นางมองขึ้นไปที่เวทกระจกสะท้อน บนนั้นปรากฏภาพเชียนจือหวากำลังรับมือกับศิษย์สำนักฟู่หลิงทั้งสองคนอยู่ ดูเหมือนว่าสองคนนั่นจะร่วมมือกันกำจัดศิษย์สำนักอู่เฉิงให้พ้นทางก่อนแล้วค่อยแย่งชิงกระจกแปดทิศกันเอง ซึ่งจะว่าไปกฎกติกาก็มิได้ห้ามทำเช่นนั้น แต่จากสถานการณ์ที่เชียนจือหวากำลังห้อยต่องแต่งอยู่ริมผาต่อสู้กับศิษย์สำนักฟู่หลิงอีกสองคนกลับน่าเป็นห่วงยิ่ง
จางจิวและฮวาอิ๋นมี่มองหาหยางผู่เยว่ในเวทกระจกสะท้อนอย่างกระวนกระวาย พบว่าเขาอยู่ห่างจากเชียนจือหวาค่อนข้างมาก
ผู้เข้าร่วมการประลองแต่ละคนจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ปรากฏภายในเวทกระจกสะท้อนได้ จะเห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น จึงจะไม่รู้สถานการณ์ของผู้ประลองคนอื่น ดังนั้นหยางผู่เยว่มาช่วยเชียนจือหวาไม่ทันอย่างแน่นอน
สถานการณ์ของเชียนจือหวาคับขันขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หลิวเส้าชงก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิใช่ต้องการให้ศิษย์สำนักอู่เฉิงชนะการประลอง แต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของศิษย์ทุกคนของเขามากกว่า
ตอนนี้หยางผู่เยว่กำลังฆ่าฟันอสูรอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา ไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของเชียนจือหวาแม้แต่น้อย ด้านเชียนจือหวานั้นมือหนึ่งเกาะกิ่งไม้ ร่างห้อยอยู่บนหน้าผาชัน อีกมือหนึ่งสะบัดแส้ป้องกันทั้งการโจมตีของศิษย์สำนักฟู่หลิง และเหล่าอสูรบินที่แสนน่ารำคาญ
รูปการณ์เช่นนี้ความจริงแล้วไม่ควรยื้อนาน เพราะชัดเจนว่าเชียนจือหวาต้องเพลี่ยงพล้ำไม่ช้าก็เร็ว แต่นางก็ยังพยายามใช้เพียงมือเดียวต่อสู้ และยื้อมาจนถึงจุดนี้ได้ก็นับว่ามีพรสวรรค์ที่หายากยิ่งแล้ว
ศิษย์สำนักฟู่หลิงเองก็ต้องพยายามเขี่ยเชียนจือหวาให้พ้นทาง และก็ต้องกำจัดอสูรไปพร้อมกันด้วย นั่นสำหรับพวกเขาก็ตึงมืออยู่มิใช่น้อย หากไม่รีบจัดการอย่างเด็ดขาดย่อมไม่เป็นผลดี
เชียนจือหวาพยายามจะพลิกตัวกลับขึ้นไปบนผา แต่ก็โดนหุ่นเชิดที่ไม่กลัวเจ็บกลัวตายของศิษย์สำนักฟู่หลิงขัดขวางไว้ นางทั้งหงุดหงิดทั้งร้อนใจ แส้ในมือฟาดออกด้วยความรวดเร็วรุนแรงไม่หยุด
ไม่นานผู้คนบนอัฒจันทร์ก็แผดเสียงร้องด้วยความตกใจจนดังไปทั่วบริเวณ เมื่อร่างของเชียนจือหวาที่เคยจับกิ่งไม้ไว้มั่นกลับร่วงลงสู่หุบเหวลึก
เยี่ยนหรงเองก็เพ่งมองเวทกระจกสะท้อนด้วยความเคร่งเครียดเช่นกัน แต่เพียงครู่เดียวเสียงร้องตกใจก็เปลี่ยนกลับเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี เมื่ออสูรบินตัวหนึ่งถูกบังคับให้บินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว มันบินเป๋ไปเป๋มาโดยมีคนบนหลังกำลังใช้แส้รัดคอบังคับให้มันบินไปในทิศที่ต้องการ
ที่แท้เชียนจือหวาหาโอกาสตอนที่อสูรบินโฉบไปมาอยู่เบื่องล่าง ปล่อยมือจากกิ่งไม้ให้ร่างร่วงไปบนหลังของมันได้อย่างพอดิบพอดี หลังจากนั้นก็บังคับให้อสูรที่รูปร่างคล้ายค้างคาวยักษ์ บินพานางกลับขึ้นมาบนหน้าผาอีกครั้ง
เมื่อเท้าแตะพื้นมั่น นางก็โจมตีศิษย์สำนักฟู่หลิงอย่างไม่ยั้งมือ ใครใช้ให้พวกเขาหน้าไม่อายคิดรุมกำจัดนางกันเล่า
เหตุการณ์พลิกผัน สีหน้าของทุกคนในสำนักอู่เฉิงคลายลง ได้ยินเสียงชื่นชมเชียนจือหวาดังมาจากผู้คนไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ ฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังเก่งกาจ ช่างเป็นเด็กที่มีความสามารถหาตัวจับยากคนหนึ่ง
เยี่ยนหรงมองเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ไม่ได้คลายใจเหมือนคนอื่นๆ ในตอนที่เชียนจือหวาต่อสู้อย่างเลือดขึ้นตานั้น นางเหลือบไปเห็นอาวุธลับบนแขนของศิษย์ชายสำนักฟู่หลิงเข้าพอดี
เข็มเงินเล่มเล็ก หากไม่ได้ฝึกฝนการเพ่งสมาธิที่ดีเยี่ยม หรือเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาก็ยากที่จะสังเกตเห็นได้ กฎของการประลองครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมการประลองต้องแจ้งอย่างกระจ่างว่าอาวุธที่พกติดตัวมามีอะไรบ้าง และห้ามใช้อาวุธลับเด็ดขาด นี่ถือเป็นการทำผิดกฎการประลองอย่างชัดเจน
แต่หากรอให้อาวุธลับนั่นซัดใส่เชียนจือหวาแล้วค่อยมานั่งฟื้นฝอยหาตะเข็บกับสำนักฟู่หลิงก็คงไม่ทันการณ์ ถึงตอนนั้นเชียนจือหวาก็อาจบาดเจ็บหนักหรือตายไปแล้ว
หลิวเส้าชงด้วยฐานะเจ้าสำนักจึงนั่งดูการประลองอยู่กับเจ้าสำนักท่านอื่นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากที่นั่งของเหล่าผู้ชมปกติมาก เยี่ยนหรงจึงต้องใช้เวลาไม่น้อยในการเดินไปหา
ขณะกำลังจะเอ่ยปากเตือนหลิวเส้าชงเรื่องอาวุธลับ และให้เขาหาทางหยุดการประลองลงก่อน สายตาของนางที่จ้องมองเวทกระจกสะท้อนตลอดเวลาก็กลับเห็นเข็มเงินเล่มนั้นถูกซัดออกตรงไปที่ร่างของเชียนจือหวาแล้ว
ไม่ทันแล้ว!
