เมื่อเทพทั้งสองมาถึงแท่นรับรอง ณ จุดสูงสุดที่สำนักฟู่หลิงจัดเตรียมไว้ให้อย่างสวยงามอลังการ สรรพเสียงรอบด้านพลันเงียบลง
เสียงฮือฮารอบบริเวณในตอนแรกหายไปราวกับที่นั้นไม่เคยมีคนหลายร้อยคนยืนอยู่ เหล่าศิษย์อาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเพียรที่ไม่เคยเห็นเทพ ต่างจ้องมองไปยังแท่นรับรองหยกขาวที่สูงสง่าตรงหน้าพวกเขาอย่างตกตะลึง ทีนี้พวกเขาก็มองเห็นเทพทั้งสองได้อย่างชัดเจนแล้ว
องค์หนึ่งเป็นหญิงสาวที่งดงามร้อนแรงดั่งเปลวเพลิงที่โชติช่วง อาภรณ์สีแดงเพลิงเมื่อต้องลมก็ปลิวไสวไปด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างเหยียดตรง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงความไม่สะทกสะท้าน และมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง บุคลิกแข็งแกร่งสง่างามกว่าหญิงสาวทั่วไป
นางมีริมฝีปากสีแดงสดตัดกับผิวขาวราวหิมะที่ดูผ่องใสราวผลึกแก้ว ดวงตาหงส์ทอดมองลงมาด้านล่างอย่างเพ่งพินิจ สายตาเมื่อไล่ผ่านทำให้ผู้ถูกมองใจเต้นแรงอย่างยากจะห้ามไหว
อีกองค์เป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาเกินบรรยาย ไม่ว่าจะคิ้วเข้มได้รูป ดวงตาดั่งหยาดน้ำค้างยามราตรีที่ทอประกายงดงามน่าค้นหา จมูกโด่งริมฝีปากบาง รูปหน้าทุกอย่างดูรับกันไปเสียหมด สีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็งพันปีของเขาช่างเข้ากับอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ที่สวมใส่อยู่ ดวงตาลึกเข้มราวรัตติกาลคู่นั้น ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าเทพท่านนี้จะหล่อเหลาแบบที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น แต่ผู้คนด้านล่างต่างพากันก้มหน้าลง ไม่กล้าจ้องมองนานๆ อีก
ผิวของเทพทั้งสองผ่องใสเปล่งประกายสวยงามราวกับอัญมณีต้องแสงตะวัน แต่เป็นอัญมณีชนิดไหนนั้นผู้คนด้านล่างต่างจินตนาการไม่ออก ราวกับว่านั่นไม่เคยปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์
เชียนจือหวา หยางผู่เยว่ ฮวาอิ๋นมี่ และจางจิว เมื่อได้ยลโฉมเทพทั้งสอง ต่างก็ตกตะลึงในความสูงสง่าเหนือมนุษย์นั้น แต่มองไปมองมาก็อดเหลียวกลับมามองศิษย์น้องจ้าวเฟยเยี่ยนของพวกเขาไม่ได้ ผิวกระจ่างใสบวกกับใบหน้างดงามนี้ แทบไม่มีที่ใดเทียบเทพทั้งสองไม่ได้เลย
จางจิวถึงกับมองเทพหญิงในอาภรณ์สีแดงสลับกับเยี่ยนหรงไปมาอย่างสนอกสนใจ หากเทียบกันแล้วศิษย์น้องของเขายังคงเหนือกว่านิดหน่อย เขามองเยี่ยนหรงอย่างเลื่อมใสขึ้นแปดส่วน ‘งามราวเทพธิดา’ ที่เหล่าศิษย์สำนักอู่เฉิงใช้เรียกนาง คำนี้ไม่เกินจริง
มีเพียงเชียนจือหวาที่มองเยี่ยนหรงนิ่งงันไปครู่หนึ่งสีหน้าก็กลับซีดลง แม้เยี่ยนหรงที่อยู่กับนางทุกวันนี้จะมีหน้าตางดงามน่าหลงใหล แต่ก็เทียบไม่ได้กับตอนที่เจอกันครั้งแรก ตอนที่เยี่ยนหรงนอนไม่ได้สติ ผิวกายก็เป็นดังเช่นเทพที่อยู่บนแท่นสูงนั่นมิใช่หรือ อีกทั้งดวงตาดอกท้องดงามของเยี่ยนหรงยามเพิ่งฟื้นขึ้นมานั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างที่นางไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้เห็นเทพทั้งสองแล้วก็กลับเหมือนว่านางได้เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว…
เป็นไปไม่ได้
เชียนจือหวาสะบัดหน้าไปมาอย่างแรง ไล่ความคิดเลอะเทอะของนางออกไป
หากเป็นเทพจริง เหตุใดจึงมาอาศัยอยู่แดนมนุษย์เนิ่นนานขนาดนี้ ปกติแล้วเทพเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง และจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้มนุษย์เห็น แม้สองแดนจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ว่าเทพก็ยังมีพลังอำนาจที่สูงส่งกว่ามนุษย์นัก เป็นที่เคารพของมนุษย์ทั่วไป
