"นี่ ข้าเลี้ยงข้าวเจ้า แนะนำของอร่อยตั้งมากมาย เหตุใดยังทำหน้านิ่งไร้อารมณ์อยู่ได้ เจ้าไม่รู้สึกดีใจ ยินดี ขอบคุณ หรือรู้สึกว่าอาหารอร่อยบ้างหรือ" เชียนจือหวาอดเย้าเยี่ยนหรงเล่นไม่ได้ ถึงแม้ความจริงนางไม่ได้ต้องการอะไรจากศิษย์น้องแต่เพราะสีหน้าของคนตรงหน้าดูไร้อารมณ์เกินไป นางจึงแกล้งทำท่าไม่พอใจ
เยี่ยนหรงได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ ความรู้สึกนางหายไปหลายอย่าง ประสาทการรับรู้ก็ดูจะหายไปไม่น้อย เมื่อไร้ความรู้สึก สีหน้าท่าทางจึงเฉยชาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกเว้นว่านางจะแสร้งแสดงให้เหมือนปกติ
"ขอบคุณ" นางยิ้มน้อยๆ ให้เชียนจือหวา
เป็นรอยยิ้มที่ไม่มากไปไม่น้อยไป กำลังพอเหมาะพอเจาะไปเสียหมด ภายในร้านที่ผู้คนแออัด กลับดูสว่างไสวราวโลกมีแสงตะวันอบอุ่นผุดขึ้นมาอีกหนึ่งดวง เชียนจือหวามองรอยยิ้มที่ส่งมาให้แบบไม่ทันตั้งตัวจนตาค้าง
แม่เจ้า! นางเป็นคนจริงๆ ใช่หรือไม่ มิใช้เทพจากแดนสวรรค์แน่นะ เชียนจือหวาคิดอย่างใจลอย จนได้ยินเสียงจานหลายใบตกแตกจึงได้สติ
เมื่อมองไปด้านข้างจึงพบว่าเสี่ยวเอ้อร์มองมาที่เยี่ยนหรงด้วยดวงตาหวานเยิ้มราวต้องมนต์จนเผลอปล่อยถาดที่มีจากใช้แล้วตกแตกกระจายเต็มพื้น แขกโต๊ะอื่นก็มองมาที่ศิษย์น้องของนางด้วยแววตาแบบเดียวกัน เดิมคนพวกนี้ก็ลอบมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่ตั้งแต่ต้น เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเมื่อครู่จึงทำให้เสียอาการ
เชียนจือหวาหวงแหนศิษย์น้องสายตรงคนเดียวของนางยิ่งนัก นางส่งสายตาพิฆาตให้ผู้คนรอบข้างจนทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ รีบหันกลับไปก้มหน้ากินข้าวกันอย่างเงียบกริบ ใครเล่าจะอยากยุ่งกับหญิงเจ้าอารมณ์ และชอบใช้กำลังอย่างเชียนจือหวา ชื่อเสียงด้านนี้ของนางเป็นที่เลื่องลือทั้งในและนอกสำนักมานานแล้ว
เยี่ยนหรงมองเหตุการณ์รอบตัวด้วยความสงสัย นี่นางทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ แต่เมื่อใช้ความคิดทบทวนอย่างละเอียดจึงสามารถหาเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
มนต์เสน่ห์ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
ปกติแล้วปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั้นจะมีพลังอำนาจในเรื่องของมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา การแปลงโฉม และการใช้มนต์มายา ซึ่งความสามารถทั้งหมดนั้นเยี่ยนหรงไม่เคยใช้มาก่อน ตอนที่ถูกพาตัวไปแดนสวรรค์ เทียนตี้ได้ผนึกพลังปีศาจครึ่งหนึ่งในร่างนางไว้ ทำให้นางมีชีวิตอยู่แบบเทพที่เหลือพลังในร่างเพียงครึ่งเดียว
หลังจากคลายผนึก พลังทั่วร่างของนางก็เต็มเปี่ยม หลังฟื้นจากความตายร่างกายนางก็ยังคงหลงเหลือแก่นพลังทั้งเทพและปีศาจอยู่ในตัว แม้จะน้อยนิดแต่ที่ผ่านมานางก็ไม่เคยควบคุมพลังปีศาจในร่างด้วยตัวเองมาก่อน
