ผมเดินเยื้องไปทางซ้ายลอดใต้ถุนผ่านบ้านสี่หลังที่มีผู้คนอยู่ข้างบนไปยังบ้านหลังสุดท้าย มันตั้งอยู่ริมสระขนาดใหญ่ มีกล้วยหลายกอขึ้นเต็มบริเวณด้านหนึ่ง อีกด้านมีต้นไม้ยืนต้นอยู่เป็นระยะ ต้นมะม่วงสูงใหญ่สองต้นแผ่ร่มเงาบังแดดที่สาดแสงเข้ามาที่ผนังบ้านยกพื้น ไกลออกไปด้านหลังเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าที่ปลูกไว้เป็นแปลงใหญ่ซึ่งหากเด็กน้อยไม่บอกว่ายายกำลังเกี่ยวหญ้าผมคงเข้าใจว่าเป็นต้นข้าว
“มาหาฉันเหรอ” มีเสียงผู้หญิงตะโกนมาจากแปลงสีเขียวสูงถึงเอว “รอเดี๋ยวนะ”
ผมค่อยๆ เดินลอดใต้ถุนบ้านไม้หลังนั้นเข้าไปยืนที่ใต้ต้นมะม่วง
“ป้าหมัยใช่ไหมครับ” ผมร้องถาม
“ฉันนี่แหละ” หญิงคนนั้นตะโกนตอบขณะมัดหญ้าที่เกี่ยวแล้วให้เป็นฟ่อน
“ผมมีธุระมาคุยนิดหน่อยครับ”
“มาขายอะไรล่ะ ปุ๋ยฉันไม่ใช้หรอกนะ ขี้วัวเยอะแยะ เครื่องกรองน้ำฉันก็มีแล้ว เตาแก๊สก็ยังดีอยู่” นางหมัยเงยหน้าพูด
“โอ๊ะ เปล่าครับ ผมไม่ได้มาขายของ”
ผมตอบอย่างรู้สึกขัน อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่ หรือเป็นเพราะหน้าตาที่ดูไม่เหมือนคนออกเหงื่อกรำแดด
“งั้นก็รอเดี๋ยวนะ เขาเพิ่งโทรมาจะเอาหญ้าสดสี่ห้ามัด เอาไปเลี้ยงวัวลาน ปกติฉันเกี่ยวตอนเช้า ได้น้ำหนักดีกว่า ตอนนี้แดดแรง น้ำค้างมันแห้งไปแล้ว ไม่มีกำไรหรอก ช่วยเขาไป เขากำลังขี่รถมาเอา” พูดเสร็จนางก็ลงมือมัดหญ้าฟ่อนใหม่
ผมมองเสื้อและผ้าซิ่นสีดำที่หญิงผู้นี้สวมใส่ มันเป็นผ้าฝ้ายอย่างหนาแบบที่ชาวชนบทสมัยก่อนทอใช้กันในครัวเรือน
“ให้ผมช่วยไหมครับ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เดี๋ยวเสื้อขาวๆจะเปื้อนหมด รอฉันอีกสักเดี๋ยว เข้าไปนั่งใต้ถุนบ้าน ข้างนอกมันร้อน ”
เมื่อเสียงพูดจบลงผมก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากด้านหลังแปลงหญ้าที่ทอดขนานสระน้ำ สักเดี๋ยวหนึ่งชายวัยกลางคนใบหน้ากร้านแดดปากคาบมวนใบยาก็ขี่รถปุเลงๆ อ้อมมาทางด้านที่นางหมัยกำลังหอบฟ่อนหญ้ามาวาง
“แดดอะไรมันมาไวยังงี้ เพิ่งจะสิบโมง” ชายคนนั้นพูดพลางถ่มเส้นยาสูบ
“มาเอา มาเอา” นางหมัยตะโกน
ชายคนนั้นจอดรถที่ริมแปลงหญ้า เขาใช้นิ้วบีบยาเส้นให้ดับแล้วหย่อนลงกระเป๋าเสื้อก่อนลงจากอานรถ จากนั้นเดินสวบๆ ไปหอบหญ้าสองฟ่อนนำกลับไปวางบนหลังรถมอเตอร์ไซค์ มือหนึ่งเอื้อมหยิบขดเชือกไนลอนในตะกร้าหน้ารถมาร้อยเข้าไปในห่วงหลังรถและถือปลายเชือกรอไว้ นางหมัยหอบหญ้าจนแขนกางมาเติมอีกสองฟ่อนแล้วเดินกลับไปรวบรวมหญ้าที่เหลือมัดเข้าด้วยกันและหอบกลับมาเป็นเที่ยวสุดท้าย ชายคนนั้นตวัดเชือกในมือผูกหญ้าทั้งห้าฟ่อนอย่างแน่นหนาก่อนจะควักเงินส่งให้นางหมัยหนึ่งร้อยบาท เขาหยิบมวนหญ้าเส้นจากกระเป๋าเสื้อมาคาบไว้แล้วจุดไฟแช็กก่อนสตาร์ทรถ
