เมื่อฤดูหนาวใกล้มาเยือน อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
บนยอดเขาสูงอากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญของเหล่าศิษย์สำนักอู่เฉิงอย่างยิ่ง แม้บนท้องฟ้าจะมีเมฆสีเทาบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ แต่ก็ไม่อาจลดความสดชื่นแจ่มใสของผู้คนที่อยู่ด้านบนนี้ได้เลย
ที่ตั้งของสำนักอู่เฉิงเป็นยอดเขาสูงเสียดฟ้า ทั้งยังปกคลุมด้วยต้นไม้ใบหญ้านานาพรรณ อากาศจึงชื้นตลอดทั้งปีจนเกิดเป็นหมอกหนาปกคลุมไปทั่ว หากมองขึ้นมาจากเชิงเขา สำนักอู่เฉิงจะเหมือนกับดินแดนลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่หลังม่านหมอก หากอยู่บนสำนักมองลงไปด้านล่างก็ยากที่จะเห็นบ้านเรือนบริเวณตีนเขาเช่นกัน ดังนั้นสำนักอู่เฉิงจึงราวกับเป็นดินแดนเทพเซียนที่สละพ้นโลกีย์อยู่เหนือโลกมนุษย์
ที่ด้านข้างตำหนักหย่งเหอ เชียนจือหวานั่งรอเยี่ยนหรงอยู่บนม้านั่งเย็นเฉียบ นางใช้ปลายเท้าขยี้ต้นหญ้าบนพื้นดินไปมาอย่างหงุดหงิด นิสัยใจร้อนของนางอย่างไรก็แก้ไม่หาย อีกทั้งนางก็อยากรู้ว่าอาจารย์คุยอะไรกับศิษย์น้องคนใหม่บ้าง มีความลับอะไรหนักหนาจึงต้องไล่นางออกมาข้างนอก ยิ่งคิดก็ยิ่งขยี้เท้าแรงขึ้นไปอีกจนกอหญ้าใต้ฝ่าเท้าแหลกเละ
แต่เมื่อเห็นเยี่ยนหรงเดินออกมาจากตำหนัก นางก็พุ่งตรงมาหาอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า เซ้าซี้ถามเรื่องเข้าสำนักอู่เฉิงอย่างคาดหวัง เมื่อเยี่ยนหรงว่าผู้อาวุโสหลิวเส้าชงตกลงรับนางเป็นศิษย์อยู่ที่นี่ อีกสามวันอาจารย์จะจัดพิธีรับศิษย์ เพื่อให้ผู้อาวุโสทุกท่านในสำนักรับรู้ เชียนจือหวาก็ยิ้มหน้าบาน ดีใจเป็นยกใหญ่ อีกทั้งยังแทนตัวเองว่าศิษย์พี่ล่วงหน้าอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
"ศิษย์พี่จะพาเจ้าลงเขาไปเลี้ยงต้อนรับเอง" เชียนจือหวากอดคอเยี่ยนหรงอย่างสนิทสนม พาเดินลงเขาไปเที่ยวเล่น
แม้เส้นทางจากบนเขาลงไปที่ย่านชุมชนด้านล่างจะค่อนข้างไกล แต่ด้วยอากาศที่เย็นสบายและทิวทัศน์ระหว่างทางยังเป็นธรรมชาติที่สวยงาม จึงทำให้คนสัญจรไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เหล่าศิษย์ในสำนักต่างเดินขึ้นลงทำธุระของตนอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน และไม่คิดใช้ตัวช่วยอื่นในการเดินทาง
เชียนจือหวาเล่าว่าอีกสามวันจึงจะเริ่มมีการเรียนการสอน ช่วงเวลานี้เหล่าศิษย์สามารถกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวได้ แต่นางผู้ซึ่งขโมยเงินหนีออกจากบ้านไม่อาจกลับไป จึงวนเวียนเที่ยวเล่นอยู่ในสำนัก บางครั้งก็ลงเขาไปเที่ยวเล่นในเมือง ศิษย์ที่ยังอยู่ในสำนักตอนนี้ก็คือพวกที่ไม่กลับบ้าน หรือไม่ก็ไม่มีบ้านให้กลับทั้งสิ้น บ้างหางานทำ บ้างพักผ่อน รอวันเปิดเรียน
