หยางผู่เยว่ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เขารีบส่งกระบี่ของตนหมุนคว้างราวกับกงจักร ฟาดฟันหินแหลมที่อยู่บนพื้นด้านหน้าผู้ใช้ขวานอย่างรวดเร็ว การประลองเพียงแค่วัดแพ้ชนะ หากร่างคนผู้นั้นโดนกลุ่มหินด้านล่างแทงจนถึงตายก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ในตอนนั้นเชียนจือหวาก็ใช้แส้ฟาดทำลายหินแหลมคมลงจนราบคาบ พร้อมเพรียงกับกระบี่บินที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว เศษฝุ่นหินแตกกระจายกระเด็นไปรอบทิศทางราวกับระลอกคลื่นในทะเลกว้าง
ร่างใหญ่ของผู้ใช้ขวานล้มลงบนพื้นอย่างแรงทำให้เศษฝุ่นกระพือขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง รอบบริเวณที่ทั้งสามยืนอยู่จึงพร่ามัวไปด้วยละอองฝุ่นจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ศิษย์สำนักหมิงหลงนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นมิได้ขยับเขยื้อน ดวงตาเขาเบิกกว้างยังคงไม่หายจากอาการตื่นตระหนก
หลังจากเศษฝุ่นจางหาย ผู้คนโดยรอบจึงสามารถมองเห็นร่างของทั้งสามอีกครั้ง ศิษย์สำนักหมิงหลงไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต เพียงโดนเศษหินบาดตามร่างเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากตั้งสติได้ ปากก็พึมพำเสียงเบาว่า “ยอมแพ้แล้ว”
ในชั่วพริบตาที่เหตุการณ์ในลานประลองพลิกผัน เสียงผู้คนที่เคยฮือฮาเซ็งแซ่ก็พลันเงียบกริบราวกับป่าช้า แต่ละคนต่างหายใจได้ไม่ทั่วท้อง กลัวว่าจะเห็นภาพของศิษย์สำนักหมิงหลงโดนหินเสียบตายลงกลางงานประลองจริงๆ แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ผู้ชมก็ต่างลอบปาดเหงื่อ หัวใจที่บีบรัดเมื่อครู่ก็คลายลงหลายส่วน
แม่นางน้อยจากสำนักอู่เฉิงผู้นี้ความโหดเหี้ยมมิเป็นรองใครโดยแท้
หลังจากการประลองจบลง หน่วยพยาบาลสำนักฟู่หลิงก็วิ่งแบกเปลสีขาวเข้ามานำร่างของผู้ใช้ขวานออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย ไม่ว่าคนในเปลจะอาการหนักหนาสาหัสหรือไม่ พวกเขาก็จะไม่ผ่อนฝีเท้าลงเดินอย่างอ้อยอิ่งเลยแม้เพียงครู่
เชียนจือหวาและหยางผู่เยว่มองหน่วยปฐมพยาบาลของสำนักฟู่หลิงอย่างนึกชื่นชม พวกเขาราวหุ่นกระบอกที่เมื่อเข้ามาในลานประลองก็ไม่พูดจา ก้มหน้าไม่มองใครทั้งนั้น ตั้งใจเก็บเป้าหมาย และวิ่งกลับไปจนฝุ่นตลบตลอดทาง ช่างเป็นหน่วยพยาบาลที่มีความกระตือรือร้นเสียจริง
ไม่นานเสียงประกาศผลการประลองก็ดังชัดเจนไปทั่วบริเวณจากเวทเสียงสะท้อนของเหล่าศิษย์สำนักฟู่หลิง ในรอบนี้สำนักอู่เฉิงเป็นผู้ชนะ
ภายในลานประลอง เชียนจือหวารู้สึกได้ว่าที่ด้านข้างมีคนยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ นางหันไปก็พบหยางผู่เยว่ที่ยืนทำสีหน้าไม่ดีนัก จึงนึกแปลกใจที่เขาทำหน้าเช่นนี้ในยามนี้ ชนะแล้วก็ควรจะดีใจสิถึงจะถูก
“เป็นอะไรของเจ้า” เชียนจือหวาตบแขนหยางผู่เยว่เบาๆ เป็นการเรียกให้เขาหันมา
หยางผู่เยว่ไม่ได้หันกลับมามองหน้านาง แต่สีหน้ายังคงแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน “อย่าล้อเล่นกับชีวิตคนแบบนี้อีก หากช่วยไม่ทันจะทำอย่างไร”
เชียนจือหวาสับสนมึนงงไปครู่หนึ่ง นางไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด นึกย้อนไปเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังคงแปลกใจว่านางทำอะไรผิด นี่ก็เป็นแค่วิธีที่ช่วยเร่งให้การประลองจบเร็วขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ต้องยื้อกันอยู่อีกนาน มันน่ารำคาญ นางไม่ชอบอะไรยืดเยื้อนี่นา
“ก็ช่วยทันมิใช่หรือ” เชียนจือหวายังคงไม่ยอมแพ้ ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครตายเสียหน่อย เหตุใดต้องเคร่งเครียดเช่นนี้ด้วย
