บทที่ 2 บ้านร้าง
ผมชื่อเอกพล อายุสามสิบสี่ปี
เมื่อต้นปี 2563 ผมตัดสินใจย้ายออกจากกรุงเทพฯ มาอยู่บ้านเก่าหลังหนึ่งที่ผมซื้อไว้ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2562 ที่หมู่บ้านโคชนะ ตำบลห้วยกระทบ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
ช่วงแรกที่มองหาที่อยู่ต่างจังหวัด ผมมีความคิดเพียงแค่อยากได้บ้านเช่าเอาไว้ขับรถมานอนค้างในบรรยากาศชนบทเป็นพักๆ เพื่อจะได้ฟื้นฟูพลังงานกลับไปทำงานต่อ หรือถ้าอยู่ไหว ผมก็อยากอยู่ยาวติดต่อกันไปสักเดือนหรือสองเดือน
พี่ภูษิตเพื่อนผมที่เป็นผู้ดำเนินรายการสารคดีช่วงสามทุ่มของสถานีข่าวโฟร์ตี้นิวส์ให้ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ใหญ่สมจิตกับผมมาหลังจากที่ผมส่งข้อความไปปรึกษาเขาว่าผมอยากลองไปใช้ชีวิตไปอยู่บ้านนอกสักระยะ เขาให้ข้อมูลว่าแถวตำบลห้วยกระทบยังเป็นชนบทแท้ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรีสักเท่าไร หากขับรถมาจากกรุงเทพฯก็ร้อยกิโลกว่า ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง เขาเคยมาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับหมู่บ้านไททรงดำของอำเภอเขาย้อยสำหรับรายการ “สิบแปดนาทีทั่วไทยกับภูษิต” เมื่อกลางปี 2562 และมีโอกาสได้รู้จักผู้ใหญ่บ้านสมจิตแห่งหมู่บ้านโคชนะ ผู้บอกเล่าเรื่องราวการแข่งขันวัวลานซึ่งเป็นกีฬาพื้นบ้านของชาวเพชรบุรี ผู้ใหญ่สมจิตชักชวนเขาไปดูการแข่งเผื่อจะสนใจนำเรื่องวัวลานไปทำสารคดีชุดต่อไปและให้เบอร์โทรศัพท์แก่พี่ภูษิตไว้และบอกว่าเขายินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ในทุกด้าน
“เอกลองติดต่อหาผู้ใหญ่สมจิตนะ เขาเป็นคนกว้างขวางคงรู้จักบ้านเช่าเงียบๆ สักหลังแถวนั้น” พี่ภูษิตบอกผม
จากนั้นผมก็โทรศัพท์หาผู้ใหญ่สมจิตและแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของพี่ภูษิต น้ำเสียงเหน่อๆที่แสดงความกระตือรือร้นทำให้ผมสนใจฟัง
“เป็นบ้านทาวน์เฮาส์นะคุณ เมียผมทำบ้านจัดสรร โครงการแรกขายไปหมดแล้ว ส่วนโครงการที่สอง เหลืออยู่หลังเดียว อยากลองมาดูไหม จะเช่าอยู่ไปก่อนแล้วค่อยซื้อก็ได้”
“เอ่อ ผมยังไม่มีความคิดจะซื้อบ้านที่ไหนครับ ผู้ใหญ่” ผมตอบ “แค่อยากออกจากกรุงเทพฯ เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางสักพักให้สมองมีเรื่องใหม่ๆคิด”
“เอาๆๆ ไม่เป็นไร ผมยินดีให้คุณเช่าถ้าคุณอยู่ได้ คุณภูษิตกับผมรู้จักกัน เขาบอกว่าวันหน้าอาจจะมาสัมภาษณ์ผมไปออกรายการทีวี ฮ่าๆๆๆ” ผู้ใหญ่สมจิตส่งเสียงพูดมาตามสาย
หลังจากนัดหมายกันแน่นอนแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2562 ผมก็ขับรถไปถึงอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ใช้เวลาเพียงสี่สิบนาทีจากทางด่วนดาวคะนอง ผมให้กูเกิลแม็ปนำผมไปยังหมู่บ้านโคชนะ ตำบลห้วยกระทบ ซึ่งมีระยะทางแค่สิบแปดกิโลเมตรจากถนนเพชรเกษม
ผมหยุดรถริมถนนด้วยความงุนงงว่าต้องไปทางไหนต่อหลังจากเสียงบอกทางแจ้งว่ามาถึงจุดหมายแล้ว
