ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนรอบด้าน เยี่ยนหรงเหยียดหลังตรงยืนประจันหน้ากับศิษย์สำนักฟู่หลิงทั้งสองคนอย่างสงบนิ่ง แม้ใจจะหวั่นเกรงว่ากู้เฉิงกับเสี่ยวเฟิ่งที่ดูอยู่จะมองออกว่านางไม่ใช่มนุษย์ แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้อย่างไรก็ยอมไม่ได้ ต้องเปิดโปงเด็กน้อยทั้งสองคนก่อน หลังจากนั้นค่อยดูสถานการณ์อีกที
“มีศักดิ์ศรีหน่อย แน่จริงก็อย่าใช้อาวุธลับ” เยี่ยนหรงยืนเอามือไพล่หลังกล่าวเสียงเย็นกับศิษย์ทั้งสองของสำนักฟู่หลิง เสียงและภาพของนางถูกสะท้อนไปบนเวทกระจกสะท้อน ทำให้ผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดเสียงดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ
หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง สำนักฟู่หลิงนั่นก็น่าขายหน้าจนเกินไปแล้ว
ผู้อาวุโสสำนักฟู่หลิงสองคนที่เป็นอาจารย์สายตรงของเด็กทั้งสองนั่นหน้าซีดลงทันที พวกเขาเหลือบมองหน้ากันเองอย่างหวาดหวั่น แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็สามารถรักษาความเคร่งขรึมกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง แม้ว่าฟู่หมิงเจ๋อเจ้าสำนักฟู่หลิงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดจะหันมามองพวกเข้าอย่างคาดคั้นหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปริปากแม้แต่น้อย
“ไหนล่ะหลักฐาน” ศิษย์ชายคนที่ซัดอาวุธลับใส่เชียนจือหวาเถียงเยี่ยนหรงด้วยความมั่นใจ “กล่าวหามั่วซั่ว อีกทั้งยังบุกรุกลานประลองโดยพลการ ระวังคนของเจ้าจะถูกปรับแพ้ทั้งหมด แล้วเจ้ามาอยู่ในลานประลองตั้งแต่เมื่อไรกัน หรือว่าแอบอยู่ในนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว”
ไม่นึกว่าการปรากฏตัวของกู้เฉิงและเสี่ยวเฟิ่งจะทำให้เยี่ยนหรงสมาธิหลุดลอยจนเสียการควบคุมได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับคิดอ่านเหตุการณ์ตรงหน้าเชื่องช้าจนทำเสียเรื่องเข้า และยังบุ่มบ่ามออกมาปกป้องเชียนจือหวาโดยไม่ได้มีแผนการอะไรรองรับอีกต่างหาก
นางตั้งสมาธิใช้สายลมเอื่อยอ่อนตามหาการมีอยู่ของเข็มพิษรอบรัศมีสามจั้ง พบว่าเข็มเงินที่ถูกใช้ออกเมื่อครู่เคลื่อนที่หายไปไกลแล้ว แต่ยังมีอีกเล่มอยู่ที่ศิษย์ชายสำนักฟู่หลิง
“อยากให้ข้าเข้าไปแย่งเข็มเล่มนั้นจากเจ้าจริงๆ หรือ”
คำถามเชิงข่มขู่แสนเยียบเย็นนี้เมื่อถูกถ่ายทอดผ่านเวทกระจกสะท้อนกลับทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถึงกับนั่งไม่ติด ผิดกับอีกด้านหนึ่งของอัฒจันทร์ที่มีผู้รู้สึกว่าสมใจยิ่งนัก
บนแท่นรับรองหยกขาวบริสุทธิ์ ริมฝีปากของเสี่ยวเฟิ่งหยักยิ้มขึ้นอย่างหาได้ยาก นางนั่งไขว่ห้างกอดอกมองการประลองเบื้องล่างอย่างสมใจ
เพราะว่ากันตามตรง การประลองตรงหน้าสำหรับนางช่างน่าเบื่อยิ่ง ขีดจำกัดความรวดเร็ว และการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์ทำให้นางต้องปิดปากหาวอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเยี่ยนหรงปรากฏตัวออกมาเปิดโปงเรื่องอาวุธลับ นางจึงรู้สึกว่าการประลองในครั้งนี้สนุกขึ้นหลายส่วน
