แดนสวรรค์แบ่งออกเป็นเก้าชั้นฟ้า เหล่าเทพเชื้อพระวงศ์ผู้ปกครองสวรรค์จะพำนักอยู่ชั้นบนสุด ชั้นรองลงมาเป็นเหล่าเทพที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาแดนเทพและแดนอื่นๆ ถัดลงมาจะเป็นที่อยู่ของเทพที่มีหน้าที่จิปาถะทั่วไปในแดนสวรรค์ ส่วนอีกหกชั้นที่เหลือเป็นเทพที่ก่อกำเนิดจากการบรรลุของมนุษย์ ลำดับชั้นจะลดหลั่นกันไปตามแต่การสั่งสมความดี และการได้รับความเคารพจากผู้อื่น
ณ สวรรค์ชั้นที่เจ็ด จูอินนั่งสัปหงกอยู่ริมสระบัวอย่างเกียจคร้าน หากไม่นับว่าต้องคอยหลบหนีพวกชอบดูดวง เทพชะตาเช่นเขานอกจากงานจะไม่หนักแล้วยังว่างมากอีกด้วย
หน้าที่โดยรวมของเขาคือคอยควบคุมสิ่งมีชีวิตบนโลกให้ดำเนินไปตามชะตาของตนเอง และยับยั้งผู้ที่ต้องการจะฝืนชะตาฟ้าดิน แต่ก็นั่นแหละ ใครมันจะไปมีความสามารถฝ่าฝืนลิขิตฟ้าได้ ยิ่งเขามีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่ เวลาว่างงานเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ทุกวันเขามักนั่งอยู่ริมสระบัวในตำหนักของเขา จ้องมองปลาหลีฮื้อแหวกว่ายไปมาจนผล็อยหลับไป อาจมีบางวันที่เปิดสมุดชะตาหาเรื่องราวของผู้อื่นอ่านเล่นเพื่อแก้เบื่อบ้าง แต่ก็นานๆครั้ง
แต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน ก่อนที่เขาจะเคลิ้มหลับไปนั้น พลันสัมผัสได้ถึงการเผยชะตาเกิดขึ้นในแดนมนุษย์
ความจริงแล้วเทพส่วนใหญ่จะไม่สนใจใช้พลังหยั่งรู้ เพราะความสามารถไม่ถึงขั้น จึงไม่สามารถอ่านชะตาเทพด้วยกันได้ อีกทั้งเทพก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะสนใจอ่านดวงชะตาของมนุษย์ ดังนั้นจูอินจึงสัมผัสถึงการใช้พลังหยั่งรู้ที่เกิดในแดนมนุษย์ได้โดยง่าย
ดวงตาหงส์ที่กำลังหรี่ปรือลืมขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว เขาลุกพรวดพราดขึ้นจากม้านั่ง โบกมือคราหนึ่ง ตรงหน้าก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ในแดนมนุษย์ พบว่าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังใช้พลังหยั่งรู้ที่มีอยู่น้อยนิดอ่านชะตาให้ผู้อื่น
งามยิ่งนัก!
งามแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กับใบหน้านิ่งเฉยเช่นนั้นช่างเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด เพียงแต่ป้ายดูดวงชะตาสีเหลืองแดงด้านข้างช่างฉูดฉาดแสบตา ไม่เข้ากับนางอย่างรุนแรง
แต่ปกติแล้วมนุษย์ไม่อาจมีพลังหยั่งรู้ การทำนายมักใช้การสังเกต และวิเคราะห์จากเรื่องราวรอบตัวเป็นหลัก เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุใดมีผู้ใช้พลังหยั่งรู้ในแดนมนุษย์ สาวน้อยผู้นี้เป็นเทพ หรือเป็นปีศาจกันแน่
ไวดังความคิด จูอินเรียกเมฆมงคลมาข้างกาย เมื่อก้าวขึ้นไปยืนมั่นคงแล้วก็ออกเดินทางทันที…