เมื่อมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล่นโยกเยกกลับไปยังทางเดิมแล้ว นางหมัยก็ถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกสะบัดฝุ่นแล้วผึ่งแดดไว้บนพุ่มไม้ก่อนเดินเข้ามายังใต้ถุนบ้าน นางถอดหมวกสานออกจากผมที่เปียกชุ่มแขวนกับตะปูบนเสา ใบหน้าที่มีเค้าสวยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ผมประเมินว่าหญิงตรงหน้าคงอายุราวห้าสิบ
นางเปิดโอ่งน้ำใบใหญ่แล้วคว้าขันจ้วงน้ำขึ้นมาล้างหน้า ล้างแขนสองข้างและล้างเท้า
ไม่กี่นาทีถัดมาผมก็ได้คุยกับหญิงที่ผู้ใหญ่บ้านเรียกว่า “เมียเ**กกิม” จริงๆผมควรเรียกนางว่า “น้า” เพราะดูท่านางคงอายุน้อยกว่าแม่ผมหลายปี แต่ผมเรียกนางว่า “ป้าหมัย” ตามชายหนุ่มที่ชี้ทางให้ผม
เรานั่งกันบนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่บนลานดินกว้าง มีไก่หลายตัวเดินหาอาหาร เสียงเด็กๆที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานดังแว่วมา
ผมเริ่มพูดธุระหลังจากสังเกตว่าป้าหมัยค่อยหายเหนื่อยและพร้อมรับฟัง
“คุณป้าครับ คือผมเพิ่งมาจากโคชนะ เมื่อเช้านี้ผมขับรถผ่านบ้านที่ล้อมกำแพงอิฐ ผมเห็นบ้านนั้นปิดไว้ ข้างในมีต้นไม้ขึ้นคลุมจนทึบ ผู้ใหญ่สมจิตบอกว่าเป็นบ้านของคุณป้า”
ผมพูดพลางมองหน้าคนฟังที่หันไปยกกระจาดผักชนิดหนึ่งมาเด็ดเอาแต่ยอดและใบอ่อนอย่างไม่ให้มือว่าง
“แล้วยังไง” นางถามโดยไม่มองหน้าผม
“คือผมทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ช่วงนี้รู้สึกเบื่อๆ เลยคิดอยากจะหาเช่าบ้านต่างจังหวัดไว้อยู่คั่นจังหวะสักปี เมื่อเช้าผมไปดูทาวน์เฮาส์ของผู้ใหญ่ แต่ใจผมนึกชอบบ้านคุณป้าและอยากเข้าไปดูข้างใน”
“ผู้ใหญ่เขาไม่ได้บอกคุณหรือว่าบ้านนั้นมีคนตายคาบ้านปีเดียวกันสองคน ผัวฉันคนหนึ่ง ลูกสาวฉันอีกคน” ป้าหมัยเงยหน้ามองผมตรงๆ
ผมอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อได้ฟังการพูดแบบเปิดเผยชนิดที่ผมตั้งตัวแทบไม่ทัน ผมตอบสั้นๆว่า
“บอกครับ”
“เขาบอกยังไงล่ะ”
ผมบอกป้าหมัยถึงสิ่งที่ผู้ใหญ่สมจิตเล่าให้ผมฟังอย่างย่นย่อก่อนลงจากรถผม
ความเงียบเบียดตัวเข้าแทรกระหว่างเราสองคน มีแต่เสียงถกเถียงกันของเด็กๆ แว่วมา เสียงนกที่ร้องอยู่ในทุ่งหญ้า เสียงวัวร้องมอๆ
“แล้วคุณไม่กลัวเรอะจะเข้าไปดูน่ะ คนที่โคชนะเขากลัวกันจะแย่นะบ้านหลังนั้น ไม่มีใครอยากเดินผ่าน คุณลองไปฟังพวกเขาพูดสิ”
ป้าหมัยพูดด้วยเสียงเหมือนเหน็บแนม ผมกะพริบตานึกคำตอบ
“เอ่อ คือผมเพิ่งได้คุยกับผู้ใหญ่สมจิตเพียงคนเดียวครับ อ้อ กับคนที่ชี้ทางให้ผมมาที่นี่อีกคน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก” ผมตอบ
ในใจผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ เมื่อนึกถึงท่าทีของผู้ใหญ่สมจิตและของชายหนุ่มกลิ่นน้ำผึ้งคนนั้น ประจวบกับสิ่งที่ป้าหมัยเพิ่งถามผม
“อีกคนน่ะใครกัน” นางหยุดมือที่กำลังเด็ดผักและเงยหน้าถาม
“ผู้ชายหนุ่มอายุสักยี่สิบห้า ตัวผอม ผมยาวถึงต้นคอ ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง...”
“ไอ้ปาน”
ป้าหมัยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนผมพูดจบ ผมกำลังจะบอกเพิ่มว่าผมกับนายคนนั้นเปิดประตูเหล็กเดินเข้าไปดูในบริเวณบ้านป้าหมัยมาแล้ว ตอนนั้นเองมีเสียงคล้ายเด็กร้องไห้อยู่บนเรือน ป้าหมัยลุกขึ้นทันทีและบอกผมให้นั่งเล่นไปสักเดี๋ยว จากนั้นนางก็หันตัวขึ้นกระไดไป ครู่หนึ่งเสียงนั้นก็เงียบ นางกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้าม่อน ลูกชายฉัน เดินไม่ได้ตั้งแต่เกิด ตอนนี้เป็นหนุ่มแล้ว นอนติดเตียง ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำกัน เมื่อกี้เขาหิวน้ำ ฉันลืมไปมัวแต่คุยกับคุณ”
“แต่ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้นี่ครับ” ผมขมวดคิ้ว หรือผมหูฝาดไป
“นั่นหนะ เสียงเขา เขาทำเสียงได้สารพัดอย่าง เวลาหิวน้ำเขาจะทำเสียงแบบนั้นแหละ” ป้าหมัยตอบพลางลดตัวลงนั่งหน้ากระจาดผักและลงมือเด็ดต่อ
“อ้อ ครับ” ผมกะพริบตาปริบๆ และชำเลืองขึ้นไปบนบ้านซึ่งขณะนี้ผมได้ยินเสียงเด็กเล็กหัวเราะคิกคักเบาๆ แต่ป้าหมัยท่าท่าไม่สนใจและเอ่ยปากถามผม
“เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้ว ฉันนี่พอเริ่มแก่ตัวก็หลงลืม ได้หน้าแล้วลืมหลัง อย่าถือสานะ” นางเงยหน้าถามเมื่อไม่ได้ยินเสียงผมพูด
“ไม่เป็นไรครับ คือเมื่อครู่นี้คุณป้าถามผมว่าผมไม่กลัวหรือที่จะเข้าไปดูบ้านนั้น”
“เอ้อ แล้วคุณกลัวหรือเปล่าล่ะ” ป้าหมัยมองหน้าผมแว่บหนึ่ง
ผมนั่งคิดคำตอบอึดใจหนึ่งแล้วพูดออกมา
“คุณป้าครับ เรื่องบ้านที่มีคนตายนั้นคงเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะบ้านเก่าที่เคยมีคนอาศัยอยู่ก็มักจะมีญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมในบ้าน” ผมเว้นระยะ แล้วพูดต่อ
“บ้านผมที่กรุงเทพฯ ที่ผมอยู่ด้วยกันกับแม่และพี่สาวสองคนก็เป็นบ้านที่มีคนเสียชีวิตในบ้านมาสองรุ่นแล้ว เป็นบ้านเก่า คุณตาทวดกับยายทวดของผมถึงแก่กรรมที่บ้านนั้นตั้งแต่ผมยังเล็กมาก ท่านอายุเก้าสิบกว่าทั้งสองคน รุ่นต่อมาคือคุณตากับคุณยายผมก็เสียไล่เรี่ยกัน”
ป้าหมัยมองหน้าผมโดยที่มือยังวุ่นอยู่กับการรูดกิ่งก้านผัก ผมเรียนรู้ทีหลังว่ามันคือผักหวานซึ่งชาวบ้านแถบนี้นิยมนำไปประกอบอาหารประเภทแกงต่างๆ
ผมพูดต่อขณะมองมือของนางที่เด็ดรูดใบเล็กๆ ออกจากก้านอย่างแคล่วคล่อง
“พวกเราก็อยู่กันที่บ้านหลังนั้นเรื่อยมาโดยไม่มีเรื่องน่ากลัวอะไรอย่างที่เพื่อนบ้านชอบลือกันว่าได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเห็นภาพคนแก่ผมขาวยืนลับๆล่อๆอยู่บนระเบียง ผมไม่ชอบที่ผู้คนเอาเรื่องพวกนี้มาเล่า เพราะพวกผมสามคนพี่น้องกับแม่ก็อยู่อาศัยกันอย่างดีที่บ้านเก่าของเรา...”
“แล้วพ่อคุณไปไหนเสียล่ะ” นางโพล่งถามขึ้น
“เอ่อ พ่อกับแม่ผมแยกทางกันครับ” ผมชะงักและตอบสั้นๆ
“อ้อ” ป้าหมัยอืออออยู่ในคอแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“บ้านฉันที่โคชนะมันคนละอย่างกับบ้านคุณ ของคุณน่ะเป็นเรื่องดีที่คนเฒ่าคนแก่หมดอายุขัยไปตามเวลาของเขา คนแต่ก่อนเขาไม่อยากไปตายที่โรงพยาบาลกันหรอก” นางหันไปถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วพูดต่อ “แต่บ้านหลังที่คุณอยากเข้าไปดูนั่นน่ะ ลูกสาวฉันเขาผูกคอตายในห้องหลังจากที่เตี่ยเขาตายไปสองเดือน”
ผมสะดุ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“พวกหมู่ 1 เขาก็ใจร้ายนะ พูดลับหลังคนตายอย่างโน้นอย่างนี้จนฉันอยู่ไม่ได้ ต้องทิ้งบ้านกลับมาอยู่หมู่ 4 ที่นี่ บ้านนั้นฉันบอกขายไปตั้งแต่สองปีแรก แต่ไม่มีใครมาซื้อ เขาไม่กล้าอยู่กัน ใครมาถามหาซื้อ พอรู้ว่ามีคนผูกคอตายในบ้านเขาก็หนีกันหมด สุดท้ายฉันเลยปล่อยมันไว้อย่างนั้น”
มีเสียงเซ็งแซ่เหมือนนกฝูงใหญ่ร้องอยู่ในอากาศและกำลังบินผ่าน ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นแต่ก้อนเมฆขาวเหมือนกองฝ้าย
“ฉันจะขายบ้านนั้นให้คุณถูกกว่าราคาประเมินครึ่งหนึ่ง คุณจะซื้อไหม คุณไปสืบราคาบ้านและที่ดินให้ทั่วเขาย้อยก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ”
ป้าหมัยเอ่ยชัดถ้อยชัดคำขณะที่ผมกำลังแหงนหน้ามองหาที่มาของเสียงนก
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่ป้าหมัยเสนอ ผมปรับหัวสมองแทบไม่ทัน ผมนึกหาคำพูดแล้วรีบกล่าวอธิบาย
“เอ่อ คือ คุณป้าครับ ผมมาหาคุณป้าเพราะอยากจะขออนุญาตเข้าไปดูข้างในบ้าน ผมคิดไว้ตอนที่ขับรถมาว่าหากมันพออยู่ได้ ผมก็จะขอเช่าอยู่สักระยะหนึ่ง แต่เรื่องซื้อนี่ผมไม่ได้คิดครับ และอีกอย่าง เรื่องที่คุณป้าบอกเมื่อกี้นี้ก็ค่อนข้าง เอ่อ เกินคาดไปนิด แต่ผมก็ขอบคุณนะครับที่คุณป้าบอก” ผมผ่อนลมหายใจเมื่อพูดจบ
ป้าหมัยขยับกระจาดผักหวานไปที่มุมแคร่หลังจากเด็ดจนหมด นางปัดไม้ปัดมือและพูดออกมา
“ฉันจะเล่าเรื่องบ้านนั้นให้ฟังตั้งแต่ต้น คุณมีเวลาฟังไหมล่ะ”
ผมมองป้าหมัย นางลุกจากแคร่เดินไปนั่งบนม้านั่งเตี้ยห่างจากผมประมาณสองเมตร แววตาครุ่นคิด ผมไม่ปฏิเสธ
“ผมมีเวลาทั้งวันครับ”
ป้าหมัยเริ่มเล่า
“คืออย่างนี้ ฉันเป็นคนหมู่บ้านนี้ เป็นชาวซ่วง คนซ่วงนี่เป็นคนละอย่างกับไทดำนะคุณ แต่คนข้างนอกมักเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เพราะในอำเภอเขาย้อยนี่เป็นคนไทดำกันเกินครึ่ง ก็ลาวโซ่งนั่นแหละ ที่ตำบลห้วยกระทบมีคนไทดำอยู่สามหมู่บ้าน แต่ที่หมู่ 4 นี่เป็นคนซ่วง ไม่ใช่ไทดำ สมัยก่อนพ่อปู่ย่าเฒ่าของพวกเราถูกต้อนติดกลุ่มมาอยู่แถบนี้พร้อมพวกไทดำนั่นแหละ คนอื่นไม่รู้ก็เหมาๆ รวมกันว่าเราเป็นพวกเดียวกันเพราะใส่เสื้อคล้ายๆกัน และอยู่อำเภอเดียวกัน เขาแยกไม่ออกหรอก
“เมื่อก่อนตอนฉันรุ่นๆ อายุไม่ถึงยี่สิบดี เ**กกิมเขาขายของอยู่ในตลาดเมืองเพชร เขามาหาซื้อข้าวที่ตำบลนี้ไปเข้าร้านเขา พวกบ้านฉันปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ดี เอาไปขายต่อได้ราคา เขาก็มาถามหาซื้อ มาเจอฉันเข้าก็ถูกใจ เขาอายุเยอะกว่าฉันหลายปี เขาจะสี่สิบแล้วตอนนั้นแต่ก็ดูไม่แก่เท่าไร ฉันเองไม่รังเกียจเขาหรอก เขาหน้าตาดี พูดจาเพราะ ผิวขาวสะอาด ผิดกับคนแถวนี้ เรื่องมีเงินมีทองเต็มถุงเต็มถังนั่นก็อีกเรื่อง เขามาหลายเที่ยวเข้าก็มาพูดขอฉันกับแม่
“แต่แม่ไม่ให้ฉันแต่งกับคนนี้แม้ว่าเ**กกิมจะมีฐานะ แกบอกว่าผีเรากับผีเขาไม่กินเส้นกัน คนสมัยนี้ถ้าพูดคำว่าผีแล้วจะนึกว่าเป็นผีแบบแม่นาคอะไรแบบนั้น แต่ผีที่ฉันพูดนี่หมายถึงปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไป คนไทดำกับคนซ่วงนี่ทำพิธีไหว้ผีกันทุกสองสามปีแหละ แม่แกบอกว่าถ้าฉันแต่งกับเ**กกิม ลูกฉันจะมีอันเป็นไป
“คือแม่ฉันแกเป็นหมอมดหมอทรงอะไรแบบนั้น ตกทอดมาจากยายจากชวด จริงๆ ฉันต้องรับพานและเป็นหมอทรงแบบเดียวกับแก เพราะฉันเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว ต้องรักษาเชื้อไว้ แต่เรื่องพวกนั้นฉันไม่ชอบ ฉันรังเกียจเลยละ ขึ้นรุ่นสาวมาฉันไม่เคยดื่มน้ำแก้วเดียวกับแม่ ไม่รับธูปที่แกจุดให้ ไม่ใส่เสื้อผ้าต่อจากแก ฉันกลัวจะต้องไปรำดาบฟ้อนผี นั่งหน้าคว่ำหน้าหงาย กระโดดเหย็งๆ หกหน้าหกหลัง ยืนเต้นสลับขาเหมือนม้าแห่นาค
“ส่วนพ่อฉันเขาไม่มีปากจะว่าใคร พวกคนซ่วงนี่ผู้หญิงเป็นใหญ่ พ่อฉันเขาเอาแต่เข้าป่าไปต่อนก หานกหัวจุกมาเลี้ยง สานตะกร้า สานกรงนกขาย แกชอบเ**กกิมเพราะชอบดูนกเหมือนกัน กรงนกนี่แกสานมากี่ใบๆ เ**กกิมมารอซื้อไปขายต่อที่ร้าน กำไรสองสามเท่าตัว ทั้งอำเภอเขาย้อยนี่พ่อฉันคนเดียวนี่แหละที่สานกรงนกฝีมือละเอียดลออ ทำขายไม่ทัน ต้องจองกันเป็นเดือน พ่อแกแนะเ**กกิมให้หาซื้อที่สร้างบ้านอยู่ที่ตำบลนี้เสียเลย แต่ให้ห่างๆจากแม่ฉันหน่อย แล้วค่อยมาขอฉัน
“เ**กกิมเขาเห็นด้วย เขาก็ไปหาซื้อที่แถวโคชนะ เพราะมันใกล้ปากทางเขาย้อย แล้วไปได้สวนเก่าติดถนน มีต้นไม้ผลที่เจ้าของเก่าเขาปลูกไว้ ทั้งมะพร้าว สะเดา มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว กระท้อนสองต้น ต้นมะม่วง มีต้นมะขวิดสูงแหงนคอตั้ง ลูกหล่นมาทีแตกกระเด็นเป็นหลายเสี่ยง ต้นผักหวานก็มีนะคุณ เนื้อที่สองไร่กว่า เ**กกิมแกซื้อทั้งแปลง ให้คนมาตัดไม้ออกไปหย่อมหนึ่ง แล้วสร้างบ้าน หลังนั้นนั่นแหละ สร้างเสร็จเขาก็ให้นายอำเภอมาขอฉันกับแม่ แกเกรงใจนายอำเภอ แกก็ยอมให้ฉันแต่ง แต่ต้องทำพิธีแบบคนซ่วง เ**กกิมก็ไม่ว่าอะไร ดีเสียอีกไม่สิ้นเปลืองมาก สบายกว่าแต่งแบบจีน และก็ไม่ต้องไปจัดที่เมืองเพชร พวกบ้านฉันก็ไม่ต้องไปร่วมงานที่ไกลๆ จริงๆ ก็ไกลเหมือนกันยี่สิบกิโลจากนี่ มีรถก็ไม่เป็นไรหรอก
“ฉันได้แต่งงานกับเ**กกิมปลายปี 2536 ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ไปพร้อมกันเลย บ้านที่คุณเห็นนั่นน่ะมันไม่ใช่บ้านเก่าแก่โบราณอะไรหรอก แค่ยี่สิบหกปี สร้างปีเดียวกับที่ฉันแต่งงาน เ**กกิมแกเอาช่างจากเมืองเพชรมา ช่างพวกนี้ถนัดสร้างบ้านทรงไทยกับสร้างศาลาวัดอะไรแบบนี้ แกก็ตามใจช่าง ไม้ไปสั่งซื้อมาใหม่ๆ ที่โรงเลื่อย สั่งมาเป็นลำรถใหญ่ แล้วแกก็ให้รถบรรทุกไปขนอิฐดินเผาจากโพธารามมาสร้างกำแพงบ้าน ชาวบ้านเขาก็พูดว่าล้อมกำแพงไว้ยังกะวัด เ**กกิมแกบอกว่าเจ้าของโรงอิฐเขาขายให้ราคาถูก แกเลยเหมาหมด เพราะอิฐรุ่นนี้เขาจะเลิกผลิตแล้ว ส่วนหลังคาก็ไปสั่งกระเบื้องทำมือจากแถวราชบุรีมามุง
“พอแต่งงานแล้วเ**กกิมแกก็มานอนบ้านคืนสองคืนแล้วกลับไปดูร้านที่เพชร ไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ทุกอาทิตย์ ส่วนฉันอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้กลับไปทำนาอีก เพราะแต่งแล้วฉันก็ตั้งท้อง
“ฉันมีลูกชายคนแรกปีรุ่งขึ้น เคราะห์ร้ายตอนคลอดเขาหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ทั้งๆที่ไปคลอดโรงพยาบาลนะ ฉันไม่โทษใคร เจ้าม่อนพิการตั้งแต่เกิด เดินเหินไม่ได้ นอนติดเตียงจนเดี๋ยวนี้อายุยี่สิบห้า ได้แต่ทำตาลอย น้ำลายยืด พูดได้แต่ไม่รู้เรื่อง คือเขาได้ยินเสียงอะไรเขาก็ทำเสียงแบบนั้นออกมา ได้ยินเสียงวัวที่มีคนต้อนมาเลี้ยงข้างกำแพงบ้านเขาก็ทำเสียงวัว ทำเสียงกระดึงวัว ได้ยินใครคุยอะไรในบ้านเขาก็ทำเสียงคุยเลียนแบบ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ที่คุณได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เด็กหัวเราะ เสียงนกร้องเป็นฝูงบนฟ้านั่นหนะ เขาได้ยินก็จำไว้ ตอนอารมณ์ดีเขาก็เดาะปากทำเสียงเล่น
“ฉันมีลูกสาวหลังเจ้าม่อนเกิดสองปี นังมิ้ม น่ารัก ผิวขาว หน้าสวยเหมือนเ**กกิม เลี้ยงง่าย ตอนมันยังเล็กแม่ฉันจ้องไว้ว่าถ้าโตเป็นสาวจะให้ยกพานเป็นหมอมดแบบแก ถ้าไม่ทำลูกฉันจะมีเคราะห์ คนโตพิการไปคนแล้วไม่เห็นเหรอ แกว่าแบบนั้น ฉันบอกแกว่าอย่ามายุ่งกับลูกฉัน นี่มันเรื่องในครอบครัวฉัน ไอ้ม่อนมันพิการก็เพราะฉันคลอดยาก เกือบตายทั้งแม่ทั้งลูก ไม่ใช่เรื่องผีสางอะไรนั่นหรอก แม่แกฟังฉันเถียงไปงั้นๆ แล้วแกก็ไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายออกความเห็นอะไรอีก จริงๆคือแกแทบไม่มาเหยียบบ้านฉันเลยละ มีแต่ฉันที่ขี่รถเครื่องไปเยี่ยมหาแก
“สองปีถัดมา ลูกชายคนเล็กฉันเกิด ชื่อเจ้าหมิง จริงๆ ฉันตั้งชื่อว่ามิ่ง แต่เ**กกิมเขาเขียนชื่อเป็นภาษาจีนว่าหมิง แข็งแรงสมบูรณ์ดี เ**กกิมเขาชอบลูกชายแบบพวกคนจีนนั่นแหละ เอาใจมันมากจนเสียผู้เสียคน ให้ไปโรงเรียน มันก็ออกบ้านแล้วเลี้ยวไปที่อื่น พอเข้าวัยรุ่นก็โน่น ค่ำลงเข้าสนามวัวลาน กลับบ้านตอนหัวรุ่ง บางทีก็ไปมีเรื่องกับพวกบ้านอื่น ตีกันปางตาย จะติดตารางเสียหลายครั้ง”
ผมนั่งฟังป้าหมัยพูดโดยไม่ขัดจังหวะ นางนั่งชันเข่าบนม้าเตี้ยและเล่าเรื่องให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆ บางทีนางก็ปัดตามเนื้อตามตัวเหมือนไล่แมลงเล็กๆ ที่ผมมองไม่เห็น ครู่หนึ่งนางหยุดพูดแล้วยันตัวลุกขึ้นเดินขึ้นกระไดไปบนบ้าน สองสามนาทีก็กลับลงมาพร้อมขวดน้ำเย็นและแก้วพลาสติกสีจัดจ้าสองใบ
“ไม่ได้เรียกคุณกินน้ำกินท่าเลย มัวแต่คุย” ป้าหมัยรินน้ำใส่แก้วใบหนึ่งและยื่นให้ผมซึ่งยื่นมือไปรับเพราะรู้สึกคอแห้งทั้งๆที่ผมไม่ได้พูดอะไรมาก
นางรินน้ำอีกแก้วแล้วดื่มไปสองอึกก่อนจะสาดน้ำที่เหลือออกไปนอกบ้าน
“เอาละ ฉันจะเล่าต่อละนะ”
“ครับ”
“ทีนี้สักราวปีห้าเจ็ด เ**กกิมแกเริ่มเหนื่อยขับรถ ก็แบบคนอายุเยอะแหละ ตอนนั้นแกหกสิบแล้วแถมป่วยเป็นเบาหวาน แกตกลงใจขายร้านที่เมืองเพชรให้น้องชายแล้วมาอยู่บ้านที่โคชนะ ไม่ต้องขับรถไปๆ มาๆ อีก แต่แกคนค้าขาย อยู่เฉยไม่เป็น พักเดียวพออาการดีขึ้นแกก็ออกไปหาซื้อที่แล้วปลูกตึกสามคูหาตรงใกล้ๆ บ้านจัดสรรของยายเพ็ญเมียผู้ใหญ่สมจิตนั่น เมื่อก่อนแถวนั้นเป็นทุ่งนา
“พอทำร้านแล้วแกก็ให้นังมิ้มลาออกจากโรงเรียนมาช่วยขายของ นังมิ้มจำใจลาออกทั้งที่ตัวเองชอบเรียนหนังสือ เรียนเก่งเสียด้วย มันอยากเป็นครู แต่เ**กกิมแกบอกลูกผู้หญิงไม่ต้องเรียนสูง แกว่าพวกเรียนหนังสือนี่ต้องไปเป็นลูกจ้างเขาทั้งนั้น ตัวแกเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะ เตี่ยแกให้ค้าขายตั้งแต่เด็กจนเก่ง
“ปรากฏว่าร้านเ**กกิมขายดิบขายดี แกสั่งของจากกรุงเทพฯ จากเมืองเพชร จากราชบุรี จากทางใต้ จากอีสาน เอาของโรงงานมาขายด้วย คนหมู่บ้านอื่นก็ขับรถมาซื้อกันทุกวัน หยิบกันไม่ทัน ฉันเลยให้ลูกของญาติทางแม่ฉันคนหนึ่งไปเป็นลูกจ้างที่ร้าน เอาไว้แบกข้าว แบกปุ๋ย ไอ้ปานที่ชี้ทางให้คุณนั่นแหละ เห็นผอมๆอย่างนั้นแบกข้าวทีละกระสอบใส่รถบรรทุกจนเต็มลำ เขาเกิดหลังเจ้าม่อนหนึ่งปี ก็ถือเป็นรุ่นเดียวกัน
“พอทำร้านไปได้สองปีกว่า มาตอนหลังเ**กกิมแกเริ่มป่วยอีกรอบ คราวนี้หนักเลย นังมิ้มไปเปิดร้านคนเดียว มีไอ้ปานช่วย สักครึ่งปีเ**กกิมก็ตาย”
ป้าหมัยเว้นระยะครู่หนึ่ง ผมนิ่งฟังโดยไม่ซักถาม
“หลังงานศพเ**กกิม นังมิ้มบอกว่าไม่อยากขายของแล้วเพราะทำคนเดียวไม่ไหว ฉันแนะบอกให้มันหาผัวสักคนมาช่วย จะแต่งกับไอ้ปานฉันก็ไม่รังเกียจ เพราะฉันมองๆว่าไอ้ปานมันก็คนดี ซื่อสัตย์ หนักเอาเบาสู้ แม้จะเป็นญาติกันแต่ก็ห่างจนแทบต่อไม่ติด นังมิ้มบอกว่ามันเป็นลูกเถ้าแก่ จะไปเอากับลูกคนขี้เมาเข้าบ่อนได้ยังไง นังมิ้มนี่เริ่มปากร้ายตั้งแต่ลาออกจากโรงเรียนมาขายของ มันพลุ่งๆพล่านๆ หงุดหงิดไปหมด แต่มันก็พูดดีกับลูกค้า เพราะเตี่ยมันคอยคุม พอเข้าหลังร้านมันก็แอบด่าไอ้ปานระบายอารมณ์
“พอนังมิ้มยืนยันมั่นเหมาะว่าไม่เอาร้านแล้ว ฉันเลยประกาศขายทั้งตึกแถวทั้งสินค้าในร้าน ผู้ใหญ่อ๊อดหมู่ 2 บ้านดอนกรวดแกเพิ่งขายที่ให้คนไปทำโรงงาน ได้มาหลายล้าน แกเวียนมาดูสองสามครั้งแล้วก็มาตกลงกับฉัน เขาจะซื้อให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ทำต่อ ไอ้สองคนนี่เพิ่งแต่งงานกัน ฉันรู้จักเขาทั้งบ้าน ก็ลดหย่อนให้หน่อย นังฮวยลูกสะใภ้มีเชื้อสายจีน เก็บเงินเก่ง เค็มเสียไม่มี แต่ก็เอาร้านนี้อยู่ คุณขับรถไปดูก็จะเห็น เขาทำร้านต่อจากเ**กกิมจะได้สี่ปีละ กินนอนอยู่ที่ชั้นสอง”
ป้าหมัยหยุดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วถามผม
“คุณเบื่อจะฟังหรือยัง ฉันไม่ค่อยได้พูดอะไรยาวๆหรอกนะ ปกติวันๆฉันก็คุยกับพวกหลานๆที่คุณเห็นอยู่หน้าบ้านหลังแรกน่ะ”
“ผมอยากฟังต่อครับ"