แต่บ่อน้ำพุร้อนนี้ทำให้ร่างกายสบายขึ้น อีกทั้งหมู่นี้นางหักโหมฝึกวิชาจนอ่อนเพลีย แช่ร่างได้ไม่นานก็เผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น
เยี่ยนหรงปกติแล้วหลับลึกยิ่ง หากไม่มีคนปลุกคาดว่าคืนนี้คงได้นอนแช่น้ำทั้งคืนอย่างแน่นอน โชคดีที่มีกิ่งหลิวหลุดร่วงลงมาใส่หัวนางพอดิบพอดี นางจึงรู้สึกตัวลืมตาขึ้น เมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลับไปก็รีบขึ้นจากน้ำ สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และออกจากเขตป่าปริศนาอย่างรวดเร็ว
ออกมาพ้นเขตอาคมกลับรู้สึกไม่ถูกต้อง นางรู้สึกเหมือนกับว่าที่ด้านหลังมีอะไรบางอย่างตามมาตลอดเวลา แต่เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่พบอะไรเลย นางจึงรีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปเขตพักอาศัยของศิษย์อย่างรวดเร็ว แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีพลังบางอย่างก่อตัวเป็นเหมือนเส้นเชือกพุ่งทะยานมามัดแขนขานางไว้ราวกับงูสีม่วงตัวยาวเลื้อยพันไปมา กระแสพลังแม้มิได้แข็งแกร่งมาก แต่ตัวนางในตอนนี้ความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ จะดิ้นให้หลุดก็แทบเป็นไปไม่ได้
เมื่อร่างถูกตรึงไว้กับที่ด้วยกระแสพลังของเทพ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า แสงจันทร์ในคืนนี้ยังคงสว่างพอให้มองเห็นสิ่งรอบตัว อีกทั้งแสงสีม่วงที่เปล่งประกายออกมาจากกระแสพลังก็สะท้อนลงบนใบหน้าของคนผู้นั้นจนทำให้นางเห็นได้อย่างชัดเจน
เยี่ยนหรงยังไม่ทันพูดอะไรคนผู้นั้นก็กล่าวขึ้นมาก่อน
"แม่ทัพเยี่ยนหรง ไม่เจอกันเสียนาน ใบหน้านี้ทำเอาข้าแทบจำเจ้าไม่ได้"