"อาจารย์ ข้าพาศิษย์น้องมาพบท่าน หวังให้ท่านตรวจดูอาการนางเสียหน่อย นางเพิ่งจะฟื้นได้ไม่นานนี้เอง" เชียนจือหวาประสานมือกล่าวกับหลิวเส้าชงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลิวเส้าชงที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้ในกระถางใบเล็กอย่างตั้งใจหันกลับมามองตามเสียง เขาสวมชุดสีขาว ผมบนศีรษะก็กลายเป็นสีขาวจนหมด แม้แต่หนวดที่ยาวลงมาถึงอกก็เป็นสีขาว ทำให้ทั่วร่างดูขาวโพลนราวกับหิมะ
ใครคือศิษย์น้อง ใครคืออาจารย์
เยี่ยนหรงมองหน้าเชียนจือหวาสลับกับหลิวเส้าชงไปมา นางมีอายุมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ต่อให้เอาคนที่แก่ที่สุดในแดนมนุษย์มามัดรวมกันสิบคนก็ยังไม่อาจอาวุโสกว่านางได้ อีกทั้งจะให้นางฝากตัวเป็นศิษย์ในแดนมนุษย์ทั้งที่นางเป็นเทพก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง นี่เกินกว่าจินตนาการทั้งหมดในชีวิตนางไปมากมายเลยทีเดียว
"ไอ้หยา! เจ้าทำหน้างงอะไร เข้าสำนักทีหลังก็ต้องเป็นศิษย์น้องสิ ดูจากหน้าตาเจ้าแล้วน่าจะเด็กกว่าข้าสักสองปี" เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เชียนจือหวาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ "จริงสิ เจ้าอายุเท่าไร…"
พูดยังไม่ทันจบหลิวเส้าชงก็กระแอมเสียงดังขัดคอขึ้น และทำมือบอกให้เชียนจือหวาออกไปด้านนอกก่อน
เห็นหลิวเส้าชงรู้ความ เยี่ยนหรงก็มิได้อ้อมค้อมอีก "ท่านคงรู้ว่าข้าจะถามอะไรกระมัง"
"ข้าสามารถบอกได้เท่าที่ข้ารู้ ว่าแต่ ข้าควรเรียกท่านว่าอะไร" หลิวเส้าชงมีบุคลิกที่เป็นมิตรกับทุกคน ยามพูดกับเยี่ยนหรงก็ยังนอบน้อมอยู่สามส่วน ผิดกับศิษย์เอกอย่างเชียนจือหวาที่พอเอ่ยปากก็เหมือนท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นตลอดเวลา
"จ้าวเฟยเยี่ยน" เยี่ยนหรงแม้มิได้นอบน้อมแต่ก็มิได้ถือตัว ในแดนมนุษย์นั้นหลิวเส้าชงจัดเป็นผู้อาวุโสที่ควรเคารพ แม้อายุเพียงหกสิบเจ็บสิบปี แต่สำหรับแดนมนุษย์ก็ถือเป็นอายุที่ชรามากแล้ว
หลิวเส้าชงได้ฟังก็เรียกนางว่าแม่นางจ้าว และเริ่มเล่าเรื่องราวเท่าที่เขาสามารถเล่าได้
เมื่อสามเดือนก่อน ผู้มีพระคุณของหลิวเส้าชงได้มาหาเขาที่ตำหนักหย่งเหอกลางดึก ในอ้อมแขนยังอุ้มร่างของคนผู้หนึ่งไว้ ทว่าทั่วร่างของคนผู้นั้นล้อมรอบไปด้วยปราณสีทองส่องประกายเจิดจ้า จนเขาไม่อาจแยกแยะคนในอ้อมแขนผู้มีพระคุณได้ว่าเป็นชายหรือหญิง มนุษย์หรือเทพ
ในตอนนั้นผู้มีพระคุณเพียงบอกว่าต้องการให้เขาดูแลคนผู้นี้ให้ดี หากฟื้นขึ้นมาก็ให้รับไว้เป็นศิษย์ในสำนัก ให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักระยะ เมื่อเขาถามถึงความเป็นมาของนาง ผู้มีพระคุณก็ล้วนไม่ตอบทั้งสิ้น เพียงแต่กำชับว่าให้เขาดูแลนางให้ดีก็พอ
ผู้มีพระคุณของหลิวเส้าชงเป็นใครกัน เป็นมนุษย์หรือเทพ หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เยี่ยนหรงอยากรู้ยิ่งนัก "หลังจากนั้นเล่า"
"หลังจากนั้นเขาก็พาร่างของท่านขึ้นไปไว้บนหอชั้นเจ็ด และทิ้งไข่มุกวารีซึ่งเป็นไข่มุกวิเศษไว้ที่บนยอดหออีกหนึ่งเม็ด กำชับข้าว่าหลังจากนี้สองเดือนปราณสีทองจะหายไป ถึงตอนนั้นจึงพาร่างท่านไปไว้ที่เรือนพักศิษย์ได้"
เยี่ยนหรงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันที ที่แท้บนหอชั้นเจ็ดของตำหนักหย่งเหอมีไข่มุกวารีอยู่ มิน่า เมื่อนางก้าวเข้ามาในตำหนักจึงรู้สึกปลอดโปร่ง สบายตัวอย่างมาก
ไข่มุกวารีเป็นของวิเศษที่มีพลังด้านการรักษาเยียวยาที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพ หากได้รับพลังที่แผ่กระจายออกมาจากไข่มุกวารีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บจะสาหัสเพียงใดก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นการบาดเจ็บถึงแก่นวิญญาณและดวงจิต ไข่มุกวารีนี้ก็ยังช่วยเสริมให้กลับมาสมบูรณ์ได้อย่างช้าๆ เป็นของวิเศษที่หายากมาก ได้ยินว่าทั่วทั้งแดนเทพมีเพียงสามเม็ดเท่านั้น