เชียนจือหวาลากเยี่ยนหรงลงจากเขามุ่งสู่เขตตลาดบ้านเรือนของชาวบ้านด้านล่าง เยี่ยนหรงก็มิได้ปฏิเสธ ในเมื่อนางต้องอยู่แดนมนุษย์ก็ควรจะเรียนรู้การใช้ชีวิตของมนุษย์ให้มาก ไปดูความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วไปเสียหน่อยก็นับเป็นเรื่องดี
ความที่เชียนจือหวามีนิสัยกระฉับกระเฉงไม่หยุดนิ่ง เยี่ยนหรงจึงจัดนางเป็นเพื่อนในแดนมนุษย์ และเป็นผู้ที่สอนการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ได้ดีที่สุดในตอนนี้
สมัยที่นางยังร่ำเรียนอยู่แดนสวรรค์ เคยได้ยินคนอื่นในชั้นเรียนคุยกันว่าแดนมนุษย์น่าสนุกยิ่ง มีของให้เล่นมากมาย มีอาหารแปลกๆ มีการแสดงต่างๆ ไม่ว่างเว้น ในตอนนั้นนางตั้งใจว่าหากมีเวลาจะแอบลงมาเที่ยวเล่นแดนมนุษย์สักครั้ง แต่เมื่อได้รับคัดเลือกเข้าแดนเจ็ดดารา นางก็ฝึกหนักเสียจนไม่มีเวลาเที่ยวเล่น ในตอนหลังที่ได้รับตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์ นางก็งานยุ่งเสียจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ไม่นึกว่าพอฟื้นจากความตายถึงมีโอกาสได้มาเยือนแดนมนุษย์เช่นนี้
เชียนจือหวาเดินจูงมือเยี่ยนหรงดูของในตลาด ทั้งขนม ผ้าแพรพรรณ ของกินตามแผงลอยและของเล่นต่างๆ อย่างมีชีวิตชีวา เมื่อรู้สึกหิวจึงลากเยี่ยนหรงเข้าร้านอาหารที่นางชอบมาเป็นประจำ
สามารถมีศิษย์น้องที่หน้าตาสะสวยและจิตใจดีเช่นนี้ เชียนจือหวาก็อดเบิกบานไม่ได้ เดิมด้วยนิสัยใจร้อนเจ้าอารมณ์ของนางจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนคบหาด้วยสักเท่าไร บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างหลบหนีนางให้ไกลเพราะไม่อยากรองรับอารมณ์แปรปรวนของนาง และก็ไม่อยากผันตัวไปเป็นกระสอบทรายให้นางเตะเล่น ดังนั้นเมื่อได้เจอเยี่ยนหรงจึงเปรียบดั่งฟ้าประทานตุ๊กตาหน้าตาน่ารักให้มาอยู่เป็นเพื่อน นางจะต้องถนอมไว้ให้ดีที่สุด
"ศิษย์น้อง เจ้าสั่งได้เต็มที่ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง" เชียนจือหวาเอามือตบถุงเงินที่ข้างตัวพร้อมกับยิ้มร่าให้เยี่ยนหรง
เยี่ยนหรงมองแผ่นไม้ที่ห้อยอยู่หน้าเรือนไม้สองชั้นใหญ่โตตรงหน้า ‘หอชุนเซียง’ เมื่อก่อนนางก็เคยอยากลิ้มลองอาหารในแดนมนุษย์ แม้ตอนนี้จะยังไม่หิว แต่เมื่อเชียนจือหวาเอ่ยปากนางก็ไม่ปฏิเสธ
เชียนจือหวากระตือรือร้นในการตีสนิทกับเยี่ยนหรงอย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง เชียนจือหวาก็ถามขึ้น "อยากกินอะไร"
เยี่ยนหรงมองอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของผู้อื่นอย่างสนอกสนใจ พบว่าอาหารแดนมนุษย์ก็ไม่ได้ต่างจากแดนเทพมากนัก ล้วนหน้าตาคล้ายๆ กัน อีกทั้งนางไม่รู้ชื่ออาหารแดนมนุษย์ จึงตอบไปเพียงว่า "อะไรก็ได้"