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่จะต้องทำเป็นอย่างแรกคือ ฝึกเก็บแววตาที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางให้มิดชิด เพื่อที่ว่านางจะได้ไม่เป็นจุดสนใจ และสามารถแฝงตัวอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่ต้องการ
ฟื้นฟูพลังอีกสักหน่อยก็น่าจะปิดบังเอกลักษณ์ของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางได้
เยี่ยนหรงและเชียนจือหวากินไปคุยไปจนอาหารพร่องไปกว่าครึ่ง
"มัวแต่เล่าเรื่องของตัวเอง ลืมถามเรื่องเจ้าไปเสียสนิท เหตุใดจึงมานอนป่วยอยู่ที่สำนักอู่เฉิงตั้งนาน ครอบครัวเจ้าเล่า" เชียนจือหวากัดขนมดอกกุ้ยไปคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก
"ข้าไม่มีครอบครัว"
คำว่าครอบครัวสำหรับนางนั้นช่างห่างไกลจนเกินเอื้อม แม้ความจริงแล้วนางจะมีบิดา มีพี่น้องต่างมารดามากมาย อีกทั้งยังเคยแต่งงานมีฟูจวิน แต่นั่นนางไม่บังอาจเรียกพวกเขาว่าครอบครัว ไม่อาจเอื้อมจริงๆ
"หา! ไม่มีเลยหรือ ที่เจ้าบอกว่ามารดาจากไปนานแล้ว จากนั้นเจ้าก็ใช้ชีวิตลำพังมาโดยตลอดเลยหรือ" เชียนจือหวาสมกับเป็นคุณหนูที่เบื่อหน่ายมารยาททางสังคม คำถามที่ตรงไปตรงมาของนางหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงต้องรู้สึกแย่ และเกลียดที่นางพูดจี้ใจดำไม่มากก็น้อย
แต่เยี่ยนหรงเพียงทำสีหน้าเรียบเฉย และกล่าวกับนางอย่างสงบ "ใช่ หลังจากมารดาตายไป ข้าก็ใช้ชีวิตลำพังมาตลอด"
แดนสวรรค์ผู้คนมากมาย แต่กลับไม่มีใครอยากให้นางเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น ตำหนักจิวจวี่คือเรือนหอ แต่เขากลับมิได้อยากเหยียบย่างเข้ามาพบนางแม้ชั่วขณะ มีผู้คนรายล้อมแต่กลับเดียวดายยิ่งกว่าอยู่คนเดียว ความเจ็บปวดในตอนนั้นนางยังจำได้ แม้ตอนนี้จะไม่รู้สึกแล้วก็ตาม
เมื่อกินอาหารเสร็จเชียนจือหวาก็ลากเยี่ยนหรงมาเดินย่อยที่ตลาด ร้านรวงมากมายตั้งเรียงรายเต็มสองข้างทาง ทั้งขนม ของเล่น ผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับ ไปจนถึงการแสดงปาหี่ก็ยังมีให้ชมอยู่ประปราย
"วันหลังข้าจะพาเจ้ามานั่งดูงิ้วที่ร้านน้ำชาแห่งนั้น" เชียนจือหวาชี้มือไปที่เรือนไม้สามชั้นที่ถูกสร้างอย่างวิจิตรงดงาม เสาแต่ละต้นยังแขวนโคมไฟสีแดงสดใสไว้มากมาย ขับเน้นให้บรรยากาศดูครึกครื้นตลอดเวลา น่าสนใจยิ่งนัก
เยี่ยนหรงหันมองไปรอบตัว นางไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ในแดนเทพมาก่อน หากตอนนี้ยังมีความรู้สึก ตัวนางเองก็คงจะตื่นเต้นอย่างมาก คงจะวิ่งชมความสนุกสนานไปทั่วเป็นแน่
เดินไปเรื่อยเปื่อยก็ผ่านร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่ง บนแผงลอยมีเครื่องประดับที่ทำจากเงินและหินสีต่างๆ มากมาย มีทั้งสร้อยข้อมือ ปิ่นปักผม ถุงหอม จี้ห้อย เยี่ยนหรงเหลือบไปเห็นเชือกถักที่ถูกย้อมหลากสีแขวนเรียงรายอยู่บนแผง รู้สึกสะดุดตาจึงเดินเข้าไปชมดู
สีสันของเชือกถักพวกนั้นสวยงามแปลกตา นางเลือกไปเลือกมาก็เจอเชือกถักสีฟ้าครามเส้นหนึ่ง
เหมาะยิ่งนัก
ที่ด้านข้างมีแม่นางน้อยคนหนึ่งยืนเลือกเครื่องประดับอยู่เช่นกัน นางมากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ น่าจะเป็นคนรักของนาง เมื่อเลือกได้ปิ่นปักผมเล่มที่ถูกใจแล้ว ชายผู้นั้นจึงส่ง 'ก้อนสีเงิน' ให้กับแม่ค้าแล้วนำปิ่นเล่มนั้นมอบให้หญิงสาว
ใช้สิ่งนั้นแลกของกระมัง
อันที่จริงนางเคยเห็นเชียนจือหวายื่นก้อนสีเงินแบบนั้นให้กับเถ้าแก่ร้านอาหารตอนที่พวกนางกินเสร็จแล้ว
"ศิษย์พี่!" เมื่อเห็นเชียนจือหวาหันมา เยี่ยนหรงก็ชี้มือไปที่เชือกถักสีฟ้าครามเส้นนั้น "ข้าอยากได้"
เชียนจือหวามองนางอย่างไม่เข้าใจ "แล้วอย่างไร"
"ข้าไม่มีก้อนสีเงินเหมือนท่าน"
"ก้อนสีเงิน เจ้าหมายถึงสิ่งนี้หรือ" เชียนจือหวาล้วงเงินออกมาจากถุงผ้าใบเล็กจำนวนหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้าเยี่ยนหรง
เยี่ยนหรงเห็นก้อนสีเงินมากมายในมือเชียนจือหวาก็พยักหน้าหงึกๆ
เชียนจือหวาผู้เดิมเป็นคุณหนูตระกูลเศรษฐีย่อมไม่มีความหวงแหนเงินทอง กับแค่เชือกถักเส้นเดียวยิ่งไม่นับเป็นกระไรได้ ซื้อสักร้อยเส้นก็ยังไม่สะทกสะท้าน
เมื่อเยี่ยนหรงได้เชือกถักเส้นนั้นมาก็มองดูมันด้วยความชอบ อย่างน้อยความรู้สึกชอบของนางก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะเบาบางมากจนแทบไม่มีก็ตาม นางเดินเคียงไปกับเชียนจือหวา "ข้าจะหาก้อนสีเงินพวกนั้นได้จากที่ไหน"
เชียนจือหวาเหลือบมองนางอย่างแปลกใจ "เจ้าอยากหาเงินหรือ"
"อ้อ ที่แท้สิ่งนั้นเรียกว่าเงินหรอกหรือ"
เชียนจือหวามองศิษย์น้องของตนอย่างไร้อารมณ์ครู่หนึ่ง ไปอยู่ไหนมาจึงไม่รู้จักเงิน นางยกมือขึ้นกุมขมับ "ใช้ของข้าก็ได้"
"ไม่ได้ๆ ข้าต้องหามาเอง จะหาเงินมาคืนท่านค่าเชือกถักนี่ด้วย"
ถึงแม้ว่าเชียนจือหวาจะไม่ต้องการเงินคืนจากเยี่ยนหรง แต่เมื่อศิษย์น้องมีความมุ่งมั่น นางจึงนิ่งคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเล่าให้เยี่ยนหรงฟังว่าปกติแล้วคนเราหาเงินได้อย่างไรบ้าง ร้อยแปดพันเก้าวิธี ขอแค่มีคนชื่นชอบย่อมมีคนจ่าย อย่างไรก็หาเงินได้ไม่ยาก ทำภารกิจของสำนักความจริงแล้วก็ได้เงินเช่นกัน เพียงแต่ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักใหม่โอกาสที่จะได้ทำภารกิจมีน้อยมาก วิธีนี้อาจจะต้องรอไปก่อน
คืนนั้นทั้งสองนอนในเรือนพักศิษย์เดียวกัน เรือนพักหนึ่งหลังต่อศิษย์ในสำนักสองคน เรือนของเชียนจือหวามีแค่นางพักอยู่คนเดียวมานานแล้ว ศิษย์ที่เคยพักกับนางก็พากันย้ายหนีไปจนหมด ที่ผ่านมาไม่มีใครทนอยู่ได้เกินสามเดือน พอเยี่ยนหรงมาถึงจึงได้อยู่กับเชียนจือหวาพอดี
เวลาดึกเชียนจือหวาหลับสนิทไปแล้ว เยี่ยนหรงยังคงนอนมองไข่มุกวารีในมืออย่างครุ่นคิดเล็กน้อย นางนำเชือกถักสีฟ้าครามที่เพิ่งซื้อมาร้อยเข้ากับแร่ผลึกสีเงิน หลังจากนั้นจึงนำมาห้อยไว้ที่คอ เก็บไข่มุกวารีไว้ในอกเสื้อใกล้กับหัวใจ สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ไหลเวียนจากไข่มุกมายังร่างอย่างอิ่มเอม
อีกสามวันกว่าจะถึงพิธีรับศิษย์ สามวันนี้ยังพอมีเวลาว่าง นางจะใช้วิชาที่เคยร่ำเรียนมาไปทำงานหาเงิน และอยู่รอดในแดนมนุษย์ให้จงได้!