พบกันอีกครั้ง(1)

1859 คำ
สำนักฟู่หลิงสมเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพอย่างแท้จริง นอกจากจะใหญ่โตและร่ำรวยมหาศาลแล้ว พวกเขายังมีความสามารถที่จะรับรองสำนักใหญ่ต่างๆ จากทั่วสารทิศได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ลานประลองก็ตระการตาหาใดเปรียบ คงจะมีแต่สำนักเช่นนี้ที่มีความสามารถพอที่จะต้อนรับเทพจากแดนเทพได้ อีกเพียงหนึ่งวันก็จะถึงวันประลองตัดสินระหว่างสำนักอู่เฉิงและสำนักฟู่หลิง สำนักที่ตกรอบไปแล้วต่างนับวันรอดูการประลองนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีสำนักไหนขอตัวกลับก่อนสักสำนักเดียว พวกเขาอยากจะดูว่าลานประลองที่ใหญ่ที่สุดที่สำนักฟู่หลิงเก็บไว้ในการประลองครั้งสุดท้ายจะยิ่งใหญ่เพียงใด อีกทั้งยังมีโอกาสได้เห็นเทพจากแดนเทพอีกด้วย ไม่มีอะไรที่ได้กำไรไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าน้อยครั้งนักที่เทพจะมายังแดนมนุษย์ หากไม่มีเรื่องที่จำเป็นหรือเกิดภัยรุกรานสรรพชีวิตครั้งใหญ่ เหล่าเทพจะไม่มาปรากฏตัวให้เห็นได้ง่ายดายนัก หรือต่อให้มาท่องเที่ยวก็จะจำแลงกายมาให้เหมือนกับมนุษย์อย่างแนบเนียนที่สุดเพื่อเลี่ยงปัญหาหลายอย่างที่อาจตามมา ภายในเรือนรับรองของสำนักฟู่หลิงที่เตรียมไว้ให้สำนักอู่เฉิง เยี่ยนหรงนั่งเท้าคางมองแจกันลายครามใบใหญ่ที่ถูกแสงสีส้มยามเย็นอาบย้อมไปทั้งใบนิ่งราวกับคนปัญญาอ่อน นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างเช่นนี้มาได้สักพักแล้ว เมื่อคิดว่าเทพที่จะมารับตัวมนุษย์นั้นจะเป็นใคร ก็ยากนักที่จะทำจิตให้สงบลงได้ นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรชอบกล “กินข้าวได้แล้ว” เชียนจือหวาลากตัวเยี่ยนหรงจากข้างที่นั่งริมหน้าต่างมาที่โต๊ะอาหาร อาหารที่สำนักฟู่หลิงจัดเตรียมไว้ให้ล้วนแต่เป็นของขึ้นชื่อเมืองหลิงอาน อาหารคาวล้วนรสจัดจ้าน อาหารหวานก็ละมุนลิ้นยิ่ง เยี่ยนหรงนั่งลงมองอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเฉยชา อาหารแต่ละมื้อของที่นี่ล้วนจัดตกแต่งมาอย่างดี สีสันน่ากินทั้งสิ้น สำนักฟู่หลิงช่างใส่ใจรายละเอียด แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถรับรู้ถึงความอร่อยตรงหน้านี้ได้ “รอบสุดท้ายนี้สำนักเราจะต้องประลองกับสำนักฟู่หลิง สี่คนต่างสู้เพื่อชิงกระจกแปดทิศ อีกทั้งผู้ชิงกระจกแปดทิศมาได้ยังต้องรับการทดสอบโดยผ่านเข้าสู่ประตูสะท้อนจิต เพื่อดูว่าห้วงจิตในส่วนลึกของพวกเจ้ามีความบริสุทธิ์สักแค่ไหน” หลิวเส้าชงกล่าวกับทุกคนหลังจากที่กินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว “หากจิตข้าไม่บริสุทธิ์ล่ะ เช่น คิดร้าย โลภมาก ฆ่าคน…” เชียนจือหวาเอ่ยถามเสียงใส หลิวเส้าชงยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว “ทัณฑ์อัสนีบาตรจากสวรรค์ ผ่าลงมาทีเดียวข้าก็หาศพเจ้าไม่เจอแล้ว” เขายกชาที่มีควันลอยฉุยขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก เป่าควันพวกนั้นออกเบาๆ อย่างสำราญใจ “อีกทั้งเจ้ายังไม่ใช่ผู้ชนะเสียหน่อย” “ชนะมาขนาดนี้แล้ว รอบต่อไปก็ต้องชนะสิ” เชียนจือหวามั่นใจในตนเองอย่างมาก “สำนักฟู่หลิงเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ เหล่าศิษย์ในสำนักก็มีฝีมือเป็นที่เลื่องลือ พวกเจ้าสองคนก็อย่าประมาทเกินไปนัก” หลิวเส้าชงกำชับเชียนจือหวาและหยางผู่เยว่อย่างหนักแน่น “อาจารย์ ข้าว่าพวกเขาสองคนต้องชนะแน่ ข้าเองได้มาชมการประลองครั้งนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาอย่างมาก