อีกทั้งแดนเทพมีสิ่งวิเศษ รวมถึงของดีมากมาย ในหนังสือบรรยายไว้ว่าแดนเทพสวยงามเกินจินตนาการ หากเป็นเทพก็ไม่มีทางทนอยู่แดนมนุษย์ที่แสนธรรมดาสามัญได้นานเช่นนี้แน่ นางอาจจะคิดมากไปเอง ศิษย์น้องที่โดดเด่นของนางจะเป็นเทพไปได้อย่างไร
เยี่ยนหรงมิได้สนใจปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของเชียนจือหวา นางเองก็มองไปบนแท่นสูงอย่างตกตะลึงเช่นกัน เทพที่มารับตัวมนุษย์กับกระจกแปดทิศถึงกับเป็นกู้เฉิงและเสี่ยวเฟิ่งเลยหรือ
ลางร้ายที่รู้สึกมาตลอดสุดท้ายก็เป็นจริง
เสี่ยวเฟิ่งนั้นนางมิได้แปลกใจมากนัก ด้วยตำแหน่งคุณหนูอดีตท่านแม่ทัพใหญ่แห่งหุบเขาวิหคไฟผู้เก่งกาจด้านการสู้รบ ให้นางมาก็ถือว่าเหมาะสม แต่นี่ถึงกับเป็นองค์ชายใหญ่แห่งหุบเขาวิหคไฟมาด้วยตัวเองนั้นออกจะมากเกินไปหน่อย
เยี่ยนหรงเอียงคอคิดอีกครั้ง องค์ชายใหญ่กู้เฉิงเป็นเอกด้านการแพทย์ แต่มิได้มีความสามารถด้านการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเหมือนเทพฝ่ายบู๊ เขามาในครั้งนี้ออกจะแปลกอยู่บ้าง
นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นอย่างเลื่อนลอยครู่หนึ่งก็เหมือนจะนึกอะไรออก เขาอาจแค่มาเป็นเพื่อนเสี่ยวเฟิ่ง เขาสองคนอาจแค่อยากเดินทางร่วมกัน เขาสองคนอาจไม่อยากอยู่ห่างกันแม่เพียงชั่วขณะจิต
คงเป็นเช่นนั้นสินะ
นางก้มหน้าลง มิได้จ้องมองต่อไปอีก ผ่านวันเวลานานนับพันปี สุดท้ายในชาตินี้นางก็มีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง ไม่นึกว่าการพบกันของนางกับเขาจะเป็นสถานการณ์เช่นนี้
ข้านี่ก็ช่างใจแคบนัก ขนาดไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้วยังไม่อาจทนมองคู่ยวนยางได้
เยี่ยนหรงหลับตานิ่ง แพขนตายาวปิดลงช้าๆ ใบหน้าปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใดๆ นางสำรวจความรู้สึกตนเองอย่างถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็ไม่ได้เจ็บปวดเสียใจอะไรหนักหนาเสียหน่อย แค่เพียงไม่อยากมองภาพตรงหน้าเท่านั้น
ความรู้สึกมากมายที่เคยมีคงถูกอัคคีนิลกาฬชำระล้างไปจนหมด ความรัก ความเสียใจ ความเจ็บปวดเหล่านั้นมลายหายสิ้นไปนานแล้ว วันเวลาผันผ่าน เรื่องราวทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป มีเพียงนางที่เพิ่งกลับมามีชีวิตใหม่พร้อมกับความทรงจำเก่าๆ จึงราวกับทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง ราวกับสงครามนองเลือดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
ความยิ่งใหญ่ของกาลเวลาที่สามารถลบเลือนได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งสายน้ำ ลำธาร ภูเขา แต่กลับไม่อาจลบความทรงจำทั้งหมดของนางออกไปได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกันอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องคิดอะไรให้มากความ ในตอนที่นางตัดสินใจเขียนหนังสือหย่า และไปผนึกแดนอสูร ก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ว่าความรักหรือชีวิตก็ล้วนโยนเอาไว้ข้างหลังทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่จำเป็น และไม่สำคัญอะไรอีก
เฟิ่งหวงเคียงคู่มิใช่ความต้องการเดิมของนางหรอกหรือ เขียนหนังสือหย่า ถอยออกมา และภาวนาว่าพวกเขาทั้งสองคนจะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข ก็คือสิ่งที่นางตั้งใจทำให้เป็นเช่นนั้น ไฉนตอนนี้กลับไม่อยากมองเขาทั้งสองคนเสียแล้ว
ในเมื่อสุดท้ายกู้เฉิงก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่ตนเองรัก นางควรยินดีกับเขาถึงจะถูก
ในตอนนั้นข้าก็หวังแค่ให้ท่านมีความสุข มิเคยวาดหวังสิ่งอื่น จนถึงตอนนี้ความปรารถนาของข้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เยี่ยนหรงเงยหน้ามองไปที่เทพผู้สูงส่งอีกครั้ง มิได้หลบเลี่ยงอีก ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนมอง ดวงตางดงามที่เฉยชาอยู่เป็นนิจเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย…