บทที่ 8 กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
ขณะที่ปานและผมกำลังง่วนอยู่กับการต่อท่อน้ำประปาในสวน ผมเหลียวมองโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย ผมรีบล้างมือ จากนั้นกดฟังข้อความที่ส่งมาจากพี่ภูษิต
“เอก เรื่องที่ผู้ใหญ่สมจิตขอไว้ เฮียแกให้ทำได้ไม่มีปัญหา ตอนนี้รอฝ่ายการตลาดเอาพล็อตไปเสนอสปอนเซอร์ เขาเคยลงโฆษณารายการพี่ติดต่อกันยาวเลย อีกสักอาทิตย์จะแจ้งมาอีกที ถ้าทุกอย่างพร้อม ก่อนปลายเดือนนี้ทีมพี่จะมาบันทึกเทปการแข่งวัวลานเตรียมทำประชาสัมพันธ์ก่อนวันจริง แต่ก็อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เอกคงติดตามเรื่องโควิด-19 แล้วนะ ดูแลสุขภาพดีๆ พี่เป็นห่วง แล้วอาทิตย์หน้าจะบอกมาอีกที ให้ผู้ใหญ่แกเตรียมเฮไว้ละกัน ขอสาโทหวานๆ สักขวดเป็นรางวัล”
ผมยิ้มกับข้อความที่พี่ภูษิตส่งมา ผู้ใหญ่สมจิตคงดีใจที่จะมีทีมสารคดีจากช่องโฟร์ตี้นิวส์เข้ามาบันทึกภาพการแข่งวัวลานที่สนามโคชนะล่วงหน้า เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนเข้ามาเที่ยวชมในวันที่ 17 เมษายน อันเป็นงานประเพณีของชาวตำบลห้วยกระทบ โดยใช้สนามของหมู่ 1 เป็นที่จัด ผมเองนั้นไม่เคยนึกอยากไปดูการแข่งแม้ว่าจะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้กว่าสองเดือนแล้ว มีบางครั้งผมเจอจ่าแสงกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าบ้านผมและเขาชวนผมไปเที่ยวที่สนาม แต่ผมปฏิเสธ
เมื่อเช้านี้มีคนมาสั่นกระดิ่งที่ผมแขวนไว้หน้าบ้าน ปรากฏว่าเป็นชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก พอผมเลื่อนประตูเหล็กเปิดก็เห็นเขายืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์ ในมือหิ้วถุงอาหารมาด้วย เขาบอกผมว่าเป็นหลานยายจำปา
“น้าจำปาทำแกงปลานิลใบมะขามอ่อน แกแบ่งมาให้” เขายื่นถุงกับข้าวส่งให้ ผมยกขึ้นดูและถาม
“เอ้า มีสองถุงนี่ สองอย่างหรือครับ”
“อย่างเดียวนั่นแหละ ของปานหนึ่งถุง”
เขาพูดและเดินกลับไปที่รถเครื่อง ผมตะโกนบอกขอบคุณเขาและเข้าบ้าน
ครู่หนึ่งถัดจากนั้นนายเจิมลูกพี่ลูกน้องของป้าหมัยที่ผมเจอในวันไปสำนักงานที่ดินและวันงานเมื่อสองวันก่อนก็ขับรถปิ๊กอัปมาจอดที่หน้าประตูเหล็ก เขาสั่นกระดิ่งเพื่อบอกกล่าวและเลื่อนประตูเปิดเอง จากนั้นก้าวสวบๆ เข้ามาในบ้านอย่างคุ้นที่ ผมโผล่หน้าออกมาจากสวนหลังบ้าน เมื่อเห็นว่าเป็นเขาผมก็ยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีครับน้าเจิม มาถึงนี่เลยวันนี้”
นายเจิมหันซ้ายหันขวามองสภาพบริเวณบ้านที่แปลกตาไป
“น้าเอกเอาจริงเลยนะนี่ น่าอยู่จริงๆ” เขาพูดอย่างพอใจ
ผมร้องเชิญให้เขานั่งบนม้ายาวที่ผมใช้ไม้แผ่นหนาลวดลายงดงามมาตีเป็นชุดโต๊ะนั่งเล่นในสวนตั้งไว้ใต้ร่มไม้หน้าบ้าน นายเจิมมองโต๊ะชุดนั้นพลางก้มดูลายไม้อย่างชอบใจ ผมจึงอธิบายว่า
“ผมรื้อผนังห้องนอนด้านทิศเหนือออกให้ต่อกันเป็นห้องเดียว แล้วเอาไม้มาใช้ครับ ห้องนั้นผมเอาไว้นั่งเขียนรูป”
นายเจิมพยักหน้าหงึกๆ เขาเข้าใจได้ทันทีว่ามันคือห้องนอนเก่าของลูกสาวและลูกชายคนเล็กของป้าหมัยที่เป็นห้องติดกัน
“ก็เหลือห้องนอนใหญ่ห้องเดียว” นายเจิมหมายถึงห้องเดิมที่เ**กกิมใช้นอนขณะยังมีชีวิตซึ่งอยู่ตรงข้ามห้องลูกสาวลูกชาย
“ครับ”
“แล้วแขกไปใครมาจะนอนที่ไหน” นายเจิมถาม
“ก็ให้นอนข้างนอกเลยครับแบบเดียวกับที่ป้าหมัยและม่อนนอนแต่ก่อน กว้างๆ ดี ถ้าแม่กับพี่สาวมาเยี่ยม ผมให้นอนห้องผม ผมจะออกมานอนข้างนอกเอง แต่ชวนใครก็ไม่มีใครว่างครับ คนอยู่กรุงเทพฯ เขามีธุระปะปังมากมาย” ผมตอบยิ้มๆ
นายเจิมมองที่โต๊ะ ม้านั่ง และรอบบริเวณที่เริ่มดูสวยงามจากการใช้เครื่องตัดหญ้า กิ่งไม้ถูกเล็มออกให้แสงลอดผ่านและปลูกไม้ดอกหลากสีตามจุดต่างๆ แทรกตามพุ่มไม้
“น้าเจิมมาถึงนี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ หรือมาเยี่ยมเฉยๆ” ผมถาม เขาสะดุ้งและทำท่านึกได้
“โอย เกือบลืม น้าเอกไปที่รถกับผมหน่อย ป้าหมัยแกฝากของมาให้ ผมลงรถแล้วก็ลืม” พูดเสร็จเขาหันหลังเดินดุ่มๆไปที่รถ
ผมเดินตามไปที่กระบะท้ายรถเขา มีไหกลมตั้งอยู่หลายใบ ผมรู้ทันทีว่ามีอะไรบรรจุอยู่ข้างในนั้น นายเจิมยกไหส่งให้ผมอุ้มหนึ่งใบ และตัวเขาประคองไว้อีกหนึ่งใบ
“ป้าหมัยให้ผมสองไหเลยหรือครับ” ผมทำตาโต
“ของเจ้าปานไหหนึ่ง กินคนละไห อย่ากินร่วมกัน”
“เขาถือหรือครับ” ผมทำหน้าเหลอ
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้กลัวจะเกิดร่วมชาติกันอีก แต่เขากลัวติดโควิด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเขาเตือนไม่ให้กินอาหารจานเดียวกัน หรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เมื่อก่อนนะ พวกเราพี่น้องเอาก้านมะละกอคนละก้านปักดูดห้าคนหัวชนกัน น้ำไม่แห้งไม่มีการยกหัว แต่เดี๋ยวนี้ไหใครไหมัน ฮ่าๆๆๆ”
นายเจิมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผมสงสัยว่าเขาคงจะดื่มมาบ้างนิดหน่อยแล้ว เราพากันเดินเข้ามาที่โต๊ะยาวแล้ววางไหสาโททั้งสองลูกเคียงกัน
“สักเดือนมั้งครับนี่กว่าจะกินหมด” ผมพูด
“รินใส่ขวดเก็บในตู้เย็นได้ อร่อยชื่นใจแก้ร้อน” นายเจิมตอบ “พี่หมัยเขาเป็นนักทำข้าวหมาก ทำสาโท อยากกินเมื่อไรก็โทรไปบอกล่วงหน้า” แล้วเขาก็นึกได้อีกเรื่องที่ต้องการมาบอก “อ้อ นี่ เขาได้ลูกชายคืนมาแล้วนะ”
“โอ้ ดีใจด้วยจริงๆครับ ผมรอฟังเรื่องนี้อยู่” ผมตอบอย่างตื่นเต้นดีใจไปกับป้าหมัย
นายเจิมทรุดตัวลงที่ม้านั่งแล้วเริ่มเล่า
“วันนั้นพอกลับกันมาจากชะอำ ตานวยกับจ่าแสงแกเล่าว่าเขาไปเจอไอ้หมิงนั่งเฝ้าห่วงยางอยู่ที่ร้านริมหาด พี่หมัยจำลูกได้ก็วิ่งเข้าไปหา เจ้าหมิงกระโดดหนีร้องโวยวายไม่เป็นภาษา ผู้ใหญ่สมจิตเลยแจ้นไปบอกตำรวจที่ป้อมยามว่าช่วยไปเอาตัวมาที แกรีบอธิบายให้ตำรวจฟังว่าเรื่องมันยังไง ตำรวจสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปตั้งไกล เจ้าของร้านห่วงยางพอรู้เรื่องก็เล่าว่าไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันกระเซอะกระเซิงอยู่แถวหาดชะอำสามสี่ปีแล้ว เดินคุ้ยถังขยะหาของกินหัวหาดยันท้ายหาดไปถึงหน้าโรงแรมใหญ่ พวกยามก็คอยไล่มัน บางทีฝรั่งที่นอนอาบแดดอยู่นึกสงสาร เขาก็ให้ผ้าเช็ดตัวให้เสื้อมัน กลางคืนมันเดินกลับมานอนกับหมาที่เก่า คนผ่านไปมาเขาเวทนาก็ซื้อให้ข้าวมันกินบ้าง ช่วงหลังพวกร้านค้าเขาใช้ให้มันนอนเฝ้าห่วงยาง มันก็นั่งเฝ้าตาเขม็งอยู่อย่างนั้น
“ทีนี้พอตำรวจเขาได้ตัวมัน ผู้ใหญ่สมจิตก็ขับรถพาแม่มันไปรับ พี่หมัยเอารูปเจ้าหมิงในกระเป๋าให้ตำรวจดู แล้วก็บอกได้หมดว่ามีไฝมีปานมีแผลเป็นตรงไหน บอกได้ถึงขนาดว่าหำมันเอียงซ้ายหรือเอียงขวา ตำรวจเขาตรวจดูแล้วก็บอกให้รีบๆ เอาตัวมันไปเลย เพราะเขาก็เบื่อเห็นมันจะแย่แล้ว
“ตาแสงบอกว่าพอจับขึ้นรถนี่มันร้องไม่หยุด ดิ้นเร่าๆจะลงจากรถท่าเดียว เสื้อผ้าเหม็นเน่า เนื้อตัวสกปรก หัวหูมีเห็บมีหมัดเกาะ เล็บยาวขี้เล็บดำปี๋ พี่หมัยนั่งปลอบไปสักพักใหญ่ๆ มันก็หลับอยู่ในรถนั่นแหละ จนถึงบ้าน พวกบ้านเขาก็ช่วยกันเอาตัวลงมา หาข้าวให้กินจนมันสบายใจแล้วก็จับอาบน้ำ ตัดผม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ค่อยดูเป็นเจ้าหมิงหน่อย แต่ว่ามันกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ ไปแล้ว ยังไงก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม”
นายเจิมจบเรื่องเล่าพลางดูนาฬิกาข้อมือ
“น้าเอก เดี๋ยวผมต้องไปแจกไหต่อ ว่างก็ไปเยี่ยมกันที่บ้านซ่วงนะ”
“ขอบคุณมากครับน้าเจิม ฝากขอบคุณป้าหมัยที่ให้ของถูกใจ ขับรถดีๆนะครับ” ผมยกมือไหว้
เมื่อนายเจิมกลับไปแล้ว ผมเดินเข้าไปในสวนหลังบ้านเห็นปานกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับก๊อกน้ำชุดสุดท้าย
“ปาน ป้าหมัยฝากของมาให้” ผมนั่งยองๆพูด เขาตอบสั้นๆตามนิสัย
“เห็นแล้ว”
“เย็นนี้เอาใส่รถกลับไปบ้านไหหนึ่งนะ” ผมบอก
“เอาไว้นี่” เขาบอก ผมเข้าใจได้ว่าปานไม่อยากให้พ่อของเขาแตะของมึนเมาอีก
“งั้นก็ตอนเย็นนั่งกินกันสักเดือนละกัน” ผมเสนอ
ปานพยักหน้า
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 63
วันนี้เป็นวันเตรียมการอุปสมบทหมู่หลานชายสามคนของผู้ใหญ่สมจิตและนางเพ็ญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาวป้าหมัยผู้ล่วงลับและเป็นการขออโหสิกรรมแทนนายยอดผู้ก่อเหตุซึ่งถูกฝากขังไว้ที่เรือนจำเพชรบุรีและรอขึ้นศาลเดือนหน้า
พิธีบวชจะจัดขึ้นสองวันที่บ้านผู้ใหญ่สมจิต โดยวันนี้ช่วงบ่ายเป็นการปลงผมและทำขวัญนาค มีการเลี้ยงอาหารในตอนค่ำโดยใช้บริเวณพื้นที่ว่างเปล่าหลังที่ทำการอบต.เป็นที่จัด ซึ่งจะมีคณะรำวงเพชรบุรีมาให้ความบันเทิง พรุ่งนี้เช้ามีการแห่นาคและนำนาคไปเข้าโบสถ์
“ปาน ตอนเย็นเราไปกันนะ เมื่อคืนนี้ผู้ใหญ่กับป้าเพ็ญมาเชิญเอง ผมก็รับปากไว้ แกเชิญปานด้วย”
ผมพูดขึ้นขณะที่เราสองคนขับรถออกไปหาซื้อของใช้ที่ตลาดราชบุรี ระยะทางระหว่างเขาย้อยไปราชบุรีนั้นใช้เวลาพอๆ กันกับการไปเพชรบุรี แต่ถนนร่มรื่นกว่ามากแม้จะมีรถบรรทุกพ่วงวิ่งกันตลอดวันและถนนเป็นหลุมเป็นบ่อหลายจุด
ปานพยักหน้าและนั่งเงียบมองดูต้นตะแบกสองข้างถนนที่กำลังออกดอกสีม่วงสะพรั่ง
เมื่อซื้อของเสร็จเราแวะเข้าตลาดศรีเมืองเพื่อหาอาหารกลางวันกินกัน ผมสังเกตเห็นผู้ซื้อและผู้ขายบางคนต่างสวมหน้ากากอนามัยปิดปากปิดจมูกราวกับเป็นบุคลากรในโรงพยาบาล ผมเองก็พอทราบข่าวเรื่องโรคระบาดโควิด-19 เช่นกัน แต่ชีวิตที่โคชนะดูช่างห่างไกลจากฉากที่ผมเห็นอยู่ต่อหน้าในขณะนี้
ขณะที่เรากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่โซนอาหาร ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดู ข่าวการตรวจพบโควิด-19 ในผู้ป่วยจากการไปสนามมวยลุมพินีโผล่ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ผมคิดว่าผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่น่าจะระบาดไปถึงต่างจังหวัด โดยเฉพาะอำเภอรอบนอกอย่างเขาย้อย ไม่ต้องพูดถึงตำบลเล็กๆ อย่างห้วยกระทบ
เรากลับถึงบ้านช่วงบ่ายและทำงานกันต่อถึงเย็น
“ผมไปอาบน้ำ เดี๋ยวมารับ” ปานบอกผมขณะขึ้นนั่งบนอานมอเตอร์ไซค์
“ผมอาบน้ำแล้วไปรับก็ได้ ไม่ลำบากหรอก” ผมบอกเขา
“คนเอารถมาเป็นร้อย รถพี่เอกจะไม่มีที่จอด” ปานบอกผม เขารู้สภาพการณ์ดี
หกโมงครึ่งปานเอามอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขามาจอดหน้าประตูเหล็ก เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าตาสะอาดเรี่ยม ผมไม่ค่อยได้เห็นเขาในลักษณะเช่นนี้บ่อยนัก
“หล่อเฟี้ยวเลย”
ผมมองเสื้อลายตารางตัวใหม่ กางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน รองเท้าผ้าใบที่เขาลูบเอาเศษดินออกจนดูดี ผมของเขาหวีปรกหน้าผากและต้นคอโดยไม่แสก ดูเหมือนมันเพิ่งแห้ง
ปานหันไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไร แต่ใบหน้าเขามีรอยยิ้มเขิน
ผมเปิดไฟแสงนวลที่หัวเสาหน้าบ้าน เอาโซ่คล้องประตูและใส่กุญแจ จากนั้นก็ขึ้นคล่อมอานมอเตอร์ไซค์ กลิ่นยาสระผมและกลิ่นสบู่จากตัวคนที่นั่งหลังตรงจับแฮนด์รถโชยเข้าจมูกผม มันเป็นคนละกลิ่นกับวันที่ผมซ้อนรถเขาไปเอาน้ำผึ้งเมื่อสองเดือนที่แล้ว
บนถนนที่เรากำลังผ่านไปสว่างไสวด้วยไฟนีออนหลากสีนับร้อยบนเสาไม้ไผ่ที่ปักไว้ตลอดทางตั้งแต่สี่แยกไปจนถึงทุ่งนาหลังที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล มียานพาหนะร่วมทางไปกับเรามากมาย ส่วนใหญ่เป็นรถปิ๊กอัปและมอเตอร์ไซค์
“โห งานบวชที่นี่เขาจัดงานใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ” ผมชะโงกหน้าข้ามไหล่ปานไปถาม
“ส่วนใหญ่ก็แบบนี้”
ปานหันมาตอบผมพลางมองหาที่จอดรถ ครอบครัวหนึ่งส่งเสียงเรียกให้เราไปกับพวกเขาเพื่อจะได้พอดีโต๊ะสิบคน เราสองคนเดินตามไปอย่างว่าง่าย ผู้ใหญ่สมจิต ป้าเพ็ญ และนาคทั้งสามที่โกนผมสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวยืนต้อนรับอยู่หน้างาน มีขันอลูมิเนียมสีทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนโต๊ะสำหรับรับซอง เสียงพูดคุยทักทายของผู้คนรอบตัวสร้างบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองที่ชายสามคนจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในวันรุ่งขึ้น
โต๊ะจีนปูผ้าแดงเรียงเต็มลานที่ประดับราวไฟพาดไปมาโดยรอบมีผู้จับจองไว้เกือบทุกโต๊ะ บางโต๊ะมีเด็กกว่าครึ่ง เวทีใหญ่และยาวกว่าสามสิบเมตรตั้งตระหง่านเบื้องหน้า ลำโพงตัวใหญ่มหึมาขนาบอยู่สองข้างเวที แสงสปอตไลท์ส่องผนังเวทีสว่างจ้า
ปานและผมเดินตามกลุ่มครอบครัวแปดคนที่ชวนเราแหวกผู้คนเข้าไปด้านหน้า มีเสียงตะโกนบอกให้โต๊ะที่มีจำนวนคนไม่ถึงห้าคนไปนั่งรวมกัน เมื่อมีคนยอมทำตามคำบอกนั้นแล้ว เราสิบคนก็เข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างลง ผมมองเครื่องดื่มบนผ้าปูโต๊ะสีแดงอย่างสนใจ มีทั้งน้ำอัดลมขวดลิตร น้ำเปล่าในขวดพลาสติกขาวขุ่น และเหล้ายี่ห้อคล้ายวิสกี้ต่างประเทศ
“เอ้า น้าเอก ปาน ตามสบาย”
พ่อบ้านของครอบครัวที่เรานั่งโต๊ะร่วมด้วยตะโกนบอกแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดดังลั่นจากลำโพงที่แขวนไว้ทุกทิศ วัยรุ่นทั้งสองที่คงเป็นลูกสาวลูกชายของเขามองผมและปานแว่บหนึ่งแล้วก้มหน้าลงดูโทรศัพท์ในมืออย่างไม่สนใจใคร ผู้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งส่งแก้วที่เติมน้ำแข็งจนเต็มให้ผมและปาน จากนั้นก็รินเหล้าลงแก้วผมอย่างหนักมือ ส่วนปานปฏิเสธ เขาดื่มน้ำแดง
ครู่ใหญ่ๆ ผ่านไป อาหารที่ปรุงจากเต็นท์ชั่วคราวเริ่มทยอยนำมาเสิร์ฟ เราทุกคนที่โต๊ะลงมือกินโดยไม่มีการขัดเขิน ผมเลือกอาหารชนิดที่ใช้ส้อมจิ้มหรือตะเกียบคีบ โดยหลีกเลี่ยงจานที่มีผู้ใช้ช้อนของตนลงไปตัก ผมนึกถึงผู้คนในตลาดศรีเมืองที่ผมเห็นเมื่อกลางวันที่สวมใส่หน้ากากอนามัย ส่วนปานตักอาหารทุกอย่างมาใส่จานของตนรอบเดียวแล้วก้มหน้าก้มตากินโดยไม่เติมอีก
บนเวที ผู้ใหญ่สมจิตนำหลานชายขึ้นไปกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานอย่างยืดยาว แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครสนใจฟังมากนัก เพราะขณะที่เขาพูด รถสองแถวขนาดใหญ่ก็ขับเข้ามาที่หลังเวที ผู้ก้าวลงจากรถคือหญิงสาวในชุดระยิบระยับกว่าห้าสิบชีวิต พวกเธอสวมกระโปรงสั้นถึงแก้มก้น เสื้อรัดรูปตัวน้อยเปิดคอกว้างถึงปลายไหล่และยาวแค่ใต้อก ทุกนางล้วนเป็นสาวสวย วัยอ่อน ใบหน้าผุดผ่อง ผมยาวรวบและมัดด้วยโบว์แบบเดียวกัน รองเท้าส้นสูงสีขาวแบบเดียวกัน บางคนควักตลับแป้งขึ้นมาเติมความผ่องนวลบนสันจมูก บางคนยกขวดน้ำขึ้นมาเทใส่ปากโดยไม่ให้สมผัสกับลิปสติกสีแดงจ้าบนริมฝีปาก
“นางรำคณะศรีเมืองเพชร” ชายนั่งข้างผมหันมาบอกพลางเขย่าขากึกๆ และเอามือจับหัวเข่าตัวเองไว้อย่างพยายามควบคุมตนเอง
“เดี๋ยวน้าเอกวาดลวดลายโชว์หน่อยนะ” อีกเสียงหันมาเชียร์
“ได้เลยครับพี่” ผมหัวเราะร่วนก่อนยกแก้วที่ถูกเติมจนเต็มอีกครั้งขึ้นดื่ม
เมื่อผู้ใหญ่สมจิตและครอบครัวลงเวทีไปแล้ว นักดนตรีก็ขึ้นประจำที่ เหล่านางรำต่างเรียงแถวขึ้นเวทีและย่อตัวต่ำลงไหว้ผู้ชมจนเห็นกางเกงขาสั้นสีดำแนบต้นขาที่พวกเธอสวมใส่ใต้กระโปรงสั้นเต่อ จากนั้นทั้งบริเวณงานก็กระหึ่มด้วยเสียงเพลงจากลำโพงมหึมา ผมนั่งมองฉากตระการตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่างานบวชจะมีการเลี้ยงอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีรำวงที่ประกอบด้วยนางรำที่แต่งกายวับแวมเช่นนี้
เมื่อการรำโชว์จบไปแล้วสามเพลงอย่างเร้าใจ ต่อไปก็ถึงรอบของผู้มาร่วมงาน ก่อนจะรู้ตัวผมก็ถูกลุงอำนวยและจ่าแสงเดินมาคว้าแขนผมคนละข้างแล้วดึงผมขึ้นเวทีไปพร้อมกับผู้คนทั้งหนุ่ม สาว คุณป้า คุณลุง คุณน้า คุณอา เด็กสิบขวบก็มี บางคนอุ้มลูกเล็กขึ้นไปด้วย ทุกคนต่างสนุกกันเต็มที่ เหล่านางรำทำหน้าที่ของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้ว่าคู่เต้นของแต่ละนางจะอยู่ในวัยเลยห้าสิบแล้วทั้งสิ้น เป็นหญิงก็มี ผมเองจับคู่กับป้าบ้านเดี่ยวที่ทำท่าดีใจเมื่อเจอผมบนเวที ชายสูงวัยที่ยืนขยับตัวหน้านางรำอวบอัดขาวผ่องต่างพยายามเสมองไปทางอื่นหรือไม่ก็แอบมองนางรำคนที่อยู่ถัดไป
เสียงดนตรีในจังหวะชะชะช่าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับลีลาของนางรำที่ก้าวย่างยักเอว ยักไหล่ สะบัดสะโพก หมุนตัวไปพร้อมๆ กันตามที่ฝึกมา โดยเฉพาะท่าเท่งป๊ะ เท่งป๊ะ เท่งป๊ะ ที่พวกเธอต่างหนีบศอก กางมือ แล้วเขย่าหัวไหล่ บวกรวมกับท่วงท่าเต้นไร้สเต็ปของเหล่าผู้คนที่พากันขึ้นไปโยกตัวบนเวทีด้วยหน้าตามีความสุขทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มคล้อยมึนเมา
ผมสนุกกับพวกเขาเต็มที่ คนที่นั่งข้างล่างพากันชี้มือมาที่ผมและหัวเราะพร้อมกับตบมือ ลุงอำนวยแฉลบเข้ามาด้วยท่าเต้นเหมือนนกปีกหัก เขาพูดอะไรผมไม่ได้ยิน ตาผมพร่าลายจากแสงวิบวับของชุดนุ่งน้อยห่มน้อยผิวขาวผ่องเนินอกเป็นร่องลึกของนางรำ พวกเธอขยับขาก้าวตามกันไปเป็นแถวเป็นแนวพร้อมท่ารำที่เปลี่ยนไปตามเพลง ไม่มีใครสัมผัสตัวกับใครทั้งหญิงชาย สองหูของผมถูกอัดจนแน่นด้วยเสียงกลองในจังหวะหนักหน่วง เสียงกีต้าร์ เสียงอิเล็กโทน ซึ่งนักดนตรีใบหน้าลูกทุ่งกำลังบรรเลงด้วยสีหน้าจริงจัง
เพลงลูกทุ่งยอดนิยมสมัยอดีตดังขึ้นต่อเนื่องกันไปทั้งเพลงเร็วเพลงช้าโดยนักร้องชายหญิงที่สลับกันควงไมค์ให้ความบันเทิงแก่ผู้มาร่วมงานอย่างเต็มที่ ผมขยับแขนขาตามจังหวะดนตรี มีบางช่วงที่ผมยืนหลับตาเพื่อซึมซาบกับเนื้อเพลงสมัยเก่าที่ผมไม่เคยได้ยินผ่านหูมาก่อน เสียงเอื้อนไพเราะอ่อนหวานของนักร้องหญิงทำให้ผมเคลิ้มฝัน ทันใดนั้นมีศอกหนึ่งมากระทุ้งต้นแขนผม เมื่อลืมตาขึ้นผมก็พบกับปากพะงาบของจ่าแสงที่ยื่นเข้ามาจ่อข้างหู
“หลับคาเวทีเลยเรอะ คุณเอกพล นี่เขาเพิ่งอุ่นเครื่อง”
จากนั้นมือหนึ่งก็ยื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำสีชามาให้ ผมรับมาแล้วหงายหน้าเทลงคอจนหมดและส่งแก้วคืนไปโดยไม่เห็นว่าใครเป็นคนส่งมา ผมตาลายเกินกว่าจะมองอะไรรู้เรื่อง รู้แต่ว่าเป็นน้ำใจไมตรีของเขา
ผมเดินวาดแขนรำตามผู้คนทั้งคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอาไปอีกนับสิบเพลง แล้วผมก็หมุนมาที่หน้าเวที ย่อขาชะโงกตัวเอามือป้องตาเพ่งฝ่าแสงสปอตไลท์ที่ส่องจ้า ผมมองลงไปเบื้องล่าง ในความเลือนลางผมเห็นปานนั่งจับตามองขึ้นมา ผมถอนหายใจและโบกมือให้เขา ผมรู้แน่ชัดว่าหากผมหัวทิ่มตกเวทีไป หรือเมาจนไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยก็มีคนหิ้วปีกผมกลับบ้าน
เกือบเที่ยงคืน บรรดาแขกรับเชิญส่วนใหญ่ที่พาเด็กมาด้วยกลับกันไปนานแล้ว ผมเดินง่อกแง่กยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่สมจิตและป้าเพ็ญ จากนั้นก็พยายามควบคุมทิศทางการเดินให้เป็นเส้นตรงตามหลังปานไปยังรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขาที่บัดนี้จอดอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนลานโล่ง
ขณะที่รถแล่นไปผมรู้สึกถึงลมเย็นที่พัดถูกหัวและหูที่ซบอยู่บนหลังของปาน สองมือของผมเกาะต้นแขนและบ่าเขาไว้แน่น ผมได้ยินเสียงบีบแตรและเสียงรถชะลอพร้อมเสียงตะโกนพูดออกมาจากที่นั่งคนขับ
“ไอ้ปาน ขี่ดีๆนะ เดี๋ยวน้าเอกจะหงายหลังไป!”
ปานใช้ความเร็วคงที่ เสียงเครื่องยนต์ที่ครางเอื่อยและการโยกโคลงของรถทำให้ผมพะอืดพะอม
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ปานจอดรถ ดับเครื่องแล้วหันมาจับแขนผมให้ตวัดคล้องคอเขา จากนั้นเขาลงจากรถและย่อตัวแบกผมขึ้นบ่า ตอนนั้นเองที่ผมอาเจียนพรวดออกมาจนเลอะชายเสื้อและขากางเกงของเขา ปานรีบปล่อยผมให้ยืนโก่งคอสำรอกอาหารที่มีกลิ่นบูดเหม็นและกลิ่นเหล้าออกมาจนหมด เมื่อเขาเห็นผมยืนนิ่งแล้ว เขาก็รีบเดินไปไขกุญแจที่คล้องโซ่ประตูหน้าบ้าน
ครู่หนึ่งผมรู้สึกดีขึ้น ผมสะบัดหัวที่ยุ่งเหยิงเปียกชื้นและมีกลิ่นเหงื่อ สูดหายใจยาวๆ ก่อนจะอ้าปากปล่อยคำพูดออกมาช้าๆ
“ผมไม่เป็นไร กลับบ้านเถอะ ปาน พรุ่งนี้ค่อยมาสายๆ จะหยุดสักวันก็ได้...ขอบใจมากนะ”
ปานยืนมองผมเดินเซไปดันประตูให้เลื่อนเปิดเล็กน้อยและสอดตัวเข้าไปโดยเอาขายันขอบเสาไว้เพื่อกันล้ม ผมยืนโงนเงนครู่หนึ่งก่อนใช้บ่าดันประตูเลื่อนปิด คล้องโซ่ และล็อกกุญแจดังกริ๊ก ผมยืนหันหลังพิงประตูครู่หนึ่งแล้วจึงเดินทิ่มหัวไปที่บันได เมื่อขึ้นถึงนอกชานผมเปิดไฟเข้าไปในห้องโถงแล้วชะโงกหน้าต่างออกมาดูที่ถนน ไฟหน้ารถพ่วงข้างของปานเพิ่งขยับตีโค้งห่างออกไปอย่างช้าๆ พร้อมเสียงเครื่องยนต์เอื่อยๆ