การประลองในรอบถัดไปยังนั้นยังต้องรออีกสองวัน เพราะต้องให้เวลาศิษย์ที่ชนะการประลองได้พักผ่อนให้เต็มที่เสียก่อน หากใครบาดเจ็บก็จำเป็นต้องรักษาให้หายดีก่อนที่จะเริ่มประลอง ดังนั้นเช้าวันถัดมาจึงเป็นวันว่างสำหรับพักผ่อนของทั้งแปดสำนัก
คนอยู่นิ่งไม่เป็นอย่างเชียนจือหวามีหรือจะนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องได้ นางแอบย่องไปที่หน้าห้องโถงใหญ่ด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน เห็นหลิวเส้าชงกับเยี่ยนหรงกำลังจิบน้ำชาไปพลาง อ่านหนังสือในมือไปพลาง ช่างน่ารื่นรมย์เสียจริง แต่นางไม่ชอบอ่านหนังสือ และก็ไม่อยากรบกวนทั้งสองคน จึงเดินออกจากเรือนพักไปสำรวจรอบๆ สำนักฟู่หลิง ว่ามีสถานที่ใดน่าเที่ยวชมบ้าง
เดินอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักของสำนักหมิงหลง นางหยุดยืนมองตัวอักษร ‘สำนักหมิงหลง’ บนป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนประตูทางเข้าเขตเรือนพัก ลังเลใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่เข้าไปดี ในมือยังกำขวดยาแก้ฟกช้ำอย่างดีของสำนักอู่เฉิงไว้แน่น
ขณะยืนใจลอยนั้น ที่ปากประตูก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่เดินออกมา บนร่างของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลพาดไปมาอย่างน่าสงสาร แต่คนกลับดูสดใสสดชื่นราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาเดินยืดเส้นยืดสายออกมาด้านนอก ขัดกับอาการบาดเจ็บบนร่างอย่างยิ่ง
คนผู้นั้นหากมิใช่ศิษย์ผู้ใช้ขวานของสำนักหมิงหลงแล้วจะเป็นใครได้
เมื่อเขาเดินออกมาเห็นเชียนจือหวายืนอยู่ที่หน้าประตูก็ผงะถอยหลังไปเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ
เชียนจือหวาเห็นคนที่ตนต้องการพบเดินออกมาพอดีก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปทักทายอย่างเป็นมิตรทันที นางประสานมือคารวะตามธรรมเนียม ครั้นเห็นอีกฝ่ายทำแบบเดียวกัน นางจึงเบาใจ ชวนคุยต่อได้อย่างไม่เก้อเขินนัก
“อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” นางพยายามยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรที่สุด แม้สีหน้าจะดูจืดเจื่อนจากความรู้สึกผิดไปบ้าง แต่ก็พยายามฝืนใบหน้าให้เป็นปกติอย่างเต็มที่
“บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น” ผู้ใช้ขวานยิ้มตอบกลับมาอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ไม่มีท่าทีโกรธนางแต่อย่างใด เขารู้สึกเลื่อมใสคู่ต่อสู้จากสำนักอู่เฉิงมากกว่า
เชียนจือหวาเห็นเช่นนั้นก็ยื่นขวดยาในมือไปตรงหน้าเขา “ข้ารู้ว่าทั้งสำนักฟู่หลิงและสำนักหมิงหลงไม่ขาดแคลนยาสมานแผลชั้นดี แต่อย่างไรข้าก็อยากให้สิ่งนี้แทนการขอโทษ”
เมื่อผู้ใช้ขวานรับขวดยาไป นางก็คารวะเขาอีกครั้งอย่างจริงจัง “ข้าขอโทษที่กระทำการโดยไม่คำนึงถึงชีวิตเจ้า หวังว่าเจ้าจะให้อภัย”
ผู้ใช้ขวานรีบโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่ “ข้าไม่ถือสาๆ ออกจะเลื่อมใสพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยซ้ำ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนฝีมือกับพวกเจ้าถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรานับว่าเป็นสหาย ต่อไปภายภาคหน้าหวังว่าจะได้กำจัดเหล่าปีศาจอสูรร่วมกันกับสำนักหมิงหลงนะ” เชียนจือหวาท่าทางสง่าผ่าเผย พูดจาชัดถ้อยชัดคำ ถือเป็นเสน่ห์ของนางที่ทำให้ผู้คนชื่นชมอยู่เป็นนิจ
“ตกลง! สตรีที่มีความองอาจสง่าผ่าเผยเช่นเจ้าช่างหาได้ยาก มีวาสนาได้คบหาเป็นสหาย ถือเป็นเกียรติของข้า” ผู้ใช้ขวานหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผยเช่นกัน
เชียนจือหวาได้แต่ยืนยิ้มอย่างโล่งใจพลางคิด บุคลิกองอาจสง่าผ่าเผยหรือ เหตุใดนางเองจึงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นเช่นนั้น นิสัยนางก่อนหน้าก็ไม่ต่างจากพวกนักเลงที่เกะกะระราน ทั้งยังชอบท่าตีกับคนอื่นไปทั่ว นิสัยที่เปลี่ยนไปในตอนหลังคงติดมาจากศิษย์น้องกระมัง…
ศิษย์สำนักหมิงหลงส่วนใหญ่จะเป็นบุรุษที่ร่างกายกำยำ ดูแข็งแรงและน่าเกรงกลัว แต่ความจริงแล้วล้วนใจดีและตรงไปตรงมาน่าคบหา
ราวกับพวกเขาทั้งสองเป็นชาวยุทธ์ในยุทธภพ มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ต้องสำรวมกิริยาให้สงบ เมื่อคนประเภทเดียวกันได้มาสนทนาก็คุยกันถูกคอยิ่ง ถึงกับใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะแยกย้ายกันไป
ห่างไปไม่ไกลนัก หยางผู่เยว่ยืนพิงต้นไม้มองเชียนจือหวาคุยกับศิษย์สำนักหมิงหลงอยู่ ประสาทหูของเขาดีพอจะได้ยินการสนทนาทั้งหมด พอได้ฟังจนจบใบหน้าก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสวอย่างไม่ปิดบัง
เชียนจือหวาสนทนากับผู้ใช้ขวานเสร็จก็เดินออกมาจากหน้าเรือนพักของสำนักหมิงหลง ผ่านต้นไม้ต้นใหญ่โดยไม่รู้ตัวว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
“เก่งมาก”
เชียนจือหวาตกใจที่จู่ๆ ก็เจอเข้ากับหยางผู่เยว่ อีกทั้งเขายังยิ้มให้นางอีกด้วย! นางทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างจึงได้โพล่งออกไป “อะไร”
“เจ้าหาเพื่อนได้เพิ่มแล้ว”
ถึงแม้ปกติจะไร้คนคบ แต่สำหรับนางแล้วคนพวกนั้นไม่คู่ควรต่างหาก คนที่คู่ควรคบกับนางเป็นสหายมีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะ!
“ชิ” เชียนจือหวาสะบัดหน้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากสนใจเขาอีก
นางเดินหนีมาด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด แม้แต่ตัวนางเองก็ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน นางเดินออกห่างหยางผู่เยว่เรื่อยๆ พลางเอามือถูแก้มทั้งสองข้างของตน “เหตุใดวันนี้อากาศร้อนนัก”
หากมิใช่เพราะอากาศร้อน เหตุใดมือที่สัมผัสใบหน้าจึงรู้สึกเหมือนราวกับสัมผัสเตาอุ่นมือเช่นนี้เล่า…