นอกผนึกหน้าป่าปริศนา เยี่ยนหรงที่ถูกกระแสพลังสีม่วงตรึงไว้มองคนตรงหน้าอย่างคาดคะเน
ควรรู้ว่านางในตอนที่อยู่แดนสวรรค์นั้นเป็นแม่ทัพที่ทุกคนรู้จัก และเป็นครึ่งปีศาจที่เหล่าเทพรังเกียจ ดังนั้นแทบไม่มีเทพแดนสวรรค์องค์ไหนไม่รู้จักนาง แต่ตัวนางเองกลับมิได้รู้จักเทพทุกองค์ เพราะแม้จะเป็นที่รู้จักแต่ก็ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวสักเท่าไร มีแต่ชี้ชวนกันให้มองนางอยู่ห่างๆ เท่านั้น
บุรุษผู้นี้มีนัยน์ตาหงส์ ริมฝีปากบางหยักยิ้มเล็กน้อย ผมยาวถูกรวบเป็นมวยครึ่งศีรษะไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ เขาสวมใส่อาภรณ์สีม่วงทั้งตัว แม้แต่เสื้อคลุมตัวยาวก็ยังเป็นสีม่วง มีเพียงอย่างเดียวที่มิใช่สีม่วงคือถุงมือทั้งสองข้างของเขาซึ่งเป็นสีขาว
ถุงมือ! เทพที่สวมถุงมือตลอดเวลานั้นเห็นจะมีอยู่ผู้เดียว 'จูอิน' เทพชะตาผู้มีพลังหยั่งรู้สูงสุดในแดนเทพ เป็นเทพหนึ่งเดียวที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านการหยั่งรู้เรื่องราวฟ้าดิน มีพลังทำนายสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์อย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่เหล่าเทพ ขอแค่เขาได้สัมผัสแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้
ปกติจูอินจะสวมถุงมือไหมวิเศษตลอดเวลาเพื่อปิดกั้นพลังตนเอง เพราะโดยเนื้อแท้เขาก็เป็นประเภทสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน เมื่อสัมผัสก็ไม่อาจยับยั้งพลังการทำนายได้ แต่หากแตะตัวใครก็เห็นภาพวาบเข้ามาในหัวตลอดนั่นก็ออกจะสิ้นเปลืองพลังเกินไป อีกทั้งเขาเองบางครั้งก็รำคาญ เมื่อว่างจึงนำไหมวิเศษที่สามารถป้องกันได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมานั่งถักเป็นถุงมือสวมไว้เสียเลย
เยี่ยนหรงจำได้ว่าตอนที่นางยังเรียนอยู่ที่หุบเขาเหนือเมฆา จูอินผู้นี้สำเร็จการศึกษาไปนานแล้ว เมื่อถึงวิชาทำนายทายทัก ทั้งชั้นเรียนไม่มีใครมีความสามารถหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของเทพด้วยกันได้เลย ทุกคนยังเห็นภาพนิมิตเป็นเพียงแสงสีขาวสว่างจ้าเท่านั้น และเป็นเช่นนี้มาหลายรุ่นแล้ว
นางมองเทพที่สวมอาภรณ์ม่วงทั้งตัวขึ้นๆ ลงๆ อย่างพิจารณา เหตุใดการแต่งกายจึงดูรุ่มร่ามเช่นนี้ แขนเสื้อยาวจนเกือบลากพื้น ทั้งเสื้อผ้ายังซ้อนทับกันหลายชั้นยิ่ง แต่เมื่อคิดดีๆ อาภรณ์รูปแบบนี้ก็คล้ายคลึงกับที่กู้เฉิงชอบสวมใส่แปดเก้าส่วน
อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ดูน่าจะรุ่มร่ามของกู้เฉิงกลับขับให้เจ้าตัวมีบุคลิกสูงสง่าไม่อาจเอื้อม เยือกเย็นน่าเคารพ ผิดจากจูอินผู้นี้ที่ดูอย่างไรก็รกหูรกตาอย่างประหลาด...