เทพอย่างนางมีหรือจะสังเกตไม่เห็นเข็มเล่มเล็กนั่น เพียงแต่อยากรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“พี่กู้เฉิง ดูศิษย์หญิงชุดขาวที่เพิ่งเข้ามาในลานประลองนั่นสิ ข้าว่านางเก่งไม่เบาเชียว” เสี่ยวเฟิ่งทำหน้าพยักพเยิดไปที่เยี่ยนหรงให้กู้เฉิงมองตาม
กู้เฉิงฟังนางแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีสนอกสนใจหรือแสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น เขามองไปที่ลานประลองอย่างเฉยชา มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต
พวกเขาไม่อาจก้าวก่ายการประลองในครั้งนี้ ทำเพียงรับตัวผู้ที่ครอบครองกระจกแปดทิศได้ไปหุบเขาวิหคไฟเท่านั้น หากผู้เข้าร่วมการประลองมีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ ประตูสะท้อนจิตจะบ่งบอกทุกอย่างเอง
ผู้คนทั้งหมดต่างมองไปทางเจ้าสำนักฟู่หลิงด้วยความสงสัย และคาดหวังคำตอบ อย่างไรเขาก็ควรก้าวออกมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างชัดเจน
ฟู่เจ๋อหมิงเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดจนไม่สามารถเคร่งเครียดไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งหันมองด้านหลังพบว่าอาจารย์ทั้งสองท่านที่เขาเพิ่งคาดคั้นเมื่อครู่ได้หายตัวไป เขายิ่งสังหรณ์ใจขึ้นเป็นเท่าทวี
แต่ยังไม่ทันจะได้สั่งการอันใด จู่ๆ เวทกระจกสะท้อนก็ดับวูบลงกลางอากาศไปเสียอย่างนั้น เหล่าศิษย์ในสำนักที่เคยยืนร่ายเวทอยู่ด้านข้างลานประลองก็พลอยหายตัวไปด้วยเช่นกัน เขาจึงไม่สามารถสงบใจได้อีก เหินร่างเข้าไปในลานประลองด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว
เมื่อสถานการณ์เริ่มชุลมุน เวทกระจกสะท้อนหายไปอย่างปุบปับ ผู้คนด้านนอกไม่สามารถมองเห็นภายในลานประลองได้ เยี่ยนหรงจึงสบโอกาสลงมืออย่างรวดเร็ว
นางเข้าประชิดตัวศิษย์ชายสำนักฟู่หลิงคนที่มีเข็มเงินจนฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวไม่ทัน เยี่ยนหรงแม้ปฏิกิริยาว่องไว แต่ยังคงไว้ซึ่งแบบแผนของมนุษย์ นางรู้ว่าหากเทพทั้งสองที่นั่งดูการประลองอยากจะเพ่งจิตมาสำรวจนางก็มิใช่เรื่องยาก หากพลาดแม้เพียงนิด ตัวตนจะต้องถูกเปิดเผยแน่
อีกเพียงคืบเดียวเท่านั้น มือเรียวขาวราวหิมะก็จะคว้าข้อมือของศิษย์ชายสำนักฟู่หลิงได้ มิคาดที่ด้านหลังของนางจะบังเกิดแรงกดดันขุมหนึ่งแล่นตรงมาเล่นงานอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนหรงมิได้หันกลับไปมอง นางใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ ต้านแรงกดดันมหาศาลนั้นได้อย่างสบายๆ ในตอนแรกนางคิดว่าคงเป็นเหล่าศิษย์สำนักฟู่หลิงคิดตุกติก กรูเข้ามาในสนามเพื่อช่วยเพื่อน แต่พลังกดดันขุมนี้กลับมากมายเกินกว่าที่เหล่าศิษย์แต่ละสำนักจะมีได้
คิดได้ดังนั้นจึงฉุกใจหันกลับไปมอง ภาพตรงหน้าทำให้เยี่ยนหรงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ ในตอนนี้สิ่งที่นางใช้มือเดียวยันไว้กลับไม่ใช่ศิษย์ของสำนักฟู่หลิง แต่จากการแต่งกายกลับเป็นอาจารย์ของสำนักฟู่หลิงมากกว่า แถมยังมีถึงสองคน!
