ป่าปริศนา(1)

1841 คำ
วันหน้าที่เชียนจือหวาว่าจะพาเยี่ยนหรงฝ่าฝืนกฎก็คือวันถัดมานั่นเอง… เยี่ยนหรงจำได้ว่าในวันทำพิธีรับศิษย์ หลิวเส้าชงกล่าวว่าเขตต้องห้ามของสำนักอู่เฉิงนั้นมีอยู่สองแห่ง แห่งแรกคือหอสูงชั้นที่เจ็ดของตำหนักหย่งเหอ ที่นั่นไม่มีศิษย์คนไหนเคยเข้าไปมาก่อน แม้จะพยายามทำตัวแนบเนียนขอเข้าไปทำความสะอาด แต่ก็จะถูกอาจารย์เจ้าสำนักไล่กลับออกมาทุกครั้ง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นที่รับรองผู้มีพระคุณของนางกับหลิวเส้าชงเท่านั้น เขาไม่ใช่คนธรรมดา ไม่น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้ตามตัวได้อยู่แล้ว เยี่ยนหรงจึงไม่ได้สนใจหอชั้นที่เจ็ดมากนัก แห่งที่สองคือป่าทึบบริเวณด้านหลังสำนัก หรือที่เหล่าบรรดาศิษย์ต่างเรียกขานว่าป่าปริศนา อันที่จริงแล้วป่านี้ไม่มีชื่อ แต่ศิษย์ในสำนักต่างเรียกป่าลึกลับที่ไม่มีใครเคยเข้าไปด้วยชื่อนี้กันทั้งนั้น แน่นอนว่าที่ผ่านมามีศิษย์บางคนอ้างว่าเคยฝ่าเขตอาคมเข้าไปในป่าปริศนาตามลำพัง เมื่อกลับออกมาก็คุยโวว่าในป่ามีภูตผีปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวมากมาย ลึกเข้าไปยังมีอสุรกายตัวสูงสิบฉืออาศัยอยู่ แต่ที่พวกมันออกมาทำร้ายคนไม่ได้ก็เพราะอาจารย์ทั้งห้าของพวกเขาสร้างข่ายอาคมที่มองไม่เห็นกักเอาไว้ด้านใน ผู้ที่ได้ฟังเรื่องราวต่างไม่มีใครกล้าเข้าไปในป่าแห่งนั้นเพียงลำพัง หากโดนภูตผีวิญญาณร้าย หรือแม้กระทั่งอสูรฆ่าตาย เช่นนั้นคงไม่เหลือแม้แต่ซากศพไว้บอกคนอื่นว่าตนเองตายไปแล้วเป็นแน่ เชียนจือหวาและเยี่ยนหรงมิได้เกรงกลัวเรื่องเล่าพวกนั้น และตอนนี้ทั้งสองก็ได้มายืนอยู่หน้าปากทางเข้าป่าปริศนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ บนท้องฟ้าสีดำราวหมึกปรากฏดวงจันทร์กลมโตสีขาวนวลส่องสว่างอยู่ แม้ไม่จุดตะเกียงก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน ด้านหน้าของพวกนางคือป่าทึบที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด ต้นไม้ที่สูงใหญ่ต่างแผ่กิ่งก้านบดบังแสงจันทร์เสียจนแสงสว่างไม่มีโอกาสตกกระทบพื้น จึงไม่สามารถมองเห็นส่วนลึกเข้าไปในป่าได้มากนัก ลมพัดใบไม้ไหวเกิดเสียงสวบสาบเพิ่มความวังเวงราวกับจะมีวิญญาณร้ายโผล่ออกมาเอาชีวิตได้ทุกเมื่อ อากาศในฤดูเหมันต์ทำให้เชียนจือหวาตัวสั่นเล็กน้อย นางถูมือไปมาเพื่อขับไล่ความหนาวเย็น