นางกลอกตาคิดทบทวนหลายตลบ ชาติก่อนตนมิเคยล่วงเกินจูอินแม้สักครั้ง อย่างไรคงยังพอคุยกันได้
เพียงแต่เขารู้ว่านางคือเยี่ยนหรง ทั้งที่ในตอนนี้นางใช้ร่างเดิมแล้ว หรือว่าแม้แต่พลังปราณสีม่วงนี้ก็สามารถอ่านชะตาของผู้อื่นได้ ไม่จำเป็นต้องใช้การสัมผัสโดยตรง
ช่างมีพลังแห่งการสอดรู้สอดเห็นอย่างร้ายกาจ
"เจ้าจะจ้องข้าไปจนถึงเมื่อไหร่" จูอินมองเยี่ยนหรงอย่างสังเกตสังกาตั้งท่าเตรียมพร้อม แม้ว่าตอนเข้าไปอ่านอดีตของนางจะรู้ว่านางสูญสิ้นพลังเทพปีศาจไปแล้ว แต่เยี่ยนหรงเคยเป็นถึงแม่ทัพแดนสวรรค์ที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวมากคนหนึ่ง แม้จะสิ้นพลังก็ยังไม่น่าไว้ใจนัก
แต่เมื่อรอจนแล้วจนรอด เยี่ยนหรงก็ยังไม่อาจสลัดหลุดจากการจับกุม เขาก็คลายใจลง จึงแสร้งทำท่าทอดถอนใจกล่าวอย่างยียวน "ท่านแม่ทัพเยี่ยนหรงผู้เก่งกาจ เจ้าเองก็มีวันนี้ด้วย"
"ภูมิใจนักหรือไงที่สามารถเอาชนะข้าได้ตอนที่ข้าสูญเสียพลังไปหมดแล้วน่ะ" เยี่ยนหรงที่ถูกตรึงอยู่กับที่มองจูอินด้วยสายตาไร้อารมณ์ นั่นพอจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามกระดากอายจนหน้าแดงได้อย่างรวดเร็ว
จูอินกระแอมกลบเกลื่อนคราหนึ่ง "ไม่พูดกับเจ้าให้มากความแล้ว พวกเราไปกันเถอะ"
ทุกคนต่างรู้ว่าเทพชะตาเช่นเขาไม่ถนัดเรื่องการสู้รบตบมือกับใคร ครั้งนี้เอาชนะเยี่ยนหรงได้เพราะอีกฝ่ายอยู่ในสภาวะน่าอนาถราวเทพพิการคนหนึ่ง
เยี่ยนหรงทำตาโตมองจูอิน จะพานางไปที่ใดกัน แดนมนุษย์ก็ปลอดภัยที่สุดสำหรับนางแล้ว ยังจะไปที่ใดได้อีก
"แดนสวรรค์บ้านเจ้าอย่างไรล่ะ" หากพานางกลับไปส่งให้เทียนตี้ เขาจะต้องได้รับรางวัลอย่างงามแน่
เยี่ยนหรงทำตาโตยิ่งกว่าเดิม นี่เขายังอ่านอดีตนางไม่แตกฉานหรือ ถึงคิดว่าแดนสวรรค์ยังเป็นบ้านที่นางสามารถกลับไปได้ "เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องผลักไสข้าไปตายด้วย"
จูอินได้แต่เอียงคอมองเยี่ยนหรง ถึงแม้เทพทั้งสวรรค์จะเกลียดนาง และหากรู้ว่านางยังมีชีวิตจะต้องไล่ล่าฆ่านางแน่ แต่เทียนตี้รักนางอย่างกับอะไรดี จะปล่อยให้นางตายได้อย่างไร หากเขาพานางกลับไปมีแต่จะดีใจยกใหญ่สิไม่ว่า
“ไม่กระมัง” จูอินเห็นเยี่ยนหรงกล่าววาจาร้ายแรง ความมั่นใจของเขาก็เริ่มหดหายมากกว่าครึ่ง
"ในเมื่อหยั่งรู้อนาคต ก็ดูเสียหน่อยว่าหากเจ้าเลือกจะพาข้ากลับไป ข้าจะโดนฆ่าหรือไม่"
จูอินแม้คิดหนักแต่ก็อยากรู้เช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากจับนางกลับไป เขาทุ่มเทพลังอีกครั้ง กระแสพลังสีม่วงที่พันธนาการร่างเยี่ยนหรงเรืองสว่างเจิดจ้า เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เนิ่นนาน เมื่อนัยน์ตาหงส์จับจ้องนางอีกครั้งพันธนาการทั้งหมดก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อนาคตเป็นร้อยเป็นพันแบบสามารถแปรเปลี่ยนได้ตามการตัดสินใจลงมือกระทำเรื่องบางอย่าง หากเขาพานางกลับไป อนาคตก็จะเป็นแบบหนึ่ง หากไม่พานางกลับไป อนาคตก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง บางครั้งผลกระทบอันใหญ่หลวงก็เกิดจากการก้าวเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
เยี่ยนหรงกระจ่างในการกระทำของจูอิน ผู้ปกครองดินแดนอย่างไรก็ต้องเลือกส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวเสมอ
แม้ลึกๆ แล้วนางหวังว่าเมื่อจูอินดูอนาคตแล้วจะบอกว่า ‘เจ้าคิดมากไปเอง ในอนาคตก็ราบรื่นดีนี่ เจ้าโวยวายเอาอะไร บิดาของเจ้าก็ปกป้องเจ้าอย่างดี กลับไปเถอะ’
แต่คำพวกนั้นกลับไม่ออกมาจากปาก เขาเพียงแค่เก็บพลังกลับไป และนิ่งเฉยเท่านั้น นี่ก็เป็นการยืนยันความคิดของนางได้อย่างชัดเจนที่สุดแล้ว