นางซึ่งตอนนี้อยู่ในสถานะศิษย์ของสำนักอู่เฉิง หากสามารถรับการโจมตีไว้ได้โดยใช้เพียงมือเดียวก็ดูอัศจรรย์เกินไป หากยังไม่รีบแก้สถานการณ์ ความลับของนางจะต้องถูกเปิดเผย เหล่าเทพแดนสวรรค์จะต้องมาตามล่าฆ่านางอีกเป็นรอบที่สองแน่
เร็วเท่าความคิด เยี่ยนหรงสลายพลังที่กลางฝ่ามือ จงใจให้พลังของอาจารย์สองคนนั่นกระแทกเข้าใส่ร่างตนเองอย่างจัง พลังของมนุษย์สองคนนี้แม้ล้ำลึก แต่ที่ผ่านมานางเพียรรักษาตัวในป่าปริศนามาตลอด พลังเทพปีศาจฟื้นฟูขึ้น แม้จะเพียงน้อยนิดแต่ก็เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดามาก ฝ่ามือแม้กระแทกทำร้ายร่างโดยตรงแต่ก็ไม่อาจทำอันตรายร้ายแรงได้
เยี่ยนหรงร่างกระเด็นไปกระแทกกับเนินหินที่ด้านหลังอย่างรุนแรงจนเศษฝุ่นหินใต้ฝ่าเท้าปลิวตลบไปทั่ว แม้นางไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ทั้งยังทนทานได้ แต่เพื่อความสมจริง ในชั่วพริบตาที่เศษฝุ่นยังไม่จางหาย จึงร่ายมนตร์ให้ร่างมีเลือดไหลออกมาจากต้นแขน และออกจากริมฝีปาก อย่างที่นางคิดว่าสมจริงที่สุด
อ่า… เพิ่มเลือดที่ขาอีกหน่อยดีกว่าจะได้ดูสาหัสสมกับโดนฝ่ามือของผู้อาวุโสถึงสองคน
มือร่ายคาถา เลือดที่ขาซ้ายก็ไหลออกมาจากปากแผลปลอมๆ ที่นางสร้างขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ ยังแสร้งทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ทำเป็นลุกขึ้นไม่ไหวเพื่อให้แนบเนียนมากขึ้น
ระหว่างที่เยี่ยนหรงกำลังคิดว่าจะเติมเลือดลงบนร่างตรงไหนอีกดีจึงจะดูอาการสาหัสถึงที่สุด เชียนจือหวาที่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ใบหน้าซีดเผือดลงราวกับกระดาษ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากราวกับเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา
เมื่อยันตัวลุกขึ้นได้จึงรีบทะยานร่างไปหาเยี่ยนหรงอย่างรวดเร็ว เลือดมากมายบนร่างของศิษย์น้องทำให้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่พยุงร่างเยี่ยนหรงขึ้นมา และตรวจดูอาการบาดเจ็บ
ศิษย์สำนักฟู่หลิงทั้งสองที่ยืนอึ้งไปตั้งแต่เมื่อครู่ พอตั้งสติได้ก็รีบวิ่งไปหลบหลังอาจารย์ของตนอย่างรวดเร็ว เรื่องราวครั้งนี้มันใหญ่โตเกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้มาก รับมือไม่ไหวแล้ว
“พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว” เชียนจือหวาเมื่อเห็นว่าเยี่ยนหรงยืนไหวจึงได้ก้าวออกมาข้างหน้า ขวางเยี่ยนหรงไว้ด้วยท่าทางปกป้องสุดชีวิต เห็นศิษย์น้องที่ไร้ความรู้สึกยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยแม้เลือดท่วมร่าง ยิ่งทำให้เพลิงโทสะของนางลุกท่วมขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
หยางผู่เยว่เหยียบกระบี่เข้ามาสมทบในเวลานี้พอดี เขามองสถานการณ์ตรงหน้าก็จับต้นชนปลายได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเห็นสภาพของเยี่ยนหรง ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นหลายส่วน หลังจากกระโดดลงจากกระบี่บินแล้วจึงมายืนเคียงข้างกับเชียนจือหวา หันปลายกระบี่เข้าหาคนของสำนักฟู่หลิงอย่างเย็นชา ประกาศความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
เดิมเขาเป็นคนที่ยึดถือกฎเกณฑ์ และมารยาทอย่างยิ่ง ไม่มีสักครั้งที่คิดก้าวร้าวหรือล่วงเกินผู้ที่อาวุโสกว่า แต่ในวันนี้ มารยาท และกฎเกณฑ์พวกนั้นล้วนไม่จำเป็นอีกแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าสำนักฟู่หลิง แต่หากทำกันถึงขนาดนี้เขาก็ไม่อาจยอมได้ และจะไม่ไว้หน้าเด็ดขาด