ผู้ที่ครอบครองของล้ำค่าเช่นนี้เป็นใครกัน ทั้งยังเอาของวิเศษมาทิ้งไว้กับข้าในแดนมนุษย์อย่างไม่เสียดาย มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
หลิวเส้าชงเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเยี่ยนหรงจึงเอ่ยขึ้น "ท่านไม่จำเป็นต้องหวาดระแวง" กล่าวจบก็ใช้พลังเซียนเรียกของสิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ
ไข่มุกเม็ดเล็กเปล่งประกายสีขาวบริสุทธิ์ ถูกล้อมรอบด้วยผลึกแร่สีเงินยวงที่สลักเป็นลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม ราวเถาไม้เลื้อยที่วิจิตรโอบล้อมแสงจันทร์อันสว่างอบอุ่นไว้อย่างอ่อนโยน
ไข่มุกวารีลอยขึ้นจากมือหลิวเส้าชงตรงมาหาเยี่ยนหรง นางจึงยื่นมือรับไว้ กระแสอบอุ่นอ่อนโยนแล่นผ่านกลางฝ่ามือเข้าสู่ร่าง ไม่รู้เพราะเหตุใดแม้นางจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่เมื่อได้รับกระแสพลังอันอบอุ่นสายนี้จึงได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
หลิวเส้าชงเมื่อส่งมอบไข่มุกวารีให้เยี่ยนหรงเสร็จจึงกล่าวต่อ "ผู้มีพระคุณหวังดีต่อท่านจากใจจริง ไม่มีจุดประสงค์ร้ายแน่นอน"
ผู้มีพระคุณของเขานั้นแม้ปกติมีบุคลิกนิ่งสงบเย็นชา ไม่ค่อยชอบพูดจามากความ แต่ในวันที่พาร่างของนางมาฝากไว้กับเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใย ที่หอสูงชั้นเจ็ด เมื่อเขาวางร่างนางลงบนเตียงหยกเย็นแล้วก็ยังนั่งอยู่ข้างๆ เช่นนั้นเนิ่นนานราวกับวางใจไม่ลง แม้สุดท้ายจะผละจากไปแต่ก็ยังไม่ลืมกำชับให้ดูแลนางอย่างดี
"หากข้าถามว่าเขาคือใคร ท่านก็คงไม่ยอมบอกกระมัง" เยี่ยนหรงแม้เพิ่งฟื้นจากความตาย แต่สติปัญญายังคงเฉียบคมเช่นเดิม หากหลิวเส้าชงสามารถบอกนามคนผู้นั้นได้คงไม่ใช้คำแทนว่าผู้มีพระคุณเช่นนี้ นางเองก็คร้านจะบีบคั้นมนุษย์คนหนึ่งให้ต้องลำบาก จึงถามเรื่อยเปื่อยทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
"ไม่อาจบอกได้จริงๆ แต่ข้าเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งท่านจะได้เจอกับเขาแน่นอน"
"นอกจากนี้ท่านยังรู้อะไรเกี่ยวกับข้าอีกบ้าง"
"ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช" หลิวเส้าชงยังคงนอบน้อมเช่นเดิม
เยี่ยนหรงพยักหน้ารับ ความจริงแล้วสภาพนางตอนนี้ก็ไม่อาจไปที่ไหนได้ พลังเทพปีศาจสูญสิ้น อย่าว่าแต่กลับแดนสวรรค์เลย ทะยานไปในอากาศยังแทบสิ้นหวัง จะฟื้นฟูทุกอย่างกลับมาก็ไม่อาจใช้เวลาเพียงวันสองวัน อีกทั้งนอกจากไข่มุกวารีแล้วนางยังรู้สึกว่าที่สำนักอู่เฉิงมีปราณทิพย์ไหลเวียนอยู่ตลอด ที่แห่งนี้น่าจะตั้งอยู่ใกล้สถานที่ศักดิ์สิทธิของเทพที่ไหนสักแห่งจึงได้มีปราณทิพย์เข้มข้นเช่นนี้ เป็นผลดีแก่การฟื้นฟูร่างกายอย่างมาก
ผู้มีพระคุณของหลิวเส้าชงคิดแทนนางมากมายจริงๆ
เช่นนั้นก็ทำตามความต้องการของคนผู้นั้น แฝงตัวเป็นศิษย์สำนักเซียนไปก่อน ฟื้นฟูพลังได้เมื่อไรค่อยออกตามหาเขาก็ยังมิสาย
หลิวเส้าชงฟังว่าเยี่ยนหรงตัดสินใจจะฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ที่นี่ ก็ประสานมือคารวะและกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน "เป็นเกียรติของข้าแล้ว"
เยี่ยนหรงเอียงคอมองเขาตาปริบๆ ไหนว่าไม่รู้เรื่องของนางอย่างไรเล่า เหตุใดกระทั่งรับศิษย์ยังถือเป็นเกียรติของคนเป็นอาจารย์ด้วย
สุดท้ายจึงต้องโบกมือเป็นสัญลักษณ์ให้เขาอย่าได้คารวะนางอีก ทำตัวตามสบาย และช่วยกันเล่นละครฉากนี้ไปด้วยกัน เขากับนางคงต้องอยู่ในสถานะศิษย์อาจารย์ไปอีกยาวอย่างแน่นอน