ความมุ่งมาดในแววตาฉายชัดแน่วแน่ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องเข้าไปด้านในให้ได้ "อยากรู้นักว่าในป่ามีอะไรกันแน่" "ก็พวกภูตผีปีศาจมิใช่หรือ มีอะไรน่าดู" เยี่ยนหรงมองเข้าไปในป่าลึกสีหน้าไร้อารมณ์ "รู้ได้อย่างไร นั่นอาจเป็นเรื่องลวง" เชียนจือหวาเดินนำหน้าเข้าไปในป่าปริศนาอย่างรวดเร็ว ระหว่างก้าวเท้าเข้าใกล้แนวป่าสายตาก็กวาดมองไปรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น อีกทั้งยังยิ้มอย่างสมใจนักที่วันนี้มีคนมาช่วย ไม่แน่ว่าอาจฝ่าเขตอาคมได้จริงๆ เชียนจือหวาเมื่อเดินเข้าใกล้แนวป่าก็หยุดฝีเท้า นางยกมือขึ้นตบความว่างเปล่าตรงหน้าก็ปรากฏแสงเรืองรองตามแรงและตำแหน่งที่ตีลงไป แสงที่สว่างวาบขึ้นมานั้นคงอยู่เพียงอึดใจก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อยกมือตีลงไปอีก ข่ายอาคมที่มองไม่เห็นก็เรืองแสงขึ้นมาอีก กั้นขวางไม่ให้คนภายนอกเข้าไปด้านใน “ข้าเคยมาหลายครั้งก็ฝ่าเข้าไปไม่ได้” “เจ้าดูนะ” เชียนจือหวากล่าวจบก็ถอยหลังกลับมาหลายก้าว รวบรวมกำลัง และกระโดดเข้าใส่กำแพงที่มองไม่เห็นนั่นอีกครั้ง ผนึกโปร่งใสแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ร่างเชียนจือหวากระเด็นกลับมาหลายจั้ง นางพลิกตัวกลับมายืนบนพื้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อยืนมั่นคงแล้วจึงกล่าวต่อ “ยิ่งเข้าปะทะแรงมากเท่าไร แรงกระแทกก็ยิ่งมากเป็นเท่าตัว” เยี่ยนหรงเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปสำรวจบ้าง นางเอามือทาบลงบนผนึกล่องหนตรงหน้า เมื่อมือสัมผัสครั้งหนึ่ง ผนึกก็สะท้อนแสงผลักดันกลับมาครั้งหนึ่ง ยิ่งออกแรงสัมผัสมาก แรงสะท้อนกลับก็ยิ่งมากตาม นางสัมผัสได้ถึงพลังของเทพ พลังที่ไหลเวียนอยู่รอบป่าปริศนาแห่งนี้เป็นเทพสร้างขึ้นมาเพื่อกีดกันบางสิ่งบางอย่างระหว่างด้านนอกและด้านใน มิใช่ผนึกธรรมดาที่มนุษย์สร้างขึ้น แม้พลังเทพปีศาจของนางจะเหลืออยู่น้อยนิดจนแม้แต่จะเรียกเมฆมงคลมาใช้ยังไม่สามารถ แต่ผนึกตรงหน้าจัดเป็นผนึกระดับทั่วไปของเหล่าเทพ พลังมิได้แข็งแกร่ง คงสร้างไว้ใช้ป้องกันมนุษย์มิให้รุกล้ำเข้าไปเท่านั้น เยี่ยนหรงกางมือออกสัมผัสลงบนผนึกตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ที่กลางฝ่ามือปรากฏประกายสีฟ้าครามไหลวนไปมาราวพายุขนาดจิ๋ว ไม่นานปราการโปร่งใสตรงหน้าก็เปล่งประกายสีทองไปทั้งแถบ ม่านพลังสีทองเริ่มสั่นไหว และแหวกออกจากกันคล้ายกับประตูขนาดเล็กพอให้คนเดินผ่านเข้าไปได้ นางมองช่องเล็กแคบตรงหน้าที่ค่อยๆ แง้มออกอย่างเชื่องช้าพลางทอดถอนใจ ความสามารถที่เคยมีลดลงอย่างน่าอนาถเพียงนี้ นี่มิใช่เรียกการคลายผนึก แต่คือการ ’แง้ม’ ผนึกชัดๆ เยี่ยนหรงยิ่งมองยิ่งรู้สึกอดสูจึงเอามือกุมศีรษะส่ายหน้าไปมาอย่างยากจะยอมรับ เมื่อทำใจได้ก็เดินเข้าไปอีกฟากหนึ่งของผนึกสีทองเพื่อที่จะตรวจสอบดู ร่างที่ข้ามผ่านเขตแดนเข้ามาด้านในกลับอยู่ภายใต้แสงสว่างสดใสราวกับเป็นตอนกลางวัน ที่แท้หลังปราการโปร่งใสนี่มิใช่ป่ามืดทึบน่ากลัวอย่างที่ตาเห็น แต่กลับเป็นสถานที่สว่างไสวสวยงามอย่างที่สุด พฤกษานานาพรรณต่างชูช่อแตกกิ่งก้านผลิดอกหลากสี ต้นหลิวขนาดใหญ่ทิ้งกิ่งใบห้องระย้าลงไปในลำธารใสสะอาด ที่ด้านข้างยังมีสัตว์ภูตที่เป็นกวางขาวเขายาวก้มกินน้ำในลำธารอย่างอ้อยอิ่งปราศจากการระวังภัยโดยสิ้นเชิง ท้องฟ้าภายในผนึกเป็นสีขาวสลับฟ้าอ่อน ที่ขอบฟ้ายังมีสีชมพูส้มไล่เรียงกันไปอย่างสวยงามราวกับตะวันกำลังจะลับฟ้า ได้ยินเสียงนกร้องลอยมาจากที่ไกลๆ นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าจึงเห็นลูกหงส์ไฟบินเล่นกับสายลมอยู่บนนั้นอย่างมีชีวิตชีวา สายลมอ่อนพัดผ่านร่างเยี่ยนหรงให้ความรู้สึกราวกับมันกำลังปลอบประโลมนางอย่างทะนุถนอม ผมของนางที่รวบเป็นหางม้าปลิวไปตามสายลมดูอ่อยโยนลงหลายส่วน เยี่ยนหรงหมุนกายมองไปรอบด้านอย่างตื่นตา นึกสงสัยว่าเป็นเทพองค์ใดกันจึงมาสร้างสถานที่แห่งนี้ไว้ ช่างเข้าใจหาความสุขเสียจริง เมื่อรู้สึกว่าที่ด้านหลังตนเกิดความผิดปกติ ราวกับมีใครบางคนมองจ้องอยู่ จึงหันกลับไป เชียนจือหวาหยุดยืนอยู่นอกข่ายอาคม สายตาจับจ้องอยู่บนร่างเยี่ยนหรงแน่วนิ่ง ความมืดด้านนอกทำให้เยี่ยนหรงเห็นสีหน้านางได้ไม่ชัดเจนนัก เยี่ยนหรงนึกเบื่อตัวเองที่ทำพลาดอีกแล้ว จู่ๆ นางก็แหวกผนึกตรงหน้าออกเช่นนี้ เชียนจือหวาจะยังคิดว่านางเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ เมื่อยืนจ้องกันอยู่นานยังไม่ได้ข้อสรุป นางจึงลองเอ่ยทำลายความเงียบ "ไม่…อยากเข้ามาแล้วหรือ" นางพูดจาอึกอัก ความมั่นใจหดหายไปเกือบครึ่ง "อยาก" เชียนจือหวาพูดเสียงอ่อย "แต่ว่า..." เยี่ยนหรงยืนรออยู่อีกฝั่งของผนึก สูดหายใจเข้าลึก รอประโยคต่อมาของศิษย์พี่คนดีของนาง "แต่เหตุใดเจ้าถึงคลายผนึกของอาจารย์ได้" เชียนจือหวางึมงำสีหน้าครุ่นคิด "..." ที่แท้เชียนจือหวายังคงเข้าใจว่าผนึกโปร่งใสนี้เป็นหลิวเส้าชงและเหล่าผู้อาวุโสทั้งสี่เป็นคนสร้างไว้ ไม่ได้สัมผัสถึงพลังของเทพแต่อย่างใด "เจ้าเหตุใดฝึกได้รวดเร็วนัก เหตุใด..." เชียนจือหวายังคงไม่อาจทำความเข้าใจว่าทำไมศิษย์น้องที่เพิ่งเริ่มเข้าสำนักถึงสามารถคลายผนึกที่เหล่าอาจารย์ทั้งห้าสร้างไว้ได้ "มิต้องสงสัยแล้ว ข้าลอบอ่านตำราต้องห้ามในหอหย่งเหอ มันมีบอกไว้" เยี่ยนหรงโกหกหน้านิ่ง ไม่อยากให้เชียนจือหวาพยายามหาคำตอบ และคิดไปไกลกว่านี้อีก เชียนจือหวาเห็นเยี่ยนหรงมีสีหน้าจริงจังก็เชื่อสนิทใจ สายตาก็เป็นประกายขึ้น ไม่นึกว่าศิษย์น้องผู้นิ่งเฉยเย็นชาผู้นี้ก็ชอบกระทำเรื่องแหกกฎเหมือนกัน "คราวหลังข้าจะไปด้วย ข้าอยากลอบเข้าไปในเขตต้องห้ามหย่งเหอนานแล้ว" กล่าวจบก็วิ่งตามเยี่ยนหรงเข้าไปในข่ายอาคมอย่างเบิกบาน เมื่อทั้งสองผ่านเข้าไปด้านใน ข่ายอาคมก็ปิดลงดังเดิม โลกหลังปราการโปร่งใสนั้นทำให้เชียนจือหวายิ่งตื่นตาตื่นใจกว่าเยี่ยนหรงเป็นร้อยเท่าพันเท่าเสียอีก นางไม่เคยเห็นสถานที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยเห็นสัตว์ภูตที่ดูแปลกประหลาดตรงหน้าเหล่านี้มาก่อน นางยังบอกว่าในอากาศมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกกุ้ยลอยอบอวลทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ทำให้เยี่ยนหรงนึกเสียดายที่ตนเองไม่สามารถรับรู้กลิ่นเช่นนั้นได้ ทั้งสองเดินสำรวจไปรอบบริเวณ ไม่นานก็เจอบ้านไม้หลังหนึ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นานาพรรณ ขนาดของบ้านไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่รูปลักษณ์ถูกออกแบบ และสร้างไว้อย่างประณีต ชายคาทางเดินไม้ที่นำไปสู่ศาลาหลังเล็กกลางสระน้ำ แขวนไว้ด้วยกระดิ่งลมมากมาย เมื่อลมพัดมาก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะยิ่ง ตั้งแต่ก้าวผ่านเข้ามาในข่ายอาคมจนถึงหน้าบ้านไม้หลังนี้ เยี่ยนหรงยิ่งมั่นใจว่าที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่มนุษย์ธรรมดาจะอาศัยอยู่อย่างแน่นอน ทั้งข่ายอาคมที่กางกั้นโดยเทพ รูปแบบการตกแต่งหรือสิ่งต่างๆ ที่เนรมิตขึ้นมาล้วนถอดแบบมาจากแดนสวรรค์ ราวกับยกแดนสวรรค์ที่นางเคยอาศัยมาตั้งไว้ตรงหน้า ผิดกันตรงที่สวรรค์แห่งนี้สงบเรียบง่าย ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งกว่าแดนสวรรค์ที่ใหญ่โตหรูหราในเขตวังหลวงของนางมากนัก ช่างเป็นเทพที่มีรสนิยมดีอย่างน่าอัศจรรย์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม