สิบห้านาทีจากนั้นนายยอดก็ถูกใส่กุญแจมือนำตัวออกไปโดยมีนางเพ็ญนั่งรถไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้านิลเทาที่ยืนอย่างสงบอยู่กลางลานสีเหลืองส่งเสียงร้องมอๆ ออกมา
ผู้ใหญ่สมจิตยกมือให้สัญญาณลุงเติบ จากนั้นเสียงกลองยาวก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันในทำนองเนิบช้า ป้าหมัยผู้พร้อมทำพิธีลุกขึ้นจับดาบที่มีผู้ส่งให้ นางรำนำขบวนที่ตั้งรออยู่เข้าไปในลานประหาร เจ้านิลเทาที่เวลานี้ถูกชายสองคนจับหัวไว้ไม่ให้ขยับมองนางหมัยด้วยดวงตากลมสดใส มันยืนนิ่งขณะที่นางหมัยใช้ดาบแตะคอของมันอย่างเบามือพร้อมกับพึมพัมเอ่ยชื่อตายายผู้ผ่านทางไปก่อนหน้า นางจบประโยคท้ายด้วยชื่อของลูกสาวที่ตายด้วยน้ำมือของชายที่ถูกตำรวจนำตัวออกไปเมื่อครู่
หลังจากนั้นมีผู้ส่งขันน้ำที่มีกลีบดอกดาวเรืองลอยฟ่องให้นางถือ นางหมัยใช้มือวักน้ำในขันประพรมไปทั่วร่างวัวที่ยืนนิ่งสงบ ตากลมโตมองผู้คนรายรอบซึ่งยืนชื่นชมความงามของมัน เชือกสนตะพายและเชือกสีแดงที่ผูกคอดูสวยงามเมื่ออยู่บนร่างเปรียว นางหมัยเปล่งถ้อยคำขอบคุณเจ้าวัวงามที่ยอมสละชีวิตเป็นเครื่องเซ่น นางหยิบดาบขึ้นมาและชโลมดาบด้วยน้ำฝางสีแดงในถ้วยที่มีผู้ยื่นมาให้ จากนั้นนางก็แตะดาบที่คอวัวอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี
ทันทีที่เจ้านิลเทาก็ถูกนำตัวออกไปอย่างว่องไว กลองยาวก็เปลี่ยนไปตีในจังหวะเร้าใจเป็นการเชื้อเชิญผู้คนให้ลุกจากที่นั่งเข้ามาร่วมรำฟ้อน
ผู้ใหญ่สมจิตเข้าไปกำกับให้ชายสองคนจูงเจ้านิลเทาออกไปขึ้นรถ เขาส่งพวงกุญแจรถให้ชายคนหนึ่งก่อนจะสั่งให้ขับรถกลับมาหลังจากพาวัวไปเข้าคอกเรียบร้อยแล้ว
“น้าหมัย พอกินข้าวเสร็จเราไปรับเจ้าหมิงกัน”
ผู้ใหญ่สมจิตก้มตัวบอกนางหมัยที่เข้ามานั่งพักเหนื่อยในเต็นท์ขณะผู้ร่วมงานอื่นพากันออกไปรำฟ้อนในลานอย่างสนุกสนานตามเสียงกลองยาวที่ตีเร่งจังหวะ
นางหมัยทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจผสมกับความเศร้าหมอง
“ลำบากผู้ใหญ่ไหม” นางถาม
“ต่อไปนี้อย่าพูดคำว่าลำบากถ้าผมจะทำอะไรให้น้าหมัย ผมเรียกชีวิตนังมิ้มกลับคืนมาให้น้าไม่ได้ และเจ้าหมิงเขาคงไม่กลับมาเป็นคนปกติอีก แต่ผมกับยายเพ็ญจะพยายามทำทุกอย่างให้น้าหมัยสบายใจขึ้น” ผู้ใหญ่สมจิตพูด
นางหมัยยกมือท่วมหัวพลางทำปากขมุบขมิบ
“ฉันจะเข้าไปดูเจ้าม่อนก่อนนะ ไม่รู้หมอหนิงจะอยู่ได้ถึงกี่โมง” นางหมัยพูด
“พวกอสม.เขามาอยู่ในงานนี่เกือบสิบคน ถ้าจะไปชะอำก็ฝากเขาช่วยดูให้ไม่ต้องห่วง” ป้าฉายบอก
“หนีบเอาจ่าแสงกับตานวยไปด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกัน” ป้าเล็กบอกผู้ใหญ่สมจิต
“แกไม่บอกข้าก็จะไปอยู่แล้ว” จ่าแสงพูดข้ามไหล่ป้าเล็กมาที่ป้าหมัย
ป้าหมัยลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างกระฉับกระเฉงและเดินตามทางกลับเข้าบ้านเพื่อไปดูลูกชายและเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะเดียวกับที่ลุงอำนวยยืนประกาศด้วยเสียงห้าวเหน่ออันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“พี่น้องชุมชนบ้านซ่วงขอเชิญทุกท่านเตรียมรับประทานอาหารเที่ยงได้แล้ว เดี๋ยวเด็กๆ จะยกโต๊ะเข้ามาในเต็นท์ พวกเราช่วยกันยกเก้าอี้แหวกทางหน่อยครับ เอ้า กลองยาวบรรเลงไปอย่าได้หยุดพัก เดี๋ยวเจ้าภาพจะนำอาหารใส่ถาดไปเสิร์ฟถึงที่ สาโทอีกไห พวกแขกเหรื่อใครอยากได้น้ำสาโทก็หาแก้วหาขวดมากรอกเองตามอัธยาศัย ไม่ต้องยั้งมือ เจ้าภาพหมักไว้ในโอ่งที่วางเป็นแถวอยู่นั่น ตำรวจไปแล้วไม่ต้องห่วง”
“แล้วที่นั่งหัวโด่อยู่นั่นไม่ใช่ตำรวจเรอะ” เสียงหนึ่งชี้ไปที่จ่าแสงที่นั่งจ้องโอ่งสาโทอยู่
“อ่อ นั่นก็ใช่ แต่เขาจับแต่ยายตุ้ม เขาไม่จับคนอื่นหรอก” ป้าฉายตะโกนตอบ จากนั้นเป็นเสียงฮาตามมา
--- ---
กลุ่มผู้สูงอายุสิบเอ็ดคนและผมกล่าวลาเจ้าภาพซึ่งเป็นญาติพี่น้องของป้าหมัยกลับเมื่อประมาณบ่ายสองโมง
ขณะที่ตระเวนส่งผู้โดยสาร ผมก็ฟังเสียงพูดคุยของบรรดาคุณป้าคุณย่าคุณยายที่ต่างกล่าวถึงเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
“เจ้าประคู้นขอให้น้าหมัยแกเจอลูกชายทีเถอะ ข้านี่เวทนาทั้งแม่ทั้งลูก” ป้าแจ้งยกมือท่วมหัว
“เจอแล้วก็ต้องเอามาเลี้ยงเหมือนลูกอ่อนนะ คนบ้าลำโพงแกก็รู้” ป้าจันทร์กล่าว
“นั่นหนะ ก็ยายฉันแกเป็นหืด แกหั่นดอกลำโพงผสมใบยาสูบเข้าไป พอใกล้จะหาย แกไม่หยุดสูบ ตอนหลังกลายเป็นคนป้ำๆเป๋อๆ จำอะไรไม่ได้” ป้าเสาร์บอก
“ฟังไอ้ยอดมันบอกว่ากรอกเข้าไปทั้งขวดจนสลบเลยนี่” ป้าปิ้งทำท่าขนลุก “คงกะให้ไม่ฟื้น”
ป้าจำปาพูดต่อ “แล้วที่ไอ้ยอดมันอุ้มเจ้าหมิงไปชายหาดนี่ ข้าเดานะว่ามันไม่ได้จับไปนั่งพิงโคนไม้อะไรหรอก มันคงเอาไปนอนที่ทรายรอน้ำขึ้น แล้วพอตอนเช้าถ้ามีคนพบศพเขาก็คงเดากันว่าคนเมาเหล้าลงเล่นน้ำทะเลจนตายอะไรแบบนี้”
ผมฟังป้าจำปาคาดคะเนแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ โดยไม่ตั้งใจ
“ถ้าจริง ไอ้ยอดติดคุกตลอดชีวิตแน่ ไหนจะฆ่านังมิ้ม ฟังไม่ขึ้นว่าบันดาลโทสะ เพราะมันเข้าไปจะข่มขืนเขา ไหนจะพยายามฆ่าไอ้เจ้าหมิง” ป้าอีกคนพูดขึ้นอย่างรู้กฎหมาย
จากนั้นเป็นการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้โดยสารทั้งสิบเอ็ดคน ผมได้แต่เงี่ยหูฟังและตั้งใจขับรถ
“...ผู้ใหญ่แกบอกว่าจะไม่ประกันตัวออกมา จะปล่อยให้ตายในคุก...”
“...แกรู้จักผู้ใหญ่สมจิตน้อยไป แกรู้ไหมที่เขาซ้อมลูกเขาเสียขนาดนั้นก็เพราะเขากันไม่ให้คนอื่นเข้าไปรุมกระทืบมัน...”
“...นั่นหนะ ข้าก็ว่ายังงั้น เพราะข้าเห็นพวกบ้านซ่วงเขาลุกฮือขึ้นมา พวกกลองยาวนั่นก็เตรียมขยับแข้งขยับขาพับแขนเสื้อกันแล้ว ผู้ใหญ่เขาเลยต้องตบไอ้ยอดไปอีกเปรี้ยงให้พวกนั้นพอใจ...”
“...ข้าฟังไอ้ยอดมันสารภาพแล้วข้าก็สงสัยว่าผู้ใหญ่เขาไม่ระแคะระคายบ้างหรือว่าลูกตัวไปฆ่านังมิ้ม...”
“...มันก็น่าสงสัยอยู่นา...”
“...คือข้าคิดว่าผู้ใหญ่เขาคงรู้ๆ เรื่องไอ้ยอดมันขายย***าตามลานวัวและก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่ามันจะซ่อนยาไว้ในตูดวัว...”
“...ข้าเคยได้ยินตาน้อยเล่าให้ฟังว่าพวกที่ต้อนควายจากชายแดนพม่าข้ามฝั่งมา มีบางคนเอายายัดเข้าไปในท้องควายทั้งฝูง ไม่รู้ยัดทางปากหรือทางทวาร พอมาถึงเขตไทยก็เอาเข้าโรงเชือด แล้วก็เอาถุงยาออกมาล้าง บางตัวก็ตายอย่างทรมานกลางทางเพราะไส้แตก...”
“...นั่นหนะ ไอ้ยอดมันขยันเอาวัวพวงไปช่วยค่ายโน้นค่ายนี้ ก็คงเหน็บยาไปขาย หาเงินเข้าบ่อน มันมือหนักนะ ไอ้เจี๊ยบเล่าว่าบางคืนเสียห้าหกหมื่นก็มี...”
“...แล้วแกคิดไหมว่าผู้ใหญ่สมจิตเขาจะไม่รู้เรื่องลูกเขาที่เข้าไปรังแกนังมิ้ม...”
“...ข้ามาคิดดูแล้วข้าว่าเขาน่าจะรู้ๆ แต่อาจจะไม่แน่ใจ หรือว่าแน่ใจแล้วแต่ช่วยไอ้ยอดปิดความไว้ หรือไม่ก็กลัวว่าตัวเองจะโดนข้อหาพ่วงไปด้วย...”
“...ข้าจำได้ว่าช่วงนั้นน่ะไอ้ยอดเอาพลาสเตอร์ปิดหูไว้จนหูเน่า ต้องไปหาหมอหนิงให้ทำแผล ใครถามมันก็บอกว่าโดนไอ้ทับทิมขวิดเอา...”
“...แกก็เกิดจะจำได้ขึ้นมาตอนนี้ แล้วทำไมไม่สงสัยตั้งกะวันที่เกิดเรื่อง...”
“...เอ๊ ก็ข้าจะไปสงสัยทำไม ก็ไอ้นี่มันไล่ฝึกวัวลานทุกเช้า ไอ้จ้อยก็เคยโดนไอ้ทับทิมขวิดน่องทะลุมาแล้ว...”
“...ถ้าอย่างนั้นยายเพ็ญก็ต้องรู้เรื่องด้วยสิ...”
“...ข้าว่าไม่นะ ยายเพ็ญนี่ตั้งแต่กู้ธนาคารมาลงบ้านจัดสรรโครงการแรกสักเมื่อสามสี่ปีก่อน แกก็หัวหูฟูยุ่งแต่กับเรื่องเงิน เช้าออกไปคุมก่อสร้าง ไปสั่งซื้อของ จ้างหลานชายเป็นผู้ช่วย ลูกตัวเอาแต่เลี้ยงวัวกับพ่อมัน บ้านเสร็จทีละหลังพอได้คนซื้อแกก็เอาเงินไปใช้หนี้ธนาคารทีละงวด แกไม่ไห้ผู้ใหญ่กับไอ้ยอดไปยุ่งเรื่องทรัพย์สินทางฝั่งแก วันๆ แกไปธุระอะไรของแกตามเรื่อง รถก็ใช้คนละคัน...”
“...ถ้าอย่างนั้นยายเพ็ญคงไม่เกี่ยว...”
แล้วผู้โดยสารทั้งสิบเอ็ดคนของผมก็เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเข้าเขตหมู่บ้านโคชนะ ใกล้จะถึงบ้านของทุกคนแล้ว
ผมสะดุ้งเมื่อป้าฉายสะกิดแขนผม
“นี่ น้าเอก”
“ครับ”
“รู้เรื่องอย่างนี้แล้ว น้าเอกจะนอนคนเดียวได้หรือบ้านหลังนั้น ถ้ากลัวก็ให้ไอ้ปานมานอนเป็นเพื่อนนะ”
ผมเหลือบมองคนถามจากกระจกมองหลังแล้วตอบเสียงนุ่มนวล
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้าฉาย ผมอยู่บ้านนั้นเริ่มจะชินแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง” ผมตอบ ผมไม่ได้บอกใครว่าปานไม่ได้มาทำงานที่บ้านผมหนึ่งอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้น
“น้าเอกเป็นคนดี ผีเขาไม่ทำอะไรหรอก ไอ้ปานด้วย” ป้าจำปาพูด
“ผีเผอที่ไหน แกพูดอย่างนี้ถ้าตานวยอยู่ในรถนี่ต้องได้เถียงกันอีก” ป้าเล็กตีแขนป้าจำปา
“นี่ ยายเล็ก แกเชื่อไหมว่าวันนี้ที่เจ้าม่อนมันพูดออกมานี่ไม่ใช่นังมิ้มมาเข้าสิงมันนะ”
“แกจะบ้า ผีนังมิ้มอะไรที่ไหน นั่นหนะเสียงเจ้าม่อน มันพูดออกมาจากความจำ มันไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดอะไรออกมา พอมันได้ยินเสียงผู้ใหญ่ตะโกนเรียกไอ้ยอด แล้วไอ้ยอดก็เอ็ดวัวแบบที่มันเอ็ดนังมิ้มตอนที่มันเข้าไปรังแกเขา ไอ้สิ่งที่เจ้าม่อนมันจำเก็บไว้ก็ผุดขึ้นมา”
“แต่ปากมันไม่ขยับนะเวลามันพูด ตอนแรกข้านึกว่าเป็นเสียงนังมิ้มมาเข้าสิง ข้านี่ขนหัวลุก”
“นี่แกไม่รู้ มันมีคนที่ทำอย่างนี้ได้จริงๆ แถวสุพรรณก็มีคนหนึ่งเที่ยวไปหลอกชาวบ้านว่าตัวเองเลี้ยงกุมารทองไว้ คนเขาไปที่บ้านไอ้เจ้านั่นได้ยินเสียงเด็กพูดแต่ไม่เห็นตัว เขาก็เชื่อ ควักเงินใส่ขันบูชากุมารทองเป็นร้อยเป็นพัน แถมให้มันดูดวงดูทุกข์ดูโศกให้ ไอ้กุมารทองก็บอกให้พวกนั้นสะเดาะเคราะห์ เสียเงินซ้ำซ้อน ตอนหลังเขาจับได้ว่ามันเป็นนักตุ๋น แต่มันมีความสามารถพิเศษ พูดเสียงออกจากท้องได้โดยปากไม่ขยับ” ป้าเสาร์เล่า
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
*** *** ***
เมื่อผมตระเวนส่งผู้สูงอายุทุกคนจนกระทั่งคนสุดท้ายลงรถไปแล้ว จากนั้นผมก็ขับรถไปทางหมู่บ้านดอนกรวด ผมเข้าถนนเส้นเล็กผ่านซอยต่างๆ ตามที่นายเจิมญาติของป้าหมัยคนหนึ่งอธิบายไว้
ผมจอดรถริมรั้วไม้ของบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่สุดซอย เมื่อผมเดินไปที่ประตูหน้าก็ได้ยินเสียงสุนัขหลายตัวเห่ากันขรม มีเสียงชายสูงอายุตะโกนดุสุนัขและเรียกพวกมันเข้าบ้าน ครู่หนึ่งเมื่อผมแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยผมก็ดันประตูเปิดเข้าไป
ปานยืนอยู่ตรงนั้น เขากำลังเอื้อมมือจะดึงประตูให้เปิด
ผมชะงักเท้านิดหนึ่งก่อนยิ้มให้
“เข้าไปได้ไหม”
ปานมองข้ามไหล่ผม แล้วลดตามองขอบประตูบ้าน เขากัดริมฝีปากล่างและพยักหน้า สุนัขเจ็ดแปดตัววิ่งเหย่าๆ จากในบ้านมาพันแข้งพันขาเขาและเข้ามาดมกางเกงผมพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด พอปานทำเสียงจุ๊เบาๆ เจ้าเพื่อนสี่ขาของเขาก็ผละออกจากขาผมและวิ่งนำหน้าไปเป็นพรวนด้วยอาการรื่นเริงผสมตื่นเต้น
ผมเดินตามหลังปานเข้าไปยังบ้านไม้สองชั้นหลังขนาดย่อม ที่ชั้นล่างซึ่งเปิดโล่งด้านหน้ามีแคร่ไม้ตัวใหญ่ปูด้วยฟูก มีมุ้งเก่าๆตลบชายเหน็บไว้เหนือหัว ชายอายุประมาณห้าสิบปีรูปร่างสูงเหมือนปานนั่งอยู่บนนั้น เขานั่งห้อยขาและมองผมอย่างอยากรู้
“พ่อผม” ปานพูด ผมยกมือไหว้ ชายร่างผอมยกมือรับไหว้และมองปานสักเดี๋ยว จากนั้นก็ล้มตัวนอนต่อ
ผมมองเลยไปที่ผนังทั้งสามด้านที่ดูแปลกตา เพราะมันก่อขึ้นด้วยการนำขวดเปล่าทั้งสีเขียว สีน้ำตาล และสีขาวมาเรียงในแนวนอนซ้อนขึ้นไปเป็นลายก้นหอย มีกรอบหน้าต่างทำจากไม้หลายชนิดประกอบกัน ปานพยักหน้าให้ผมตามเขาไปหลังบ้าน มีห้องครัวและห้องเก็บของอีกหนึ่งห้อง มันต่อเติมขึ้นด้วยการเรียงขวดซ้อนขึ้นไปเช่นกัน
“ที่ปานไปเก็บขวดมาเยอะๆ นั่นก็เพื่อมาทำอย่างนี้เอง” ผมอุทานอย่างชื่นชม
ปานชี้ไปทางห้องข้างหน้า “พ่อทำ เมื่อก่อนแกแข็งแรง ไปไหนเองได้สบาย ตอนหลังป่วย นอนอยู่บ้านเฉยๆ ผมเลยไปหาโน่นหานี่มาให้เล่นแก้เบื่อ”
ปานพูดเรื่องส่วนตัวยาวที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักเขาเกือบสองเดือนจนถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่เขาหันหลังออกจากบ้านผม สุนัขสามสี่ตัวเดินเข้ามาเคล้าเคลียเขา ผมเห็นเจ้าขนเกรียนตัวหนึ่งดูเหมือนเดินไม่ปกติ ผมเพ่งดูอีกครั้งก็เห็นรอบคอของมันมีแผลเป็นลึก ไม่มีขนขึ้น มันเดินคอแข็งเพราะไม่สามารถเอี้ยวตัวได้ ผมพยายามเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ามอมแมมตัวนี้ แล้วผมก็นึกได้ถึงเรื่องที่ป้าบ้านเดี่ยวเล่าให้ฟังถึงหมาคอขาด ผมก้มมองหมาตัวอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะมาจากคนละที่คนละทาง
“ปานเก็บเจ้าพวกนี้มาเลี้ยงหรือ”
ปานพยักหน้า
“ใส่รถมอเตอร์ไซค์มางั้นสินะ” ผมบุ้ยปากไปที่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ เขาพยักหน้าอีกครั้งและมองผมเหมือนรอฟังบางสิ่ง
แดดยามบ่ายสามโมงครึ่งค่อนข้างร้อนแรง ลมที่พัดผ่านหอบไออุ่นมากระทบตัว ผมมองใบไม้ที่ปลิวคว้างก่อนจะพูด
“ปานคงรู้ว่าวันนี้ผมไปงานเลี้ยงที่บ้านซ่วง”
เขานิ่ง ผมพูดต่อ “ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง”
ผมเดินไปนั่งลงบนกระถางดินเผาใบหนึ่งที่วางคว่ำไว้กับพื้นใกล้บ่อน้ำ แดดส่องลอดร่มไม้ลงมาบนแขนผมจนรู้สึกได้ ปานหย่อนตัวลงนั่งบนขอนไม้ไม่ห่างจากผมมากนัก ข้อศอกทั้งสองวางบนหน้าขา มือประสานกัน สายตาจับอยู่ที่กอหญ้าเบื้องหน้า
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงผีบ้านซ่วงให้ปานฟังอย่างละเอียด เขาเอียงหน้านิดหนึ่งมองโน่นมองนี่เหมือนไม่ใส่ใจสิ่งที่ผมพูด แต่ผมรู้ว่าเขาตั้งใจฟัง ดวงตาเขาหม่นลงเมื่อผมเล่าถึงเรื่องลูกชายคนเล็กของป้าหมัย ผมจบเรื่องตอนที่ป้าหมัยขึ้นรถกระบะคันใหญ่ไปกับผู้ใหญ่สมจิตพร้อมลุงอำนวยและจ่าแสงเพื่อไปชะอำ ผมไม่ได้เล่าถึงสิ่งที่กลุ่มผู้สูงอายุพูดคุยกันในรถให้เขารู้ มันไม่ใช่เรื่องของเขา
ผมลุกยืนให้พ้นแดดที่ไล่ส่องมาถึงใบหน้า จากนั้นผมก็ก้มตัวพูด
“ปาน ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไม่เคยเชื่อว่าปานจะทำสิ่งเลวร้ายได้ ไม่ว่าผมจะได้ยินได้ฟังอะไรมาก่อนหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นพูดและคิด ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด” ผมเว้นระยะ “ตอนนี้ผมต้องการคนช่วยทำงาน ผมอยากทำสวนให้สวย ให้มันมีชีวิตขึ้นมา ผมทิ้งงานทิ้งรายได้จากกรุงเทพฯ มาอยู่โคชนะเพื่อจะหาสิ่งที่ผมยังทำได้อีกนอกเหนือจากสิ่งที่เคยทำมาก่อน ปานไปช่วยผมได้ไหม ช่วงนี้ก็คงสักครึ่งปี แล้วค่อยว่ากันอีกที หากผมรู้สึกว่าพอจะอยู่ที่นี่ได้ผมก็จะอยู่ต่อ แต่ถ้าไม่ไหว ผมจะไป”
ปานมองไปที่สุนัขที่เข้ามาดมกางเกงผมอีกครั้ง เขาเดาะปากเรียกมันจากนั้นก็พยักหน้า