หยางผู่เยว่ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับนางต่อ เขาเพียงหันกลับมามองหน้านางครู่หนึ่งอย่างหมดคำพูด แล้วก็เดินจากไปเงียบๆ
เชียนจือหวาเห็นสายตาผิดหวังของเขาก็ไม่กล้ารั้งไว้อีก ปกติหยางผู้เยว่เป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมา หลายครั้งที่นิสัยนางเกินจะรับไหว แต่เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีโกรธเคืองเลยสักครั้ง ตั้งแต่ฝึกซ้อมมาด้วยกัน เขาใจเย็นดั่งน้ำ นางยังนึกว่าเขาจะโกรธไม่เป็นเสียอีก หรือครั้งนี้นางทำเกินไปจริงๆ
ภายในเรือนพักของสำนักอู่เฉิง หลิวเส้าชงมองศิษย์แต่ละคนของเขาที่ต่างทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน คนประลองก็เหนื่อยอ่อนจากการประลอง คนไม่ได้ประลองก็เหนื่อยอ่อนจากการลุ้นให้เพื่อนชนะ ทั้งหมดต่างไม่ได้พูดจากันจนหยางผู่เยว่แยกตัวออกไป ไม่นานเชียนจือหวาก็แยกตัวกลับห้องของตนไปเช่นกัน ที่เหลืออยู่ก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันเงียบๆ
ฮวาอิ๋นมี่แม้ไม่ค่อยเจรจาแต่ความคิดละเอียดลึกซึ้ง นางบอกให้เยี่ยนหรงตามไปดูเชียนจือหวาเสียหน่อยว่ามีอาการบาดเจ็บหรือไม่ ในตอนแรกเยี่ยนหรงที่ไร้ความรู้สึกไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่เมื่อตั้งใจเรียบเรียงการกระทำของทุกคน นางก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว จึงเดินตามเชียนจือหวาไปที่ห้องพักส่วนตัวของพวกนาง
หลิวเส้าชงเพียงนั่งมองทุกคนแล้วยกชาขึ้นจิบคำหนึ่งอย่างสบายใจ เด็กพวกนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มิใช่เพียงแค่การต่อสู้หรือการประลองเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตด้วย คุ้มค่านักที่พาทุกคนมาเปิดหูเปิดตานอกสำนักเช่นนี้
ก่อนเวลาอาหารเย็น เชียนจือหวายังคงนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่ในห้องของตน ไม่ยอมพูดจากับใคร
“เป็นอะไรไป ไม่ดีใจหรือ ชนะสำนักหมิงหลงเชียวนะ” เยี่ยนหรงที่พักห้องเดียวกันเดินเข้ามาชวนคุย เนื่องจากเห็นเชียนจือหวาดูแปลกไป หากเป็นยามปกติจะต้องดีใจจนกระโดดโลดเต้น ชวนนางคุยจ้อไม่หยุดแล้ว
“ข้าทำผิดหรือ!” เชียนจือหวาที่อัดอั้นตันใจมานานโพล่งขึ้นเสียงดัง
เยี่ยนหรงรู้ทันทีว่าเชียนจือหวาหมายถึงเรื่องอะไร นางเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ สีหน้าเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กน้อยแสนดื้อรั้นคนหนึ่ง หากยังคงหลงเหลือความรู้สึก นางก็คงอยากทำสีหน้าเช่นนี้เป็นแน่
“ท่านว่าอย่างไรเล่า” เยี่ยนหรงเลือกที่จะถามกลับมากกว่าตอบความคิดของตนเอง ความจริงแล้วความคิดของคนร้อยคนพันคนก็ไม่สำคัญเท่าความคิดของเชียนจือหวาคนเดียวหรอก ต่อให้คนอื่นคิดว่าถูกหรือไม่ถูกนั่นก็ไม่มีผลอันใด อยู่ที่ตัวนางเองคิดว่าสิ่งที่ทำเหมาะสมหรือไม่ก็เท่านั้น
“ก็…เสี่ยงนิดหน่อย แต่ก็ช่วยทันนี่นา” เชียนจือหวาก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง เมื่อนึกย้อนกลับไปนั่นก็อันตรายจริงๆ นั่นแหละ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาทำเช่นนั้นกับนางหรือศิษย์น้องล่ะก็ ความรู้สึกที่เหมือนโดนกลั่นแกล้งพวกนั้นจะต้องทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
“อืม” เยี่ยนหรงพยักหน้าเห็นด้วย “ทำในสิ่งที่ท่านคิดว่าถูกต้องก็พอแล้ว” เยี่ยนหรงลุกขึ้นยืนอย่างมีชีวิตชีวา ยิ้มให้เชียนจือหวาอย่างสดใส “อาหารเย็นพร้อมแล้ว พวกเราไปกินกันเถอะ อาหารที่สำนักฟู่หลิงอร่อยมากเลยนะ” เมื่อกล่าวจบนางก็ก้าวออกนอกประตูไป
เชียนจือหวามองตามร่างเยี่ยนหรงไปจนลับตา สุดท้ายก็หลุดขำออกมา “เจ้าไม่รู้รสเสียหน่อย” นางส่ายหน้าน้อยๆ และเดินตามเยี่ยนหรงออกไป