เชียนจือหวายิ้มค้างมองสีหน้าไร้อารมณ์ของเยี่ยนหรง "น่าเบื่อชะมัด"
เมื่อผู้มาใหม่ไม่ออกความเห็น จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ต้องแนะนำ นางจัดแจงสั่งของที่นางชอบมาอย่างมือเติบ สั่งกับข้าวไปห้าหกอย่าง เยี่ยนหรงไม่ออกความเห็น สั่งขนมมาอีกสองอย่าง เยี่ยนหรงยังคงนิ่งเฉย แต่เมื่อสั่งสุรา…
"ข้าไม่ดื่มสุรา"
"เป็นพระโพธิสัตว์ถือศีลกินเจหรืออย่างไร ไม่ลองเสียหน่อยจะได้รู้ว่าตัวเองสามารถดื่มได้มากแค่ไหน" นางปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นแปดส่วนอย่างหาได้ยาก ในสายตานางเยี่ยนหรงรูปร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรง ลมพัดวูบเดียวก็แทบปลิวได้ ผิวพรรณที่ใสกระจ่างราวทารกแรกเกิดสอดรับกับใบหน้าที่งดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ แต่กลับไม่สอดรับกับการจับอาวุธต่อยตีกับผู้อื่นอย่างยิ่ง
ในสายตาเชียนจือหวา ศิษย์น้องของนางคนนี้ทั้งจิตใจดีและอ่อนต่อโลก ต่อไปคงไม่พ้นถูกคนอื่นเอาเปรียบ ซึ่งยอมไม่ได้เด็ดขาด ในความคิดนาง ถึงเป็นสตรีก็จะต้องมีบุคลิกที่ห้าวหาญน่าเกรงขาม อย่าให้ใครมารังแกได้
นางมองศิษย์น้องที่แสนดีตรงหน้า และวางท่าสั่งสอน "ไม่ดื่มสุราก็แล้วไปเถอะ ต่อไปเมื่ออยู่สำนักอู่เฉิงฝึกฝนวิชาเซียน เจ้าจะต้องปราบปีศาจ ผดุงคุณธรรม จะอ่อนแอขี้ขลาดไม่ได้เด็ดขาด เจอภูตผีปีศาจก็ต้องจัดการ ห้ามใจอ่อน เข้าใจหรือไม่"
เยี่ยนหรงมองเชียนจือหวาตาปริบๆ ไม่รู้ว่าเชียนจือหวาเอาเรื่องดื่มสุรากับกล้าหาญมาเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร เมื่อก่อนนางฆ่าอสูรไปนับไม่ถ้วน กระบี่เฟิงหวาแทงทะลุร่างเหล่านั้นอย่างไร้ปรานี ก่อนตายยังใช้อัคคีนิลกาฬเผาเทพไปอีกหลายองค์ ความเด็ดขาดใจกล้าของนางมิใช่เรื่องที่เชียนจือหวาจะต้องกังวลแต่อย่างใด
"เรื่องนั้นข้าเข้าใจ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่" เยี่ยนหรงสีหน้าไร้อารมณ์ เมื่อกล่าวคำกลับดูเชื่อฟังยิ่งนัก ทำให้ผู้ฟังยิ้มแย้มจนแก้มปริ
ระหว่างรออาหาร เชียนจือหวาที่แทบไม่เคยหยุดพูดก็เล่าเรื่องของนางให้เยี่ยนหรงฟังอย่างเปิดเผย สำหรับนางแล้วการกระทำเช่นนี้คือการตีสนิทที่จริงใจที่สุด
เชียนจือหวาเดิมเป็นคุณหนูจากตระกูลพ่อค้าร่ำรวยแห่งเมืองอวี้อัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มั่งคั่งที่สุดในแผ่นดิน แต่เพราะเบื่อหน่ายการเย็บปักถักร้อย เบื่อหน่ายการทำอาหาร เบื่อหน่ายการปั้นหน้ายิ้มเรียบร้อย เบื่อหน่ายกฎระเบียบ จึงขอบิดามารดาฝึกวรยุทธ แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ พวกเขาบอกว่าเป็นหญิงต้องเชื่อฟัง และว่านอนสอนง่าย เมื่อถึงวัยก็แต่งงานกับสามีที่ดีมีหน้ามีตา จากนั้นก็ต้องปรนนิบัติสามี และดูแลบ้านสามี จึงจะเป็นหญิงที่ดีงาม
นางได้ฟังดังนั้นก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ตกกลางดึกจึงแอบขโมยเงินจำนวนหนึ่งแล้วหลบหนีออกมาท่องโลกกว้าง และเพราะความที่เป็นคน ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ จึงได้เข้าสำนักอู่เฉิงเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเจ้าสำนักหลิวเส้าชง ฝึกวิชาเซียนมาหกปีแล้ว
หกปีที่ผ่านมาเชียนจือหวามีเพื่อนน้อยมาก นางนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ ความจริงแล้วนางไม่มีเพื่อนเลยต่างหาก ซึ่งตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
"ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องหลบเลี่ยงข้า ข้าว่าข้าก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ" เชียนจือหวาสีหน้าครุ่นคิด
แม้อยู่ด้วยกันไม่นาน แต่เยี่ยนหรงก็รู้แจ้งว่าเชียนจือหวาปากคอเราะร้าย อารมณ์แปรปรวน ยังดีที่นางในตอนนี้สูญเสียความโกรธไปแล้ว จึงอยู่ด้วยกันได้ หากเป็นคนอื่นคงทนรับไม่ไหว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย อย่างน้อยเชียนจือหวาก็เป็นคนกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยม มิได้ชั่วร้ายอะไร สำหรับนางแล้วน่าคบหาอย่างยิ่ง
หรืออาจเป็นเพราะตัวเยี่ยนหรงเองรับรู้ถึงความดีของคนอื่นได้ง่าย เมื่อก่อนคนทำดีกับนางนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากไม่ได้รับการเมินเฉยอย่างไร้ตัวตน ก็ได้รับแต่ความเกลียดชัง และการดูถูก ดังนั้นที่ผ่านมาหากใครทำดีกับนางเพียงเล็กน้อย แม้แต่ทำดีโดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็จะรู้สึกซาบซึ้ง และอยากทดแทนเป็นร้อยเท่าพันทวี กับเชียนจือหวาก็เช่นกัน
ไม่นาน อาหารก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เยี่ยนหรงฟังเชียนจือหว่าเล่าจนจบก็รู้สึกว่ามนุษย์ตรงหน้ามีความดื้อรั้นไร้เดียงสาไม่น้อย แต่ความกล้าที่จะเลือกใช้ชีวิตดั่งใจนึกนั้นช่างน่าเลื่อมใส เป็นความกล้าหาญที่นางไม่เคยมีมาก่อน
"ท่านใช้ชีวิตได้ดี"
เชียนจือหวาทั้งเข้าใจ และไม่เข้าใจ ปกติไม่เคยมีใครชมว่าสิ่งที่นางทำเป็นสิ่งดี แต่เมื่อเยี่ยนหรงว่าดี นางก็อดยิ้มไม่ได้ ในที่สุดก็ได้เจอคนที่รับนางได้ และเข้าใจนางแล้ว
พออารมณ์ดี นางก็คีบอาหารใส่ชามให้เยี่ยนหรงยกใหญ่ "เจ้าลองกินนี่ หมูสามชั้นน้ำแดง กวางตุ้งอวบๆ หวานๆ ล้วนอร่อยทั้งนั้น"
เยี่ยนหรงคีบเนื้อหมูมาใกล้จมูกครู่หนึ่ง
ไม่ได้กลิ่น…
เมื่อลองกัดไปคำหนึ่งก็เป็นดังคาด
ไม่มีรสชาติ…
ที่แท้นอกจากความโกรธ ความเจ็บปวดจะหายไปแล้ว แม้แต่การได้กลิ่น การรับรสก็หายไปด้วย แต่นางก็ยังคงกินต่อไปอย่างแนบเนียน ไม่ว่าเชียนจือหวาจะแนะนำอะไร คีบอะไรใส่ชามให้ นางก็ล้วนกินไปอย่างไร้รสชาติจนหมด