บนแท่นรับรองที่จุดสูงสุดของอัฒจันทร์ เจ้าสำนักฟู่หลิงซึ่งเป็นประธานจัดงานได้เข้าไปทำความเคารพเทพทั้งสอง และเชื้อเชิญให้นั่งพักผ่อนบนตั่งหยกขาวขนาดใหญ่ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายดอกไห่ถังอย่างวิจิตร หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามขั้นตอนที่ตระเตรียมไว้อย่างมีระเบียบ ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
ไม่นานเสียงรัวกลองก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ ศิษย์ทั้งสี่ที่ก้าวเข้าสู่ลานประลองจากทั้งสี่ทิศ
การประลองในครั้งนี้มิใช่แข่งขันเป็นคู่อีก ศิษย์แต่ละคนจะต้องชิงกระจกแปดทิศมาไว้ในครอบครองให้ได้ และไม่ใช่เป็นเพียงการต่อสู้ที่มีแต่มนุษย์เท่านั้น ในลานประลองยังมีพวกปีศาจอสูรคอยขัดขวางพวกเขา ไม่ให้เข้าใกล้กระจกแปดทิศได้โดยง่าย อีกทั้งภูมิประเทศยังแสนอันตราย เต็มไปด้วยป่ารก ผาสูงชัน จัดเป็นสนามประลองที่โหดหินที่สุด และสมจริงที่สุดในโลกแห่งผู้บำเพ็ญเพียร
“สำนักฟู่หลิงเราได้คัดเลือกปีศาจและอสูรที่มีความดุร้ายไม่มากนัก เหมาะเป็นคู่มือของศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองเป็นอย่างยิ่ง” ฟู่เจ๋อหมิงเจ้าสำนักฟู่หลิงหันมากล่าวกับหลิวเส้าชงที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างยิ้มแย้ม เรื่องการจับอสูรมาให้เหล่าศิษย์ในสำนักฝึกปรือนั้นเขาถนัดนัก
หลิวเส้าชงเพียงยิ้มอย่างสุภาพให้ฟู่เจ๋อหมิง เขาใช้เวททิพย์มองสำรวจลงไปในลานประลองเบื้องล่างแล้วก็วางใจลง ไม่รู้สึกถึงอสูรที่เป็นอันตรายร้ายแรงแม้แต่น้อย เหล่าอสูรที่สำนักฟู่หลินจัดหามานั้นพลังไม่แก่กล้า เพียงแต่สามารถพัวพันให้เสียเวลาได้เท่านั้น
หากจะพูดกันตามตรงแล้ว ลานประลองนี้ก็ไม่อาจเรียกว่าลานประลองได้ นี่ต้องเรียกว่าป่าทึบและภูเขาลูกหนึ่งเสียมากกว่า พื้นที่กว้างใหญ่กินอาณาเขตเกือบเท่าสำนักอู่เฉิงทั้งสำนักเช่นนี้ การจะหาของวิเศษสักอย่างจึงนับว่ายากเย็นยิ่ง
ภายในลานประลองที่สำนักฟู่หลิงจัดเตรียมขึ้นครั้งนี้ มิได้ทำการปรับแต่งเหมือนในหลายๆ สนามที่ผ่านมา แต่เป็นป่าเขาที่มีตามธรรมชาติอยู่แล้ว ป่าในฤดูใบไม้ร่วงล้วนกลายเป็นสีแดงส้มไปกว่าครึ่ง ทำให้ภูมิทัศน์ที่เป็นป่าทึบน่ากลัวกลับสวยงามขึ้นมาบ้าง ขับเน้นกับการประลองดุเดือดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างพอดิบพอดี
เมื่อลานประลองกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ผู้ชมรอบลานจึงไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน สำนักฟู่หลิงก็มิใช่ธรรมดา ให้เหล่าศิษย์ในสำนักร่ายเวทกระจกสะท้อน ถ่ายทอดภาพการต่อสู้ในลานประลองได้ราวกับนั่งดูอยู่ใกล้ๆ ความเตรียมพร้อม และใส่ใจในรายละเอียดนั้นต้องยกให้กับเจ้าสำนักฟู่เจ๋อหมิงอย่างแท้จริง
ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางมาชมการประลองของสำนักอู่เฉิงย่อมล่วงรู้ฝีมือของเชียนจือหวากับหยางผู่เยว่ดี แต่หากพวกเขาไม่เคยไปชมการประลองรอบที่ผ่านมาของศิษย์สำนักฟู่หลิงก็ย่อมประเมินผู้เข้าแข่งขันไม่ได้ จึงได้พยายามพูดคุยสอบถามจากเพื่อนฝูงที่ชมการต่อสู้คนละสนาม
ได้ความว่า ศิษย์ของสำนักฟู่หลิงสองคนนั้นเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ศิษย์หญิงเชี่ยวชาญการบังคับหุ่นเชิดให้ไปสู้แทนตน ถือเป็นวิชาระดับสูงที่ฝึกยากเป็นอันดับต้นๆ ในโลกผู้บำเพ็ญเพียร
หุ่นเชิดนั้นไม่เหมือนกับการวาดพู่กันของจางจิว แม้จะเรียกได้ว่าใช้เวทบังคับวัตถุให้ไปสู้แทนตน แต่ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดกับน้ำหมึกก็แตกต่างกันอย่างลิบลับ การบังคับหุ่นเชิดให้เป็นไปตามใจนึกยิ่งยากกว่ามาก หากคู่ต่อสู้ไม่ระวังถูกเส้นด้ายพวกนั้นพันรัดเข้า สภาพก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดตัวหนึ่งเช่นกัน
ส่วนศิษย์ชายนั้นถือพัดด้ามหนึ่งติดตัวตลอดเวลา อาวุธประจำกายก็คือพัดอย่างไม่ต้องสงสัย ปกติแล้วผู้ใช้พัดจะถนัดการใช้อาวุธลับลอบโจมตี แต่การประลองที่ผ่านมามีกฎห้ามใช้อาวุธลับโดยเด็ดขาด ดังนั้นศิษย์ชายผู้นี้จึงทำได้เพียงการเข้าต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น
ถึงแม้จะเสียเปรียบไปบ้าง แต่การต่อสู้ระยะประชิดของเขาก็แข็งแกร่งไม่ธรรมดา ถึงสามารถชนะจนมาถึงการประลองรอบนี้ได้
ผู้ชมโดยรอบต่างนั่งหยัดตัวหลังตรงมองเวทกระจกสะท้อนกันอย่างใจจดใจจ่อ เรียกได้ว่าการประลองในรอบนี้ได้รวบรวมศิษย์สำนักบำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นที่สุดเอาไว้ในสนาม หากไม่ได้มาเปิดหูเปิดตาคงต้องเสียใจไปอีกนานเป็นแน่
เชียนจือหวา หยางผู่เยว่ และศิษย์สำนักฟู่หลิงอีกสองคน ต่างแยกย้ายเข้าลานประลองหลังเสียงสัญญาณดัง ภาพในเวทกระจกสะท้อนแจ่มชัดขึ้น สะท้อนภาพภายในป่าให้เห็นว่าแต่ละคนกำลังฝ่าฟันอุปสรรคมากมายในลานประลองอยู่
เมื่อแยกกันเข้าสนามคนละทิศ จึงเป็นการยากที่แต่ละคนจะเดินมาเจอกันได้ แต่อสูรที่ฟู่เจ๋อหมิงบรรจงใส่เข้ามานั้นก็มีมิใช่น้อย ตอนนี้ศิษย์ทั้งสี่กำลังห้ำหั่นกับอสูรน่าเกลียดน่ากลัวมากมายภายในสนามประลองอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าผู้ใดที่จะฝ่าเหล่าอสูรพวกนี้ไปได้ก่อน
เยี่ยนหรงมองเชียนจือหวาผ่านเวทกระจกสะท้อน ตอนนี้ศิษย์พี่ของนางกำลังบุกตะลุยไปตามแนวผาลาดชัน การบุกฆ่าอสูรตามภูมิประเทศที่อันตรายเช่นนี้ยิ่งขับให้เชียนจือหวาดูงามสง่ากล้าหาญขึ้นอีกหลายส่วน
นางแม้สายตามองเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่ แต่ในใจกลับเลื่อนลอยยากควบคุม
เหมือนว่าจะนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นกู้เฉิง ใจหนึ่งอยากเงยหน้าขึ้นมองให้นานขึ้นอีกนิด แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จึงไม่ได้เหลือบตามองไปทางเขาอีก แม้ไม่มองแต่ความทรงจำกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน น่าจะเป็นในห้องหนังสือกระมัง
ภายในห้องหนังสือของตำหนักจิวจวี่เรือนหอของเขากับนาง แสงตะวันส่องกระทบใบหน้าของกู้เฉิงที่ดวงตาปิดสนิท เขานอนฟุบอยู่บนกองหนังสือมากมายที่ช่วยกันอ่านอยู่เมื่อคืน เยี่ยนหรงเองก็ฟุบหลับอยู่ด้านข้าง เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นภาพที่ชวนมองเช่นนี้
ใบหน้าของเขาที่ถูกแสงตะวันอาบไล่กลับทำให้โลกของนางสว่างไสวขึ้นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ขนตา จมูก ริมฝีปาก ช่างดูดีจนนางเกือบจะเผลอตัวยื่นมือออกไปสัมผัส แต่เมื่อใบหน้าโกรธแค้นของเสี่ยวเฟิ่งลอยเข้ามาในความคิด นางจึงได้สติ และรั้งมือกลับมาเงียบๆ
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้เจอเขา เพราะว่า ในวันที่นางตัดสินใจเขียนหนังสือหย่านั้นเขาไม่ได้มาพบนาง รอตั้งแต่ยามค่ำจนเวลาเช้ามืด เขาก็ยังไม่มา นางจึงตัดสินใจแน่วแน่จากไปผนึกแดนอสูรไว้ แล้วก็ตายอยู่ตรงนั้น
คนยังคงเหมือนเดิม สูงส่งเย็นชา ใบหน้านิ่งเฉย ราวกับมีน้ำแข็งฉาบไว้ชั้นหนึ่ง
เขานั่งอย่างสง่างามเคียงคู่กับเสี่ยวเฟิ่งบนตั่งหยกขาวสูง นางมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
เสี่ยวเฟิ่งเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงาม มีความหยิ่งทะนง และมั่นใจในตัวเองสูง ชุดสีแดงเพลิงของนางนั้นเมื่ออยู่เคียงข้างกู้เฉิงที่มักสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะ ยิ่งเป็นคู่ที่สง่างามเหมาะสมกันอย่างหาใดเปรียบ
ในตอนนั้นกว่าที่นางจะรู้ว่าได้แยกคู่สวรรค์สร้างคู่นี้ออกจากกัน ก็หลังจากที่ได้แต่งงานกับกู้เฉิงแล้ว กว่าจะรู้ก็ตอนที่เสี่ยวเฟิงมาหาเพื่อฆ่านาง กว่าจะรู้ก็ตอนที่เห็นกู้เฉิงอุ้มเสี่ยวเฟิ่งที่บาดเจ็บจากไป ทิ้งให้นางยืนเดียวดายอยู่เช่นนั้น
ก่อนที่เขาจะรีบร้อนจากไปด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเฟิ่ง ยังหันกลับมามองนางด้วยสายตาที่อ่านออกว่า ‘ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก’
ทั้งที่เสี่ยวเฟิ่งวางยาพิษสังหารนางก่อน ทั้งที่นางพยายามจะช่วยชีวิตเสี่ยวเฟิ่งจากกระบี่เฟิงหวาแท้ๆ แต่ครึ่งปีศาจที่น่ารังเกียจเช่นนางพูดไปใครจะเชื่อ อีกทั้งกระบี่เฟิงหวาก็คือกระบี่ของนางเอง หากบอกว่าแม้จะเป็นอาวุธประจำกายแต่มันมักไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งนางนัก นั่นก็ยิ่งเหมือนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่างไรก็เป็นความรับผิดชอบของนางอยู่วันยังค่ำ จึงได้เงียบปาก และรอรับโทษแต่โดยดี
สุดท้ายก็โดนลากตัวไปประจานต่อหน้าเหล่าเทพมากมาย และรับทัณฑ์สายฟ้าอย่างสาสม ท่ามกลางรอยยิ้มแช่มชื่นของเทียนโฮ่ว
แม้ไม่อยากหาเรื่อง แต่เรื่องก็มักวิ่งมาหานางอยู่เสมอ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ความรู้สึกเลือนราง แต่ความทรงจำชัดเจน เยี่ยนหรงดำดิ่งอยู่กับอดีต จนเมื่อเสียงฮือฮารอบด้านดังขึ้น นางจึงเรียกสติกลับมาตั้งใจดูการประลองอีกครั้ง