ชายคนหนึ่งคนขี่รถจักรยานผ่านมา ผมชะโงกหน้าออกไปถาม
“ก็ตรงนี้แหละ หมู่บ้านโคชนะ หมู่ 1”
ชายบนอานจักรยานตอบคำถามผมด้วยเสียงเหน่อพร้อมกับย้อนถาม “จะไปหาใครเรอะ”
“ผมจะไปบ้านผู้ใหญ่สมจิตครับ” ผมตอบ กลิ่นยาฆ่าแมลงจากตัวชายคนนั้นลอยมาปะทะจมูก ผมมองสิ่งที่เขาสะพายอยู่บนหลัง มันคือเครื่องพ่นซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเกษตรในยุคปัจจุบัน
“ข้ามสี่แยกนี่แล้วตรงไปสักครึ่งกิโลก็จะเห็นป้ายที่ทำการบ้านผู้ใหญ่” ชายคนนั้นชี้มือ
“ขอบคุณครับ” ผมกระพุ่มมือไหว้เขา
ผมขับรถผ่านสี่แยกตามที่ชายคนนั้นบอก ไม่ถึงนาทีก็ถึงบ้านผู้ใหญ่สมจิตผู้มีอายุราวห้าสิบปี เขามีท่าทางกระตือรือร้นเหมือนกับน้ำเสียงที่ผมได้ยินทางโทรศัพท์
“กินอะไรมาหรือยังคุณ”
เขาถามขณะเดินออกมารับผมเข้าไปนั่งคุยในบ้าน
“เมื่อกี้ผมแวะร้านแม่ล้วนมาแล้วครับ” ผมเอ่ยถึงร้านข้าวแกงมีชื่อเสียงของอำเภอเขาย้อย ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมทางไปเพชรบุรี
“อ้อ งั้นเข้ามานั่งเล่นพักเหนื่อยก่อนไหม ขับรถออกจากกรุงเทพฯแต่เช้ามืดนี่นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมสบายๆ ไม่เหนื่อย เช้าๆ รถไม่เยอะ ไม่ค่อยร้อนด้วยครับ”
ผมมองทุ่งนาข้างบ้านผู้ใหญ่ที่ต้นข้าวถูกเกี่ยวเหลือแต่ตอสีน้ำตาล เขามองตามสายตาผมแล้วพูด
“หมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่แต่เดิมปลูกข้าวกันทั้งนั้น มองไปที่ไหนมีแต่ที่นา ไม่ค่อยมีหนองมีห้วย แต่มีคลองชลประทานยาวเหยียดมาเลยตั้งแต่หนองชุมพลโน่น มีโรงงานใหญ่ๆ ตั้งอยู่สี่ห้าโรง พวกหนุ่มๆสาวๆ เข้าทำงานโรงงาน พวกพ่อแม่ก็เลี้ยงวัวกันไป ที่นี่วัวเยอะ เลี้ยงกันแทบทุกบ้าน ผมก็มีคอกนะที่เห็นอยู่ข้างหลังนั่นน่ะ ผมเลี้ยงไว้แข่งวัวลาน มันเป็นกีฬาของลูกผู้ชายเมืองเพชร อีกหน่อยถ้าคุณมาอยู่นี่คุณก็จะเห็น”
ผมมองไปรอบๆ ฟังเสียงเหน่อแบบชาวเขาย้อยของผู้ใหญ่สมจิตซึ่งผมไม่เคยได้ยินสำเนียงอย่างนี้มาก่อน ผมเคยได้ยินแต่เสียงเหน่อสุพรรณที่พวกดาราตลกทางโทรทัศน์ชอบเอามาพูดล้อเลียน มีสิ่งปลูกสร้างเหมือนโกดังขนาดใหญ่ตั้งห่างออกไปด้านหลัง มันปิดประตูไว้ ใต้ต้นนุ่นสูงมีรถปิ๊กอัปคันใหญ่ติดตั้งคอกสเตนเลสที่กระบะหลังจอดอยู่
“คุณลองมาอยู่แล้วคุณจะชอบ รอดูฤดูปลูกข้าว คุณจะได้เห็นทะเลต้นข้าวที่เปลี่ยนสีทุกวัน ยามทุ่งข้าวเหลืองอร่าม มองไปทางไหนก็เหมือนคลื่นสีทองโยกโยนไปมายามต้องลม ตอนเย็นคุณจะเห็นพระอาทิตย์ตกลงเหนือเหลื่อมเขาโน่น พวกคนแก่มักชอบไปเดินเล่นริมคลองชลประทานรอดูฉากอลังการที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ที่เห็นไกลลิบสุดตาโน้นเป็นเทือกเขาในเขตอำเภอหนองหญ้าปล้อง”
ผู้ใหญ่สมจิตดูจะเป็นผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ วิธีพูดของเขาเหมือนคนที่ชอบอ่านหนังสือบางประเภท ซึ่งเรื่องนี้ผมเดาผิด ผมมารู้ตอนหลังว่าเขาเป็นโฆษกเสียงตามสายประจำหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังเป็นโฆษกงานบวชและงานบุญต่างๆ
หลังจากผู้ใหญ่สมจิตเปิดประตูรถก้าวขึ้นมานั่งคู่กับผมบนรถตู้ลายดอกไม้แล้ว เขาก็บอกผมให้เข้าไปกลับรถในบ้านจากนั้นเลี้ยวขวาออกถนนสายหลัก
ผมมองนาฬิกาในรถที่บอกเวลาแปดโมงสี่สิบนาที
“วันนี้พวกบ้านผมไปช่วยพวกหมู่ 3 ทำอาหารตั้งแต่ยังไม่สว่าง เขามีพิธีกินเสน[1]กัน ล้มควายเลี้ยงทั้งคนทั้งผี สองสามปีทำที งานใหญ่เลยละ ถ้าคุณอยู่ถึงเที่ยงก็ไปกินกัน ไม่ไกลหรอก ขับรถจากนี่สิบห้านาทีเท่านั้น”
ผมมองหน้าผู้ใหญ่แว่บหนึ่งแล้วยิ้ม อันที่จริงผมไม่รู้ในสิ่งที่เขาพูดถึงตั้งแต่ตอนแรก ทั้งเรื่องอาชีพการงานของคนที่หมู่บ้านนี้ เรื่องวัวลาน และเรื่องกินเสน แต่ไม่เป็นไร เพราะที่ผมมาหาเขาในวันนี้ผมตั้งใจจะมาหาบ้านเช่าสักหลังเท่านั้น
ผมเลี้ยวขวาออกถนนไปตามที่ผู้ใหญ่สมจิตชี้บอก
หมู่บ้านโคชนะตั้งอยู่รอบบริเวณถนนสายหลักสองเส้น เส้นแรกเป็นถนนขรุขระเลียบคลองชลประทานทอดตัวจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ผ่านไร่นาและสวน เส้นที่สองเป็นถนนลาดยางผ่านไปตามชุมชนต่างๆ นอกจากนั้นยังมีถนนเส้นเล็กมากมายเลื้อยลดเข้าไปยังบ้านเรือนในซอยที่ตั้งกระจายตัวเป็นวงกว้าง
“ห้วยกระทบเดี๋ยวนี้เจริญกว่าเมื่อก่อนเยอะ น้ำประปาไฟฟ้าเข้าไปถึงทุกหมู่บ้าน อินเทอร์เนต ไวไฟมากันพรึ่บ พวกเด็กไม่ดูกันแล้วทีวงทีวี ก้มดูกันแต่มือถือนี่แหละ พอๆกับเด็กในเมือง”
ผู้ใหญ่สมจิตชวนผมคุย ขณะที่ผมขับรถช้าๆ ใกล้ถึงสี่แยกมีรถบรรทุกพ่วงคันใหญ่แล่นตะบึงมาตามถนนลาดยาง ผมชะลอรถและมองรถบรรทุกคันนั้นแล่นผ่านไปโดยใช้ความเร็วคงที่ คือไม่มีการเบรก
“มันจะรีบเอาของไปเข้าโรงงาน” ผู้ใหญ่สมจิตบอก
จากทางแยกไปราวสองกิโลเมตร ผมเห็นกำแพงอิฐของบ้านหลังหนึ่งปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ไม้เลื้อยหนาแน่นติดริมถนนที่มีรถสัญจรผ่านเพียงไม่กี่คัน ภายในกำแพงมีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นโดยรอบจนแทบมองไม่เห็นตัวบ้าน เห็นแต่หลังคายอดแหลมมุงกระเบื้องดินเผาสีขะมุกขะมอมที่กำลังอาบแสงแดดยามสายดูคล้ายหลังคาวัด มันตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียง ด้านซ้าย ด้านขวาและด้านหลังเป็นทุ่งนาหลายแปลงติดกัน มีวัวเดินกินหญ้าอยู่เป็นฝูงๆ
ผมชะลอรถเหลียวมอง
“บ้านใครครับนี่”
ผู้ใหญ่สมจิตมองตามสายตาผมแล้วตอบ
“บ้านเ**กกิม แกตายไปเกือบสี่ปีแล้ว เมียแกอยู่บ้านซ่วง หมู่ 4 น่ะ” ผู้ใหญ่ชี้ไปทางทิศที่เห็นภูเขาสูงอยู่ไกลๆ “ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่หรอก ปิดทิ้งไว้”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ บริเวณบ้านออกกว้างขวางทำอะไรได้เยอะ ต้นไม้ก็ร่มรื่น เห็นแต่หลังคา ผมเดาว่าต้องเป็นบ้านไม้”
เมื่อเห็นประตูเหล็กสีทึมที่มีช่องให้มองเข้าไปภายในได้ ผมรีบชิดซ้ายจอดรถหน้าประตู ดูท่ามันจะไม่ได้เปิดมานานเพราะมีเถาไม้เลื้อยพันลอดไปมาตามช่องสี่เหลี่ยมที่เจาะไว้เป็นระยะอย่างสมดุล
ผู้ใหญ่บ้านไม่ตอบคำถามผม เขานั่งนิ่งพลางมองกำแพงอิฐสีส้มกระดำกระด่างที่ปกคลุมไปด้วยเถาไม้เลื้อยดูรกรุงรัง ผมแหงนมองยอดไม้หนาทึบมีแสงแดดส่องลอดเป็นลำลงไปในบริเวณบ้าน
“ปกติคนขับรถผ่านไปมาเขาไม่จอดแถวนี้กันนะ ผมเองก็ไม่เคยจอดหลังจาก...เอ่อ...คุณเพิ่งมาเลยไม่รู้ เอาไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เราไปดูบ้านทาวน์เฮาส์ที่คุณจะเช่ากันก่อนดีกว่า”
ผมจำใจออกรถต่อไปตามที่ผู้ใหญ่แนะนำ ทั้งๆที่ผมยังอยากมองเข้าไปในบ้านที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ไม้เลื้อย มองดอกไม้สีสันซื่อๆที่กำลังแย้มกลีบบานบนกำแพง มองต้นไม้สูง และอยากเข้าไปข้างในด้วยซ้ำ
ผมขับรถไปพลางมองดูสองข้างทางที่มีแต่พงหญ้าสลับกับฝูงวัวและนานๆจะมีบ้านคนสักหลัง ห้านาทีต่อมาเราไปถึงชุมชนที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ที่อยู่อาศัย มีถนนลาดยาง ผมเห็นทางแยกเล็กติดป้ายเขียนด้วยอักษรขนาดใหญ่ว่า “หมู่บ้านเพ็ญจันทร์โครงการ 2” ผู้ใหญ่สมจิตชี้ไปที่ป้ายนั้นแล้วบอกให้ผมเลี้ยว
เมื่อผมเลี้ยวเข้าไปตามทางผมก็เห็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว สีเดียวกัน รูปทรงเดียวกันหกหลังปลูกติดกันไป โดยบ้านแต่ละหลังมีเนื้อที่ประมาณร้อยตารางวา
“หลังหัวมุมติดเสาไฟฟ้าที่ปลูกเฟื่องฟ้าพาดไว้เต็มกำแพงบ้านนี่ของป้าเดี่ยว แกเกษียณแล้วก็มาหาที่อยู่โล่งๆ แถวบ้านนอก แกมาเห็นทุ่งนาเขียวๆ เห็นพระอาทิตย์ตกก็ชอบ ตอนแรกแกมาถามหาบ้านเช่าแบบคุณนี่แหละ เอาไปเอามาก็ตัดสินใจซื้อ แกซื้อเงินสดเสียด้วยนะคุณ เมียผมแถมแท้งค์น้ำกับสายยางให้แกไว้ใช้ แกอยู่มาแล้วสามปี แกชอบเฟื่องฟ้า เอามาลงหลายสี ตอนนี้มันโตหนามเยอะ แกก็จับดัดพาดกำแพงไว้กันขโมย”
ผมเหลียวมองบ้านหลังที่ผู้ใหญ่ชี้ให้ดู ริมถนนบริเวณหน้าบ้านหลังอื่นมีถังขยะสีน้ำเงินเต็มล้น เศษขยะพลาสติกเกลื่อนเป็นทางตั้งแต่หน้าปากซอยที่เลี้ยวเข้ามา ยกเว้นบริเวณหน้าบ้านที่มีเฟื่องฟ้าพาดกำแพง
ถัดจากนั้นเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ปลูกชิดถนน
“หลังที่เมียผมจะให้เช่าอยู่ข้างใน หลังนอกนี่เขาเอาไปหมดแล้ว ...”
ผมมองหน้าบ้านทาวน์เฮาส์ที่มีจานดาวเทียมเล็กๆ สีดำและสีแดงติดอยู่ทุกหลังเรียงต่อกันไปแปดหลัง มีคนแก่สองสามคนนั่งชันขาคุยกันข้ามรั้วบ้านที่เป็นเหล็กดัด มีราวตากผ้ายื่นล้ำออกมาที่ถนน แม่บ้านคนหนึ่งกำลังผัดกับข้าวบนเตาแก๊สปิกนิกข้างรั้ว มีสุนัขมอมแมมสองสามตัวนั่งนอนอยู่ใกล้หม้ออาหาร
“หลังนั้นน่ะ จอดหน้าบ้านเลย” ผู้ใหญ่ชี้ให้ผมจอดหน้าบ้านหลังกลางที่ขนาบด้วยทาวน์เฮาส์หลังอื่น
เมื่อลงจากรถผมก็ได้ยินเสียงเห่าดังขรมมาจากบ้านด้านขวาที่ติดกุญแจคล้องล็อกประตูเหล็กดัดไว้ ผมมองเห็นหมาพันธุ์เล็กสามตัวยื่นหน้าเข้ามาเห่าผู้ใหญ่สมจิตและผม ท่าทางมันดูตื่นเต้นมากกว่าดุจึงส่งเสียงเห่าไม่หยุด
“เจ้าของบ้านเขาเป็นลูกจ้างโรงงาน ขยันกันทั้งผัวทั้งเมีย ออกบ้านแต่เช้า บางทีทำโอควบสองกะ คงอยากรีบผ่อนบ้านให้หมดเร็วๆ นิสัยดีทั้งคู่ ไม่มีปัญหากับใคร ถ้าคุณมาอยู่ก็โชคดี มีเพื่อนบ้านเอางานเอาการ”
ผู้ใหญ่สมจิตพูด เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเห่าแสบหูที่ดังอย่างต่อเนื่อง มีเสียงเห่ารับจากหมาตัวใหญ่ที่ถูกขังอยู่ในบ้านที่อยู่ถัดไปอีกสองหลัง
จากนั้นเขาก็ควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อและไขประตูรั้วทาวน์เฮาส์หลังที่เราจอดรถไว้ เจ้าหมาเล็กทั้งสามตัวยังเห่าไม่ยอมหยุด ผมชะโงกมองข้ามรั้วเหล็กดัดไปเห็นจานข้าวที่มีแต่มดขึ้นสองใบและน้ำในชามพลาสติกกะดำกะด่าง
บ้านที่ขนาบอีกด้านมีหนุ่มวัยรุ่นสี่ห้าคนอยู่ในรั้วบ้าน พวกเขากำลังช่วยกันถอดท่อไอเสียของรถคันหนึ่ง ผมยิ้มให้เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นที่เหลียวมามองผมพร้อมกัน ผมพอเดาได้ว่าพวกเขากำลังปรับแต่งเครื่องรถมอเตอร์ไซค์
ผมเดินตามผู้ใหญ่สมจิตเข้าไปหลังจากที่เขาดึงประตูเปิดออกแล้ว ห้องโถงข้างหน้ากว้างขวางพอสมควร แต่น่าเสียดายที่มีโซฟาตัวใหญ่เทอะทะและเก้าอี้รับแขกตั้งอยู่เต็มพื้นที่ มีห้องนอนเล็กๆ สองห้อง ผมโผล่หน้าเข้าไปดูเตียงขนาดควีนไซส์และตู้เสื้อผ้าไม้อัดที่ตั้งอยู่ เหลือช่องทางเดินระหว่างเตียงและตู้ประมาณฟุตครึ่ง ด้านหลังบ้านเป็นห้องน้ำและห้องครัวขนาดกะทัดรัด
ผมเดินนำผู้ใหญ่สมจิตออกจากบ้านหลังจากดูข้างในครบทุกห้องแล้ว
“ช่วงสายๆด้านนี้จะร้อนหน่อยนะคุณ ตกบ่ายก็ร่มไปตลอดถึงค่ำ”
เขาพูดเสริมขณะที่ผมมองแดดที่สาดเข้ามาเกือบถึงหน้าบ้าน เสียงหมาเล็กสามตัวเงียบไปแล้ว ผมกำลังนึกว่ามันไปหลบแดดกันที่ไหนก่อนจะถึงเวลาบ่ายในรั้วที่มันออกไปไหนไม่ได้อย่างนั้น
“อยู่คนเดียวคงไม่ต้องทำอาหารมั้ง ซื้อเอาสะดวกกว่า มีคนทำกับข้าวขาย ตลาดก็อยู่ไม่ไกล ของกินราคาไม่แพง ถุงละสิบบาท คนแถวนี้ทำงานโรงงานแทบทุกบ้าน ต้องรีบเข้ากะกันตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมง ตอนเช้าๆ รถมอเตอร์ไซค์พุ่มพวงเขาจะบีบแกรปิ๊นๆ คุณก็ออกมาเลือกซื้อเอา ตอนบ่ายเปิดแอร์นอนพักผ่อนให้สบาย ตอนเย็นเดินออกไปหน่อยก็จะได้เห็นทุ่งนาเขียวๆ สุดลูกตา อยู่บ้านนอกก็สบายแบบนี้ละ”
อากาศเริ่มร้อนจัดขึ้น
“เอาไว้ผมตกลงใจอย่างไร ผมจะติดต่อผู้ใหญ่นะครับ”
ผมก้าวท้าวออกจากรั้วบ้าน หมาเล็กสามตัวนั้นเลิกเห่าผมแล้ว ผมเห็นมันนอนหอบหายใจลิ้นห้อยอยู่ขอบชายคาบ้านที่มีร่มเงาประมาณคืบหนึ่ง
“ถ้าไม่ถูกใจที่นี่ ลองไปดูบ้านเดี่ยวที่โครงการแรกไหม มีคนเพิ่งประกาศขาย แต่หากคุณไปบอกขอเช่า เขาคงยอม บ้านนั้นมีบริเวณให้คุณนั่งเล่นนอกบ้านได้ มีต้นมะม่วง ต้นชมพู่กำลังออกลูกพอดี เอ่อ แต่มันไกลหน่อยเท่านั้น เกือบถึงสระพัง”
“คิดว่าไม่ดีกว่าครับ ดูที่นี่แห่งเดียวก็พอแล้วครับ” ผมตอบ
“รีบๆตัดสินใจหน่อยนะคุณ วันก่อนก็มีคนมาถามเช่า ผมบอกเขาไปว่ามีคนจากกรุงเทพฯติดต่อมาแล้ว จะมาดูบ้านวันสองวันนี้” เขาหมายถึงผม
“อ้อ ครับ อย่างนั้นถ้าเขาติดต่อมาอีก ผู้ใหญ่ตกลงให้เขาเช่าไปเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียโอกาส” ผมบอกพลางมองไปที่กลุ่มวัยรุ่นข้างบ้านที่กำลังทดลองสตาร์ทรถและเบิ้ลเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์
ตามเส้นทางที่ผมขับรถพาผู้ใหญ่กลับไปส่ง เราผ่านบ้านเก่าหลังนั้นกันอีกครั้ง
“ผู้ใหญ่ช่วยเล่าเรื่องบ้านหลังนี้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ” ผมเอ่ยขึ้น
ผู้ใหญ่สมจิตเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก คุณเอกพล คือเ**กกิมเจ้าของบ้านแกป่วยตายในบ้านหลังนี้ สองสามเดือนต่อมาลูกสาวก็ตายตาม ไม่นานจากนั้นเมียเ**กกิมก็ทิ้งบ้านพาลูกชายพิการย้ายกลับไปอยู่กับแม่ที่ชุมชนเดิมที่บ้านซ่วง ก็เท่านั้นแหละ”
คนเล่าถอนหายใจและเว้นระยะเหมือนจะเล่าขยาย พอดีผมขับรถมาถึงหน้าบ้านเขาพอดี ผู้ใหญ่สมจิตจึงเปิดประตูรถ
“แล้วทำไมเขาถึงปล่อยบ้านทิ้งร้างไว้ล่ะครับ” ผมชะโงกตัวถาม
ผู้ใหญ่บ้านชะงักนิดหนึ่งก่อนหันมาตอบ
“ไม่รู้ยังไงเขานะ คงมีปัญหากันสักอย่าง เมียเ**กกิมเขาต้องกลับไปดูแลแม่ช่วงก่อนหน้านี้ ก็เลยหอบลูกชายไปอยู่เสียด้วยกันที่หมู่ 4 โน่น ห่างจากนี่สิบกิโลกว่า แกปิดบ้านไว้จนเดี๋ยวนี้”
“อ้อ ครับ”
“ตัดสินใจยังไงเรื่องบ้านก็ติดต่อมาละกันนะ ว่าจะชวนคุณไปกินเสนที่ฝั่งโน้น เมียผมก็อยู่ที่งานนั่น คุณจะได้เห็นประเพณีพิธีกรรมของคนไทดำ ได้กินอาหารแบบชาวบ้านๆ พวกแกงหยวก แจ่วด้านอะไรแบบนี้”
“เอ่อ ขอบคุณที่ชวนครับ เอาไว้วันหลัง รบกวนเวลาผู้ใหญ่มากแล้ว”
ผมพนมมือลาผู้ใหญ่สมจิตก่อนจะขอเข้าไปกลับรถในบ้าน
แล้วผมก็ย้อนไปที่บ้านเก่าหลังนั้น
เมื่อจอดรถชิดกำแพงอิฐที่มีเถาไม้ปรกรกเรื้อแล้วผมก็ลงไปชะเง้อมองที่ช่องประตูเหล็กหน้าบ้าน มีรถขับผ่านไปมาเพียงสองสามคัน ซึ่งคนในรถต่างมองผมจนเหลียวหลัง
ผมยืนมองจากช่องประตูเข้าไปในบ้านครู่หนึ่ง จากนั้นผมเหลียวไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันหนึ่งแล่นช้าๆ มาตามทาง คนขับเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อยาวถึงคอ เขาสวมเสื้อยืดเก่าแขนยาว กางเกงเปื้อนดิน รองเท้าผ้าใบมอมแมม เขาชะลอรถจนจอดสนิทที่อีกฟากของถนนขณะที่ผมโบกมือเรียกเขา
“ขอโทษครับ บ้านหลังนี้เจ้าของเขาอยู่ที่ไหน พอบอกได้ไหมครับ” ผมถามหลังจากข้ามถนนไปยืนพูดกับเขาที่ข้างรถมอเตอร์ไซค์
ชายหนุ่มคนนั้นมองหน้าผมและกะพริบตาปริบๆ ผมมองใบหน้าที่มีผดผื่น มีเศษดินและเศษเปลือกไม้เล็กๆติดอยู่
“ผมอยากเข้าไปดูในนั้น” ผมชี้เข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้ง เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยกขาลงจากอานมอเตอร์ไซค์แล้วเดินข้ามถนนไปที่หน้าประตูบ้านโดยไม่พูดอะไร เมื่อถึงขอบประตูเหล็กเขายื่นแขนเข้าไปที่ช่องข้างเสาและควานมือผ่านเถาไม้ใบหนาที่ปรกอยู่โดยรอบ ผมได้ยินเสียงคล้องแคล้งของโซ่เหล็กที่กระทบขอบประตู ครู่หนึ่งโซ่เส้นหนาก็ถูกดึงออกมา มันคล้องประตูไว้เฉยๆโดยไม่มีแม่กุญแจ
ผมมองอย่างแปลกใจขณะที่เขาผลักเลื่อนประตูที่สนิมเกาะหนาไปด้านซ้ายอย่างลำบาก ผมขยับเข้าไปชิดตัวชายหนุ่มและช่วยออกแรงดัน
มันขยับอย่างช้าๆ จนกว้างพอที่จะสอดตัวผ่านเข้าไปได้ ผมสาวเท้าเดินเข้าไปอย่างตื่นเต้น
เบื้องหลังประตูเหล็กและกำแพงที่ปรกด้วยเถาไม้เลื้อยที่งอกรากฝังลงไปตามซอกอิฐคือบ้านไม้หลังขนาดกลาง นอกชานที่อยู่ชั้นสองดูกว้างขวางและมีราวกั้น ตัวบ้านยกพื้นสูงกว่าหัวผมไม่มากนัก หลังคามุงกระเบื้องเต็มไปด้วยคราบดำด่างผสมสีเขียวของตะไคร่น้ำ ใต้ถุนบ้านมีแคร่ไม้และข้าวของเครื่องใช้วางไว้ตามมุมเสา
ชายหนุ่มคนนั้นเดินตามผมเข้ามา เขาเหลียวไปรอบๆ สภาพที่รกครึ้มและเยือกเย็นทำให้ผมรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งแทบไม่ได้ยินเสียงรถที่แล่นผ่านไปแม้ว่ากำแพงด้านหน้าจะอยู่ติดถนน
“ขึ้นไปดูข้างบนได้ไหมครับ” ผมถามชายหนุ่ม
ขนตาสั้นทื่อรอบดวงตากะพริบสองครั้งเหมือนกำลังตัดสินใจ แล้วเขาก็ขยับหันตัวเดินกลับและออกไปที่ประตูเหล็ก ผมวิ่งตาม
“ผมจะติดต่อเจ้าของบ้านหลังนี้ได้ที่ไหนครับ” ผมถามเขาเมื่อเราออกมานอกประตูและเขาคล้องโซ่กลับที่เดิมแล้ว
ชายหนุ่มไม่พูดไม่จาขณะเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ผมเพิ่งสังเกตเห็นเชือกหลายขนาดขดวางกองอยู่มุมหนึ่งในกระบะพ่วงข้าง มีย่ามใบใหญ่ที่ตุงไปด้วยสิ่งของต่างๆ และมีถังพลาสติกปิดฝาวางตั้งอย่างมั่นคง ผมเห็นผึ้งตัวใหญ่เกาะอยู่รอบฝาถังเป็นวง ผมเข้าใจแล้วว่าผมได้กลิ่นอะไรขณะที่ยืนอยู่ใกล้ชายคนนี้
“ผมกำลังมองหาบ้านเช่าสักหลังเอาไว้มาอยู่ชั่วคราว”
ผมพยายามอธิบาย เผื่อเขาจะช่วยให้ผมได้พบกับเจ้าของหรือที่คนรับผิดชอบบ้านไม้หลังนี้ ผมพูดต่อ
“เมื่อเช้าผมไปดูทาวน์เฮาส์ของผู้ใหญ่สมจิต แต่ผมไม่ชอบอยู่แบบนั้น”
ผึ้งสี่ห้าตัวบินขึ้นจากฝาถังพลาสติกและโฉบฉวัดเฉวียนวนรอบตัวผม มีตัวหนึ่งบินลงมาเกาะที่ปลายจมูกและไต่ขึ้นไปที่หน้าผากจนผมรู้สึกคันยุบยิบ ผมใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยมันออกไปอย่างช้าๆ ชายตรงหน้าผมมองตามผึ้งตัวนั้นที่บินกลับขึ้นไปบนอากาศและเปลี่ยนทิศทางบินเข้าไปในพงไม้ข้างทาง ผึ้งตัวอื่นๆที่ฝาถังพลาสติกโผบินตามผึ้งตัวนั้นไปอย่างว่องไว
เขาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์และพยักหน้าก่อนจะพูดออกมาว่า
“ตามมา”
ผมกระโจนเข้ารถตู้อย่างว่องไวและขับตามเขาไป เขาขับขี่ด้วยความเร็วคงที่เนื่องจากมีกระบะพ่วงข้างที่บรรทุกของมาด้วย เสื้อยืดของเขาต้านลมมองเห็นรูปร่างผอมเพรียว แขนสองข้างที่จับแฮนด์รถดูแข็งแรงมั่นคง ผมหันซ้ายขวามองสองข้างเส้นทางที่มีแต่ทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวแล้ว มีวัวยืนเคี้ยวเอื้องเป็นฝูงๆ ใต้ร่มไม้ใบโกร๋น
เมื่อถึงถนนเลียบคลองชลประทาน ชายหนุ่มที่ขับรถนำผมมาก็ชะลอรถมอเตอร์ไซค์แล้วตีโค้งกลับมาจอดที่ข้างรถผม เขาส่งเสียงบอกว่า
“ตรงไปสิบกิโล ถึงสะพานโรงสี เลี้ยวขวาถึงบ้านซ่วง ถามหาป้าหมัย”
“ขอบคุณครับ” ผมโบกมือให้ชายคนนั้นที่ออกรถไปหลังจากพูดจบ
ผมขับรถบนถนนขรุขระเลียบริมคลองชลประทานไปเรื่อยๆ ไม่มีรถสวนมา และไม่มีรถแซงไป มันเป็นถนนลูกรังที่มีแต่รอยตีนวัว แต่น่าจะไม่ใช่วัวอย่างเดียว เพราะเมื่อขับมาได้ประมาณห้ากิโล ผมเห็นควายฝูงใหญ่กำลังเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งนา ผมมองควายฝูงนั้นอย่างตื่นเต้น ผมอยู่แต่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ออกมาเห็นสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่มีเขาแหลมโง้งต่อหน้าต่อตาอย่างนี้
สิบนาทีจากนั้นผมก็มาถึงสะพานคอนกรีต คงจะเป็นสะพานโรงสีตามที่ชายขี่มอเตอร์ไซค์มีกลิ่นน้ำผึ้งคนนั้นบอก ผมข้ามสะพานและเลี้ยวขวาไปประมาณสองกิโลเมตรก็ถึงซุ้มโค้งที่มีป้ายไม้แขวนอยู่ บนป้ายนั้นมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า “ชุมชนบ้านซ่วง หมู่ 4 ยินดีต้อนรับ”
ผมถามคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์สวนออกมาว่าบ้านป้าหมัยไปทางไหน เขาตอบว่า “ไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว บ้านที่มีกอไผ่น่ะ พอเห็นก็รู้”
ผมขับรถต่อไป ไม่นานแนวกอไผ่ยาวเหยียดประมาณร้อยเมตรก็ปรากฏต่อหน้า มีทางรถเข้าออกอยู่ที่ปลายแนว ผมขับรถเลียบรั้วกอไผ่เข้าไปสู่กลุ่มบ้านซึ่งมีประมาณสิบหลังตั้งอยู่ภายใน รูปทรงบ้านแต่ละหลังแตกต่างจากบ้านที่ผมขับรถผ่านมา กลุ่มบ้านนี้เป็นเรือนยกพื้นสูงคลุมด้วยหลังคารูปทรงโค้งปรกลงเป็นชายคา
มีเด็กชายหญิงนั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านหลังแรก พวกเขาหยุดเล่นเมื่อเห็นผมขับรถเข้าไปจอด หมาไทยสามสี่ตัวส่งเสียงเห่ากระชั้น พวกเด็กๆ ส่งเสียงตวาดไล่เจ้าสี่ขาพร้อมทั้งเงื้อง่ามือเปล่าทำท่าเหมือนถือไม้ไว้
ผมชะโงกหน้าถาม
“หนูครับ บ้านป้าหมัยหลังไหนครับ”
เด็กชายคนหนึ่งชี้ไปที่บ้านหลังซ้ายสุดเยื้องไปด้านหลัง เด็กหญิงผมเปียลุกขึ้นมองผมสักเดี๋ยว จากนั้นก็วิ่งตื๋อไปยังบ้านหลังที่เด็กชายชี้บอกพลางตะโกน
“ยายจ๋า ยาย มีคนมาหา ยาย ยายจ๋า”
“ช่วยดูหมาหน่อยได้ไหมครับ น้าจะลงจากรถละนะ” ผมยิ้มให้เด็ก ๆ
“มันไม่กัดหรอก มันเห่าอย่างเดียว” เสียงเด็กผมจุกพูด
“บางทีมันก็กัดครับถ้าไปเตะมันแรงๆ หรือถ้าไปแกล้งดึงหางมัน” เด็กชายพูดบ้างเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม
ผมเอียงหูฟัง สำเนียงของเด็กสองคนนี้ไม่เหน่อเหมือนผู้ใหญ่สมจิต
“ยายอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” ผมก้มตัวถาม
“อยู่มั้งครับ” เด็กชายคนเล็กตอบ
เด็กหญิงคนที่วิ่งไปเมื่อครู่วิ่งตื๋อกลับมา
“ยายเกี่ยวหญ้าอยู่”
“อ้อ ขอบคุณครับ” ผมขยับมือโบกให้เด็กกลุ่มนั้นที่ยิ้มเห็นฟันขาว แววตาของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกดีทีเดียว
Footnote
[1] กินเสน คือ การรับประทานอาหารร่วมกันในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (ผีเรือน) อันเป็นประเพณีของชาวไททรงดำ (ลาวโซ่ง) ซึ่งในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีชาวไททรงดำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันนี้แม้ส่วนใหญ่ปรับตัวและวิถีชีวิตเข้ากับชาวไทยพื้นถิ่นจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังรักษาแบบแผนดั้งเดิมของตนไว้ได้และส่งทอดให้ลูกหลานอย่างไม่ขาดตอน