เยี่ยนหรงใบหน้าตื่นตระหนก ยังไม่ทันเอ่ยปากเตือนหลิวเส้าชง หางตาก็พลันเห็นวัตถุสีเงินพุ่งตรงไปที่เชียนจือหวาอย่างรวดเร็วแล้ว นางไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองให้มากความ ใช้วิชาเคลื่อนที่ชั่วพริบตาก็ไปถึงตัวเชียนจือหวา รีบคว้าร่างศิษย์พี่ไว้และพาหลบเข็มเงินได้อย่างหวุดหวิด
เดิมทีหากพลังเทพนางยังอยู่ครบดังเก่าก่อน แค่กระดิกนิ้วก็สามารถสลายเข็มเงินแสนธรรมดานั่นไปได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในตอนนี้พลังเทพของนางฟื้นฟูกลับมาเพียงเล็กน้อยจากการไปรักษาตัวที่ป่าปริศนาในระยะเวลาที่ผ่านมา และจากการสวมใส่ไข่มุกวารีติดตัวทุกวัน จึงทำได้เพียงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปที่เชียนจือหวาเท่านั้น
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนี้ หากเทพมองมาคือการเคลื่อนไหวที่ปกติ แต่สำหรับมนุษย์นั้นดวงตาไม่อาจมองตามได้ทัน จึงเหมือนว่าเยี่ยนหรงสามารถหายตัวมาโผล่อีกที่หนึ่งได้อย่างเหลือเชื่อ
ผู้คนบนอัฒจันทร์พากันเบิกตากว้างมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กะพริบ จู่ๆ ก็มีศิษย์หญิงสวมเครื่องแบบสำนักอู่เฉิงเข้ามาในลานประลอง อีกทั้งทุกคนไม่มีใครมองทันว่านางเคลื่อนที่มาจากตรงไหน มาได้อย่างไร กะพริบตาอีกทีร่างของศิษย์หญิงคนนี้ก็เข้ามาประชิดร่างของเชียนจือหวาแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ช่างเป็นความรวดเร็วที่น่ากลัวเกินไปแล้ว!
จางจิวและฮวาอิ๋นมี่เป็นคนที่รู้จักเยี่ยนหรง จึงมองหน้ากันด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อครู่นางยังนั่งอยู่ข้างพวกเขา เพียงพริบตาก็ไปอยู่ข้างกายเชียนจือหวาได้แล้ว นางทำได้อย่างไรกัน ทั้งสองมองกลับไปกลับมาระหว่างที่นั่ง และภายในลานประลองอยู่เช่นนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา สุดท้ายจึงอดรนทนไม่ไหว ลุกขึ้นเพ่งมองไปที่ลานประลองตรงจุดที่เชียนจือหวาอยู่ ระยะทางมิใช่น้อย นางไปถึงที่ไกลขนาดนั้นในชั่วพริบตาได้อย่างไรกัน
มีเพียงหลิวเส้าชงที่ไม่มีความตื่นตะลึงอย่างคนอื่น แต่ใบหน้ากลับเคร่งเครียดลงอย่างมาก มือของเขากำพนักเก้าอี้จนขาวซีดไปหมด แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากไปกว่านี้
เชียนจือหวาที่ถูกเยี่ยนหรงคว้าตัวไว้ด้วยความรวดเร็ว และรุนแรงเสียหลักล้มไปด้านข้าง หลังจากตั้งสติได้มองไปตรงหน้าก็เห็นเยี่ยนหรงยืนขวางระหว่างนางกับศิษย์สำนักฟู่หลิงไว้ เชียนจือหวางุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เยี่ยนหรงเข้ามาในลานประลองได้อย่างไร เข้ามาตอนไหน ทั้งหมดนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เยี่ยนหรงหันกลับมามองเชียนจือหวาเห็นว่าปลอดภัยก็ระบายลมหายใจยาว เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเร็วเกินไป นางยังไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนก็ลงมือเช่นนี้
ข้านั้นวู่วามเกินไป
เวลานี้นางไม่กล้าเหลือบมองไปจุดสูงสุดบนอัฒจันทร์ที่ตั่งหยกขาวอีก ไม่รู้ว่าสองคนนั่นจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่หากมองออก ชีวิตน้อยๆ ของนางที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ก็คงรักษาไว้ยากพอดู…