กลับไปจะต้องฝึกซ้อมให้หนักขึ้น สำนักอู่เฉิงของเราต้องไม่น้อยหน้าใคร” จางจิวกล่าวอย่างฮึกเหิม ฮวาอิ๋นมี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วย “ขอแค่ไม่ละเลยคุณธรรม มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า พวกเจ้าก็ไม่ได้น้อยหน้าใครแล้ว” หลิวเส้าชงมองเหล่าศิษย์ที่กล่าวรับคำอย่างพร้อมเพรียงด้วยรอยยิ้ม เด็กพวกนี้ต่างคนต่างมีความฝัน มีความมุ่งมั่น และจิตใจที่อุ่นระอุ เป็นต้นกล้าที่จะเติบโตขึ้นอย่างองอาจในอนาคต ในที่สุดวันประลองที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง บรรยากาศรอบสำนักฟู่หลิงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากกว่าการประลองทุกรอบที่ผ่านมา ร้านรวงรอบสำนักต่างพากันเปิดขายของกินของที่ระลึกกันอย่างอลังการ มีบางร้านที่เป็นของวิเศษหายากจะได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาตั้งแผงขายภายในเขตสำนักใกล้กับลานประลองเลยทีเดียว ดังนั้นในวันนี้ผู้คนจึงคึกคักเป็นพิเศษ เชียนจือหวาไร้ซึ่งความรู้สึกตึงเครียด นางกินอิ่มนอนหลับ ทั้งยังตื่นเช้าตามเวลาเพื่อลากเยี่ยนหรงออกไปเดินเล่นชมบรรยากาศร้านรวงนอกเขตสำนัก แต่เดินเล่นได้ไม่นานนางก็ถูกศิษย์สำนักฟู่หลิงที่ทำหน้าที่ด้านพิธีการเรียกตัวไปเพื่อจะซักซ้อมรายละเอียดการประลอง ดังนั้นสุดท้ายเยี่ยนหรงจึงเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยคนเดียวเพื่อรอเวลา นางเดินทอดน่องดูสิ่งของอยู่นอกสำนักฟู่หลิงอย่างไร้จุดหมายครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาที่ลานประลอง ด้านหน้าลานประลองนอกจากจะมีร้านค้าตั้งอยู่มากมายแล้ว ยังมีโต๊ะพนันขันต่อตั้งเรียงรายอย่างเปิดเผยเต็มไปหมด นางเกิดความสนใจจึงเดินเบียดกับผู้คนเข้าไปชมดู ในกระดานมีชื่อของผู้เข้าร่วมการประลองทั้งสี่คนเขียนอยู่ปนเปกันเต็มไปหมด การลงพนันในกระดานไม่ได้เทไปทางชื่อใครคนใดคนหนึ่งจนทิ้งห่างจากคนอื่นนัก แต่สำหรับเยี่ยนหรงแล้วนางมั่นใจว่าเชียนจือหวาจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความลำเอียงของนางก็ตาม เทพผู้อาภัพมองเห็นลู่ทางในการหาเงิน จึงนำเงินที่ตนพกมาด้วยเกือบทั้งหมดลงพนันข้างเชียนจือหวา แม้เจ้ามือโต๊ะพนันกับคนที่มุงดูอยู่รอบข้างจะมองนางเป็นสายตาเดียวกัน แต่เยี่ยนหรงก็มิได้ใส่ใจ อย่างไรในจำนวนผู้แข่งขันทั้งสี่ ศิษย์พี่ของนางเก่งที่สุดอยู่แล้ว นางฝึกมาเองกับมือจะไม่ชนะได้อย่างไร! หลังจากทุ่มจนหมดหน้าตัก เยี่ยนหรงก็เดินกำเงินก้อนสุดท้ายไปเลือกของขวัญที่ร้านขายเครื่องประดับวิเศษ หากครั้งนี้เชียนจือหวาได้รับคัดเลือก ก็จะต้องเดินทางไปแดนเทพ หนึ่งวันในแดนเทพเท่ากับหนึ่งปีแดนมนุษย์ หากนางไม่สามารถตามเชียนจือหวาไปด้วยได้ก็ไม่รู้อีกกี่สิบปีจะได้เจอกันอีก อย่างไรก็ควรให้ของขวัญแสดงความยินดีที่ศิษย์พี่ทำตามความปรารถนาจนสำเร็จเสียหน่อย เยี่ยนหรงยืนเอามือลูบคางไปมามองเครื่องประดับสีสันสดใสหลายสิบชิ้นบนแผงลอยตรงหน้า หูก็ฟังความพิเศษของเครื่องประดับแต่ละชิ้นจากพ่อค้าอย่างตั้งใจ เลือกไปเลือกมาจึงได้จี้หยกห้อยเอวประดับพู่สีแดงสดใสมาชิ้นหนึ่ง จี้หยกมันแพะสีขาวโปร่งใสเป็นของวิเศษที่สามารถจดจำเจ้าของ ขอเพียงถ่ายพลังปราณเข้าไปเพียงเล็กน้อย และให้ไว้กับอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อหรือต้องการพบ ผู้ถ่ายเทพลังปราณเข้าไปในหยกจะรู้ตัวทันที นางคิดว่าเชียนจือหวาจะต้องชอบอย่างแน่นอน เสียงกลองดังรัวขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณบอกว่าการประลองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว เยี่ยนหรงจึงเก็บจี้หยกไว้ และเดินเข้าไปในส่วนอัฒจันทร์นั่งชมการประลองทันที สนามประลองในครั้งนี้กว้างใหญ่จนเกินไป จึงไม่สามารถจัดเตรียมพื้นที่โดยรอบให้เป็นที่นั่งของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรได้ อัฒจันทร์ไม้ถูกสร้างขึ้นข้างสนามประลองเพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่อัฒจันทร์ไม้ที่มีเพียงด้านเดียวนี้ก็ใหญ่โตพอจะรองรับคนได้มากกว่าแปดร้อยคน หากรวมสำนักน้อยใหญ่ที่เดินทางมาทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็เพียงพอให้ทุกคนได้นั่งชมการประลองครั้งนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากสำนักอู่เฉิงเป็นสำนักที่เข้าร่วมการประลองในครั้งสุดท้ายนี้ ที่นั่งด้านหน้าสุดจึงถูกจัดเตรียมไว้ให้หลิวเส้าชง และเหล่าลูกศิษย์ตั้งแต่ต้น เยี่ยนหรงจึงไม่ต้องเบียดเสียดแย่งที่นั่งที่ดีที่สุดกับใคร มาช้านิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เมื่อนั่งลงข้างฮวาอิ๋นมี่เรียบร้อยแล้วก็มองผู้คนมากมายที่ทยอยมาจับจองที่นั่งกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน การประลองที่ผ่านมาทั้งหมดจำนวนผู้ชมยังเทียบไม่ได้กับครั้งนี้เลย ผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ใช่มีเพียงแต่สำนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงแปดสำนักเท่านั้น แต่สำนักบำเพ็ญเพียรระดับกลางจนถึงระดับล่างก็ล้วนเดินทางมาชมการประลองครั้งนี้อย่างแน่นขนัดด้วยเช่นกัน เสียงสนทนาของคนหลายร้อยคนดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ราวกับความครึกครื้นทั้งปวงบนโลกล้วนมารวมกันอยู่ที่หน้าลานประลองอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ก่อนที่การประลองจะเริ่มต้นขึ้น บนฟากฟ้าพลันปรากฏประกายสีทองส่องสว่าง เสียงฮือฮาด้วยความตื่นเต้นจากผู้คนบนอัฒจันทร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ จนเริ่มขยายวงกว้างขึ้น จนสุดท้ายผู้คนทั้งหมดก็เงยหน้ามองไปบนฟ้าทิศตะวันออก เสียงเซ็งแซ่อันน่าตื่นตานี้พาให้เยี่ยนหรงต้องเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าเช่นกัน แสงอาทิตย์ที่ส่องย้อนลงมาทำให้ดวงตางดงามหรี่ลงเล็กน้อย นางใช้มือบดบังแสงอาทิตย์เบื้องหน้า และมองตามสายตาของทุกคน เพ่งมองขึ้นไปจึงเห็นว่ามีร่างสองร่างกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา หนึ่งสีแดงเพลิงร้อนแรงแข่งกับแสงอาทิตย์ อีกหนึ่งสีขาวบริสุทธิ์สูงส่งยากเข้าถึง เทพผู้สวมอาภรณ์สีแดงนั้น ที่ด้านหลังยังมีปีกกว้างสีแดงสดราวเปลวเพลิงอันเปี่ยมพลัง มองจากที่ห่างไกลยังแทบจะเห็นสะเก็ดไฟสีเหลืองทองปะทุออกมาอย่างสวยงามโชติช่วง สมกับเป็นเทพแห่งเผ่าเฟิ่งหวงอย่างแท้จริง เทพอีกองค์สวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ยืนอย่างสง่าผ่าเผยบนหลังกระเรียนยักษ์สีขาว ดูสูงส่งเยือกเย็นเหนือโลกียวิสัย ราวกับไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเอื้อมได้โดยแท้จริง เหล่าศิษย์อาจารย์จากสำนักบำเพ็ญเพียรต่างแหงนหน้ามองขึ้นไปเป็นสายตาเดียวกัน เทพทั้งสองที่กำลังตรงมาทางพวกเขายังอยู่ไกลนักจึงมองเห็นได้เพียงเท่านั้น แม้จะยังมองรายละเอียดไม่ออก แต่เพียงมองอยู่ไกลๆ ก็ให้ความรู้สึกสูงส่งกดดันลงมาแล้ว ความงดงามเกิดบรรยายบนฟากฟ้าทำให้ผู้คนเบื้องล่างถึงกับลุกขึ้นยืนอ้าปากตาค้างไปตามๆ กัน นี่พวกเขาได้เห็นเทพแล้วจริงๆ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม