ตอน เหตุเกิดที่งานไหว้ผี (1)

4500 คำ
บทที่ 7 เหตุเกิดที่งานไหว้ผี วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2563 เวลา 9.00 น. เช้าวันนี้ผมขับรถตระเวนรับสมาชิกของชมรมผู้สูงอายุสิบเอ็ดคนผู้มีบ้านพักอาศัยไม่ห่างกันมากนักในรัศมีสิบห้ากิโลเมตร จากนั้นก็เดินทางไปยังหมู่ 4 ซึ่งเป็นชุมชนซ่วงอันเป็นสถานที่จัดงานไหว้ผี มีคนในตำบลห้วยกระทบได้รับเชิญไปแทบทุกบ้าน เมื่อวันพุธตอนเย็นที่ผ่านมาผมเจอกับลุงอำนวยและป้าเล็กที่ตลาดนัดวัดพระธาตุศิริชัย ผมไปซื้อหาอาหารสำเร็จมาตุนไว้ในตู้เย็น เรายืนคุยกันถึงเรื่องงานกินเลี้ยงใหญ่ที่ชาวบ้านซ่วงจะจัดขึ้นในวันเสาร์ ป้าเล็กบอกว่าคนแก่หลายคนไม่มีลูกหลานพาไปแต่พวกเขาอยากไปร่วมแสดงน้ำใจ ผมจึงรับอาสาโดยนัดหมายกับป้าเล็กไว้ให้นั่งรถไปกับผมในวันนี้เพื่อบอกทางไปบ้านคุณป้าคุณย่าคุณยายที่จะไปด้วยกัน วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ชงกาแฟดื่ม และเตรียมเงินใส่ซองจำนวนหนึ่งเพื่อไปช่วยงาน ผมเอารถออกไปรับป้าเล็กในเวลาแปดโมงที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านผู้ใหญ่สมจิตเท่าไรนัก ลุงอำนวยยังใส่ผ้าขาวม้ายืนผิวปากคุยกับนกหัวจุกในกรงที่แขวนเรียงเป็นแถวบนระเบียงบ้าน “เดี๋ยวลุงขับรถไปรับจ่าแสงกับยายตุ้มแล้วจะตามไป” ลุงอำนวยตะโกนบอก ป้าเล็กแต่งกายด้วยผ้าถุงและเสื้อแขนสั้นสีสันฉูดฉาดถือตะกร้าบรรจุดอกไม้สดมัดเป็นกำและมีซองสีขาวเหน็บอยู่ เมื่อขึ้นรถแล้วแกก็บอกทางให้ผมไปยังบ้านต่างๆ การขับรถรับส่งผู้สูงอายุนับเป็นงานอาสาสมัครที่ผมเต็มใจ เพราะงานนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับผู้ที่เป็นชาวบ้านดั้งเดิมของท้องถิ่นจริงๆ พวกเขานับเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่ทำให้ผมรับรู้เรื่องราวมากมายที่น่าสนใจและได้รับฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน เมื่อรับผู้โดยสารครบทุกบ้านแล้วผมก็มุ่งหน้าไปยังถนนเลียบคลองชลประทานและขับรถต่อไปอีกสิบกิโล ถึงสะพานโรงสี เลี้ยวขวาเข้าเขตหมู่บ้านซ่วง พอถึงแนวรั้วกอไผ่ ผมเห็นรถจอดเต็มถนนสองด้านและล้นเข้าไปจอดตามบ้านต่างๆ ซึ่งเจ้าของบ้านแต่ละหลังต่างเต็มใจให้ผู้มาเยือนจอดพาหนะ ผมเอารถเข้าไปถึงข้างในและส่งผู้สูงอายุลงก่อนจะถอยไปจอดแอบริมรั้วตามที่มีคนชี้บอกว่าป้าหมัยกันที่ไว้ให้ผมจอดรถตู้ เราพากันเดินลอดผ่านใต้ถุนบ้านแต่ละหลังไปยังลานใหญ่ริมแปลงหญ้าของบ้านป้าหมัยที่ได้รับการปรับพื้นที่ให้เรียบ มีเต็นท์ใหญ่สามหลังตั้งติดกันและมีคนนั่งอยู่ภายในเกือบเต็มทุกเต็นท์ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่ ด้านหนึ่งวงกลองยาวกำลังบรรเลงเพลงรื่นเริงอยู่บนยกพื้นที่จัดเป็นเวทีใต้ร่มไม้ ผู้เล่นสิบห้าคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันงดงาม โพกผมด้วยผ้าสีฉูดฉาดเหน็บดอกพุทธรักษารอบศีรษะและคล้องพวงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกมะละกอ เสียงฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ กรับ กลองฟังเร้าใจและสร้างความคึกคักให้แก่บรรยากาศในงานที่มีผู้คนเกือบสองร้อยคนอยู่ในที่นั้น ผู้สูงอายุที่เพิ่งลงจากรถผมเดินตามกันไปนั่งยังที่ว่าง มีเสียงทักทายพูดคุยอย่างรู้จักมักคุ้นดังอยู่รอบตัว ผมเข้าไปหาที่นั่งด้านหน้าเต็นท์ติดปะรำพิธี เด็กหนุ่มสาวสวมชุดสีดำมีลายปักเล็กน้อยพากันเดินเสิร์ฟน้ำเย็นในถ้วยพลาสติกปิดฝาพร้อมหลอดเล็กๆ ภายในปะรำสำหรับทำพิธีซึ่งตั้งไม่ห่างจากหน้าเต็นท์ทั้งสามเท่าใดนักมีโต๊ะตัวยาวอยู่ภายในและมีพานบายสีเจ็ดพานวางตั้งที่ด้านข้าง ถัดมาเป็นกระจาดสามใบภายในมีผลไม้ประกอบด้วยกล้วย มะพร้าวอ่อน ฟักเขียว ฟักทอง ต้นอ้อยที่ตัดเป็นท่อน มีใบเล็บครุฑและใบไม้อีกหลายชนิดห่อใส่ใบตองเหน็บไว้ริมตะกร้า มีอาหารที่ปรุงเสร็จวางเรียงอยู่นับสิบถ้วยและมีตะเกียบวางไว้บนปากถ้วย บริเวณด้านข้างปะรำเป็นลานกว้างประมาณสิบเมตร มีเสาไม้ต้นหนึ่งปักไว้กลางลาน เสานั้นประดับประดาด้วยผ้าหลากสีและมีธูปที่หมดควันแล้วปักไว้โดยรอบ ลุงอำนวยและจ่าแสงพร้อมกับป้าตุ้มเพิ่งมาถึง ป้าตุ้มแยกไปนั่งกับกลุ่มป้าฉาย ป้าเล็ก และป้าจำปา ส่วนลุงอำนวยและจ่าแสงเข้ามานั่งข้างหลังผมและส่งเสียงทักทาย ไม่นานจากนั้นวงกลองยาวก็เปลี่ยนไปบรรเลงเพลงในจังหวะฟ้อนรำ ผู้คนที่อยู่ในเต็นท์ต่างพากันชะเง้อชะแง้ เสียงพูดคุยเบาลง “มากันแล้วขบวนฟ้อนผี” ลุงอำนวยพูด ผมมองตามสายตาของทุกคนที่กำลังจ้องไปยังทิศที่บ้านป้าหมัยตั้งอยู่ ครู่เดียวป้าหมัยในชุดผ้าถุงและเสื้อสีดำ พาดสไบสีฟ้าสดไขว้บ่าทั้งซ้ายและขวา มือสองข้างถือดาบสั้นร่ายรำนำขบวนออกมาตามจังหวะเนิบของกลองยาว ที่ตามหลังป้าหมัยคือรถเข็นคนพิการ ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นคือม่อน มีผ้าทอผืนหนาคลุมตั้งแต่เอวลงไป เขาสวมเสื้อแขนยาวสีดำ สวมผ้าโพกเหน็บดอกไม้เช่นเดียวกับผู้ชายคนอื่นๆในขบวนที่กำลังร่ายรำตามหลังรถเข็น ผู้ที่กำลังเข็นรถอย่างระมัดระวังคือพยาบาลหนิง มีอสม.สี่คนขนาบข้างคอยออกแรงยกล้อรถให้พ้นจากเนินดินปุ่มปมตามเส้นทาง นอกจากลูกชายพิการของป้าหมัยที่นั่งนัยน์ตาเหม่อลอยแล้ว ชายและหญิงที่อยู่ในขบวนฟ้อนผีต่างออกท่าออกทางกรีดแขนร่ายรำอย่างมีลีลาเฉพาะตัวตามจังหวะกลองยาวที่เร่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ดาบสองเล่มในมือป้าหมัยวาดซ้าย วาดขวา ตวัดขึ้น ตวัดลง ช้าบ้างเร็วบ้างตามทำนอง จนใกล้ถึงปะรำ เวลานั้นเองผู้ใหญ่สมจิตผู้ยืนอยู่บนลานที่ปักเสาพิธีไว้ก็หันไปทางร่มไม้ห่างออกไปสุดสนามที่ซึ่งรถกระบะติดริ้วผ้าของเขาจอดอยู่ มีวัวพันธุ์ไทยสีเทาดำผูกเชือกสีแดงสดไว้กับราวสเตนเลส บนคอของมันคล้องพวงมาลัยดอกดาวเรือง และที่นั่งเอนตัวอยู่ในที่นั่งคนขับคือนายยอด ผู้ใหญ่สมจิตป้องตามองไปทางรถของเขา เมื่อเห็นลูกชายยังง่วนอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ เขาจึงตะโกนเรียก “ไอ้ยอด! ไอ้ยอด!” แข่งกับเสียงกลองยาวพร้อมกับกวักมือ นายยอดเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อเรียกก็รู้ตัว เขาปิดโทรศัพท์ก่อนยัดมันลงกระเป๋ากางเกงแล้วลงจากที่นั่ง เขาสาวเท้าเดินไปปลดเชือกที่ล่ามเจ้านิลเทาวัวงามออกจากราวรถและจูงมันเดินตรงไปยังลานประหารจำลอง วงกลองยาวเปลี่ยนไปตีประสานเสียงในจังหวะฉลองชัยโดยพร้อมเพรียงขณะที่นายยอดจูงวัวงามออกเดิน เจ้านิลเทาเมื่อจู่ๆได้ยินเสียงโหมกลองยาวรัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันสะบัดเชือกหลุดและวิ่งพรวดเข้าไปยังรั้วบ้านที่อยู่ด้านหน้ารถ นายยอดหันตัวกระชากเชือกในมือสุดแรง วัวหนุ่มตัวนั้นหัวเอี้ยวกลับมาตามแรงดึงแต่เท้าทั้งสี่ยังจิกดินไว้ “เบามือหน่อยเว้ย เดี๋ยวมันก็คอหักหรอก” ผู้ใหญ่สมจิตตะโกน เสียงกลองยาวในจังหวะกระชั้นยิ่งเป็นการยั่วยุให้เจ้านิลเทาแสดงอาการดื้อรั้นมากขึ้น ผู้ใหญ่สมจิตหันไปทางนายเติบหัวหน้าวงและยกมือเป็นสัญญาณขอให้หยุดตีกลองชั่วครู่ ผู้ที่กำลังร่ายรำอยู่ก็หยุดเคลื่อนไหวเพื่อไม่ทำให้เจ้าวัวงามเกิดความกลัว เจ้านิลเทาเริ่มสงบลง มันเดินตามนายยอดไปยังลานอันเหลืองอร่ามด้วยกลีบดอกดาวเรืองแต่โดยดี แต่ขณะที่มันกำลังถูกผูกเข้าหลักซึ่งสมมุติว่าเป็นหลักประหาร มันทำตาเหลือกลานและดีดตัวกระโจนออกไปด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง นายยอดกระโดดหลบและคว้าเชือกไว้ เขาทำท่าจะฟาดเจ้าวัวดื้อด้วยสันมือพลางตะโกนด้วยโทสะ “เดี๋ยวโดนจนได้นะมึง” แต่ผู้ใหญ่ส่งเสียงห้ามลูกชายไว้เพราะเกรงวัวจะบอบช้ำ “เฮ้ย อย่านะ! ไอ้ยอด” ทันใดนั้นชายพิการผู้นั่งเอียงคอมองเมฆสีขาวฟ่องล่องลอยบนท้องฟ้าใสก็เหลือกตาลง เขาจ้องมองผู้ที่กำลังวิ่งเหย่าๆ ลากจูงวัวที่คล้องคอด้วยพวงมาลัยสีเหลืองเข้ามาผูกกับเสากลางลาน หน้าท้องของหนุ่มพิการเริ่มขยับ ลำคอบีบเกร็งแล้วปล่อยลมครืดคราดออกมาจากปากเป็นเสียงห้าว “เดี๋ยวโดนจนได้นะมึง” ... ...“เดี๋ยวโดนจนได้นะมึง”... ... “เดี๋ยวโดนจนได้นะมึง... ...” ผู้คนที่อยู่ในเต็นท์ต่างหันมองนายยอดที่ยืนหอบหายใจโดยไม่ได้พูดอะไร ไม่มีใครรู้ว่าต้นเสียงนั้นมาจากไหน ชายพิการขยับหน้าท้องและลำคออีกครั้งก่อนกรีดเสียงพูดออกมา “อย่านะ! ไอ้ยอด! ไอ้ห่ายอด!” จากนั้นเสียงแหลมสูงของเด็กสาวสลับกับเสียงห้าวอันเป็นเสียงที่พวกเขาได้ยินเมื่อครู่ก็พรั่งพรูออกมาอย่างชัดเจนท่ามกลางความตกตะลึงและสีหน้าประหลาดใจของผู้ที่นั่งเรียงเป็นแถวอยู่ในเต็นท์ “อย่านะ! ไอ้ยอด!... ...เดี๋ยวโดนจนได้นะมึง... ... ไอ้ยอด มึงจะทำอะไรกู ปล่อยแขนกู! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! แม่ช่วยมิ้มด้วย... ...ใครจะมาช่วยมึง แม่มึงไปไหนแล้วไม่รู้ พี่มึงนอนน้ำลายย้อยอยู่นอกห้อง เรียกมันช่วยสิ... ...พี่ม่อน! ช่วยมิ้มด้วย… ...มึงอย่าดิ้น เดี๋ยวกูหักแขนมึงจริงๆนะ... ...ไอ้ยอดบ้ากาม กูจะไปฟ้องลุงผู้ใหญ่ว่ามึงรังแกกู... ...มึงไปเลย เดี๋ยวกูเสร็จแล้วกูจะบีบคอมึงให้ตายคาเตียงนี่แหละ ร้องไป... ... ไอ้ยอดระยำ กูจะไปฟ้องตำรวจว่ามึงค้ายาบ้า มึงเอายายัดใส่ตูดวัวแล้วเอาไปส่งขายที่ลานวัว ... ....นี่มึงไปรู้มาจากไหน ไอ้หมิงบอกสินะ เดี๋ยวกูจะตามไปฆ่ามันทิ้ง... ... ... ... ... ... ... ...โอ๊ย อีมิ้ม มึงกัดหูกูเหรอ โอ๊ย หูกูจะขาดแล้ว... ... .... .... .... ..... ...... ...... ... ... ... ... ...เฮ้ย อีมิ้ม มึงตายจริงหรือแกล้งตาย อีมิ้ม อีมิ้ม” อีกครั้งที่เสียงครืดคราดดังออกมาจากริมฝีปากของชายพิการผู้กำลังเหลือกตามองนายยอดเขม็ง “... ... ... ... กุกกัก...กุกกัก...(เสียงเร่งฝีเท้าออกจากห้อง)... ... .... .... .... .... .... ... ... ... ... ... .......(เสียงฝีเท้าวิ่งกลับเข้าไปในห้อง)... ... ...กุกกัก....กุกกัก ... ... ... ... ... .... ... ... ... ...ครืด ครืด ครืด... กุกกัก ... ... ... (เสียงขยับสิ่งของ)... ... .... .... .... ....(เสียงปิดประตูห้องดังปัง)... …” ก่อนที่ลูกชายผู้ใหญ่สมจิตจะทันขยับตัววิ่งหนี เจ้านิลเทาที่คอยทีอยู่ก็ถีบตัวเอาหัวชนร่างของนายยอดลอยขึ้นจากพื้นและหงายหลังตกกระแทกโต๊ะจนล้มคว่ำ อาหารในถ้วยชามกระจายเกลื่อน ชายฉกรรจ์หลายคนเข้าไปประกบดันเจ้านิลเทาให้ถอยหลังกลับไปได้ทันก่อนที่มันจะก้มหัวขวิดผู้ที่นอนหงายท้องอยู่ ทันใดนั้นป้าหมัยก็ปรี่เข้าไปเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบอกชายผู้ใบหูมีรอยฉีกขาดซึ่งกำลังถดตัวหนี ดาบในมือซ้ายกดคอเขาไว้ ดาบอีกมือถูกเงื้อขึ้นพร้อมเสียงตวาดใส่ผู้คนที่ฮือเข้าไปใกล้ “ใครอย่าเข้ามา ไม่งั้นไอ้ยอดหัวแบะ!” แล้วนางก็ก้มลงไปหาชายที่นอนหายใจหอบแรงอยู่ใต้ผ้าถุง นางออกแรงกดมือซ้ายจนปลายดาบทะลุลำคอลงไป เลือดทะลักออกมาและย้อยลง นางหมัยตะโกนแทบไม่เป็นภาษา “มึงฆ่าลูกกูถึงสองคน มึงทำได้ยังไง ... ศพไอ้หมิงอยู่ที่ไหน” นายยอดตาเหลือกลานขณะมองดาบในมือขวาของหญิงบ้านซ่วงที่ขยับสั่นไหวหมือนเตรียมฟันลงมา ขณะที่มือซ้ายกดลึกลงไป “ไอ้หมิงยังไม่ตาย!” นายยอดพูดเสียงขลุกขลักจากเลือดที่ไหลพลั่กลงหลอดคอ เขาทำท่าขย้อนและพยายามพูดต่อ “ไอ้หมิงยังไม่ตาย น้าหมัย มันอยู่ที่หาดชะอำ” นางหมัยเบิกตาค้างเมื่อได้ยิน นางหายใจหอบถี่ มือที่กดดาบอยู่คลายลงและปล่อยให้มันหลุดมือกระแทกพื้นเสียงดังเคล้ง ผู้ใหญ่บ้านซ่วงกระโจนเข้าไปรับตัวนางหมัยไว้ขณะที่ร่างนั้นกำลังล้มพับลง เขาปลดดาบในมืออีกข้างและส่งให้ชายอีกคนที่เข้ามาช่วยประคอง ผู้ใหญ่สมจิตผู้เป็นบิดาของนายยอดสาวเท้าเข้ามาอย่างเร็ว เขาเตะหัวลูกชายอย่างแรงพร้อมกับตะคอก “ไอ้ยอด! มึงมันลูกกูจริงๆหรือเปล่า” นายยอดยกมือกันไว้ที่ใบหน้าขณะผู้เป็นบิดายกเท้าเตรียมกระทืบซ้ำ แต่ยั้งตัวไว้ “มึงลุกขึ้นมา!” ผู้เป็นพ่อก้มลงไปคว้าคอเสื้อลูกชายแล้วดึงขึ้น เลือดจากลำคอคนเจ็บไหลย้อยลงที่พื้นเป็นดอกเป็นดวง ผู้ใหญ่สมจิตเหลียวไปบอกกลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่ด้วยเสียงอันดัง “ใครโทรเรียกตำรวจที” แล้วเขาก็ตบหน้าลูกชายด้วยมือที่ว่างอยู่พลางพูดเสียงสั่นด้วยโทสะ “กูไม่เอามึงไว้ทำพันธุ์ กูจะไม่ประกันตัวมึงออกมา ให้มึงตายห่าอยู่ในคุกนั่นแหละ” พยาบาลหนิงกำลังแหวกทางผู้คนเข้ามายังคนเจ็บ ผู้ใหญ่สมจิตชี้มือแล้วส่งเสียงเด็ดขาดบอกว่า “หมอไปดูยายหมัยโน่น ไม่ต้องมาทางนี้” “ไอ้ยอด เมื่อกี้เอ็งบอกว่าไอ้หมิงอยู่หาดชะอำใช่ไหม” จ่าแสงผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นก้าวเข้าไปวงในและเอ่ยปากถาม “ใช่มั้ง” นายยอดตอบพลางเอามือคลำปากแผลที่คอซึ่งตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้วหลังจากเขาลุกขึ้นยืน ผู้ใหญ่สมจิตเงื้อมือที่กำแน่นตบเข้าที่แก้มลูกชายอีกครั้ง “ใช่มั้ง ใช่มั้ง มึงพูดได้เท่านี้หรือ” นางเพ็ญผู้แหวกดันผู้คนจากด้านหลังสุดเข้ามายังบริเวณที่เกิดเหตุรีบโผเข้าหาลูกชายและเอาตัวกันเขาไว้ให้พ้นจากมือของผู้ใหญ่ที่ทำท่าจะฟาดลงมาอีกครั้ง นางทำหน้าตกใจและงงงันด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะนางเพิ่งเสร็จธุระที่บ้านจัดสรรและให้หลานชายขับรถมาส่งเมื่อครู่นี้ จ่าแสงแตะบ่าผู้ใหญ่สมจิตเป็นเชิงเตือนให้มีสติ “ใจเย็นไว้ไอ้น้อง ขอข้าสอบสวนไอ้ยอดหน่อย ซ้อมมันมากๆ เดี๋ยวมันจะตายเอา เลยไม่รู้เรื่องกัน” ลุงอำนวยกางแขนยาวๆของเขาออกกันผู้คนที่ผลักดันกันเข้ามาเพื่อดูเหตุการณ์ เขาตะโกนด้วยเสียงห้าวเหน่อที่ดังเหมือนพูดโทรโข่ง “ออกไปห่างๆ ทุกคน ยายหมัยแกเป็นลมอยู่นี่ ใครเอายาดมมาหน่อย ขอน้ำเย็นๆ สักแก้ว ยายเล็ก ยายฉายมาช่วยทางนี้ เอาพัดมาโบก ยกเก้าอี้มา ใครช่วยเข็นเจ้าม่อนเข้าบ้านด้วย คนพลุกพล่านมากนักเดี๋ยวมันจะป่วยเอา หมอหนิงไปดูทางนั้นเลย ทางนี้ไม่เป็นไรแล้ว เอ้า ใครไม่เกี่ยวตีวงออกไป พวกแม่ครัวไม่ต้องมามุง กลับไปต้มยำทำแกงให้เสร็จๆ คนเป็นร้อยเดี๋ยวจะไม่ทัน ทางนี้ตำรวจเขากำลังมา ถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญฉันจะเล่าให้ฟังที่หลัง รับรองว่าไม่มีใครตกข่าว” เมื่อลุงอำนวยพูดจบจ่าแสงก็เขยิบตัวเข้าไปด้านหน้านายยอดก่อนจะถามขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ไอ้ยอด เอ็งช่วยบอกหน่อยซิว่าไอ้หมิงไปอยู่หาดชะอำได้ยังไง” “ฉันอุ้มมันไป” เป็นเสียงตอบอ้อมแอ้มขณะที่นางเพ็ญยังยืนเอาตัวบังลูกชายไว้จากผู้เป็นสามีผู้มีสีหน้าโกรธจัด “ตั้งกะเมื่อไร” จ่าแสงถาม “ตั้งแต่วันนั้น” นายยอดก้มหน้า “วันนั้นน่ะวันไหน เล่ามาตั้งแต่ต้นเลยให้มันรู้เรื่อง นี่ ไอ้ยอด เอ็งรู้ใช่ไหมว่างานนี้เขาเลี้ยงผีกัน รอบๆ ตัวเอ็งตอนนี้เขาเงี่ยหูฟังเอ็งอยู่ เลือดเอ็งตกถึงพื้นแล้ว เอ็งต้องเอาความจริงมาพูด เรื่องที่เอ็งทำลงไปน่ะนะ คนไม่รู้ แต่ผีรู้ ถ้าเอ็งไม่พูดความจริง เดี๋ยวก็จะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ข้าเห็นมาเยอะแล้ว ที่เอ็งโดนนี่ยังน้อย” จ่าแสงตะล่อมถามพลางมองนางเพ็ญที่หันมาทำตาเขียวใส่ตนที่พูดเหมือนแช่งลูกชายนาง นายยอดก้มมองด่างดวงของเลือดบนพื้นที่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำฝุ่นแล้วหันไปมองผู้เป็นมารดาแวบหนึ่ง ผู้คนที่ตีวงอยู่รายรอบต่างเงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงพูดจา สมาชิกวงกลองยาวกระจายตัวเข้ามายืนฟัง ป้าหมัยนั่งดมยาอยู่บนเก้าอี้ที่มีคนยกมาให้ มีป้าฉาย ป้าจำปา ป้าเล็กนั่งอยู่ใกล้คอยโบกพัดให้ลมผ่านใบหน้า แล้วนายยอดเริ่มก็เปิดปากเล่า “…วันนั้นฉันเอาวัวไปเลี้ยงที่ทุ่งนาข้างบ้านเ**กกิม ฉันเห็นน้าหมัยออกบ้านไปตั้งแต่ตอนสาย ฉันนั่งกินข้าวใต้ต้นไม้แล้วก็นั่งเล่นมือถือ ฉันเข้าเน็ต...ดูเว็บโป๊ ฉันเกิดอารมณ์จนอดใจไม่ไหว ฉันเคยนึกถึงนังมิ้มบ่อยๆเพราะเขาเป็นคนขาว รูปร่างอวบสวยเหมือนพวกนางแบบที่ฉันดูในจอ...ตอนที่เ**กกิมยังทำร้านค้าอยู่ฉันชอบไปซื้อของและพูดจีบนังมิ้ม แต่ก็โดนด่ากลับมาทุกครั้ง” นายยอดเล่าพลางชำเลืองดูนางหมัยที่นั่งจ้องเขาเขม็งโดยมีป้าฉายกับป้าจำปาจับแขนไว้ ผู้ใหญ่บ้านซ่วงกับผู้ช่วยสองคนและลูกบ้านกลุ่มหนึ่งยืนคุมเหตุการณ์ “ฉันงุ่นง่านอยู่ข้างกำแพงพักใหญ่ แล้วฉันก็ตัดสินใจเหยียบหลังวัวปีนเข้าไปในบ้าน ฉันขึ้นกระไดไปเห็นม่อนนอนตาลอยอยู่ห้องกลาง แต่นังมิ้มไม่อยู่ที่นั่น ฉันเดินไปชะโงกดูในห้องก็เจอเขากำลังแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก ฉันพุ่งเข้าไปกอดเขาข้างหลัง เขาตกใจเหลียวมา พอเห็นชัดว่าเป็นฉัน เขาดิ้นหนี หยิบไม้กวาดมาฟาดและตะโกนให้คนช่วย” นายยอดก้มหน้าและเล่าต่อเสียงเบา “ฉันเลยจับแขนเขาไว้ทั้งสองข้างลากไปที่เตียง เขาตะโกนด่าฉันไม่หยุดปากและขู่ว่าจะไปฟ้องพ่อ และจะไปฟ้องตำรวจเรื่องที่ฉันขายยา.. .” “มึงเอายายัดตูดวัวจริงๆหรือ” ผู้ใหญ่สมจิตถามแทรกด้วยใบหน้าถมึงทึง นายยอดทำท่าหดหัวก่อนตอบเสียงเบา “ฉันเอายาเม็ดใส่ถุงพลาสติกเล็กรัดยางไว้และซ่อนในทวารวัวพวงเวลาเอาไอ้พวกนั้นไปลงลานข้ามจังหวัด...วัวมันไม่เป็นไรหรอกพ่อ แค่ไม่กี่ชั่วโมง...” นายยอดพูดไม่ทันจบผู้ใหญ่สมจิตกรากเข้าไป แต่นางเพ็ญผลักอกเขาออกมา ลุงอำนวยเข้าไปแตะแขนเขาไว้เป็นเชิงเตือนสติ “แล้วเอ็งทำยังไงเมื่อนังมิ้มบอกว่าจะไปฟ้องตำรวจ” จ่าแสงดึงเข้าประเด็น “ฉันท้าเขาให้รีบไปฟ้องเลย แล้วฉันก็เอามือถลกกระโปรงเขา เขาเอามือปัดแขนฉันออกและก้มกัดหูฉันไว้แน่น ฉันเจ็บจนหมดอารมณ์ ฉันตะโกนบอกนังมิ้มให้ปล่อย เขางับปากไว้ไม่ยอมพูดอะไรอีก ฉันกระชากหัวออกมา หูฉันฉีก ฉันโมโหก็เลยบีบคอนังมิ้มจนนิ่งไป” เมื่อนายยอดเล่าถึงตอนนี้ นางเพ็ญที่ยืนประคองลูกชายอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง นางมองหน้าเขาขณะปล่อยมือและถอยหลังไปยืนเกาะแขนผู้ใหญ่สมจิตเพื่อพยุงตัวไว้ นางหมัยเองก็ซบหน้าลงกับแขน ส่วนป้าจำปาและป้าฉายหลุดคำด่าออกมาชุดใหญ่ ไทยมุงส่งเสียงพึมพัมฟังไม่ได้ศัพท์ จ่าแสงยกมือห้ามไม่ให้ใครส่งเสียงอีก แล้วพยักหน้าบอกให้นายยอดเล่าต่อ “ฉันตกใจเพราะไม่นึกว่าเขาจะตายเอาง่ายๆ อย่างนี้ ฉันลุกขึ้นยืนคิดครู่หนึ่งแล้วก็แหงนไปเห็นคานไม้ใต้หลังคา ฉันมองหาผ้าผืนยาวในห้องแต่ไม่เจอ ฉันเลยวิ่งออกจากห้อง ผ่านม่อนที่นอนตาลอยอยู่ แล้วลงกระไดไปข้างล่าง เห็นเชือกไนล่อนขดอยู่ในกล่อง ฉันหยิบถือไว้และวิ่งกลับขึ้นบ้านเข้าไปในห้อง ฉันลากเก้าอี้มาและปีนขึ้นไปเอาเชือกร้อยบนคาน ตรงปลายทำห่วงคล้อง แล้วฉันก็ยกตัวนังมิ้มขึ้นแขวน ฉันถีบเก้าอี้ล้มลงให้ดูเหมือนว่านังมิ้มจงใจฆ่าตัวตาย จากนั้นฉันก็เช็ดรอยเลือดบนพื้นห้องและจัดเตียง หลังจากดูให้ทุกอย่างเข้าที่แล้วฉันออกจากบ้านปีนต้นไม้ข้ามกำแพงและต้อนวัวไปกินหญ้าที่อื่น” “แล้วเอ็งทำอะไรกับเจ้าหมิง” จ่าแสงซัก “...เย็นวันนั้นฉันขับรถพ่อไปหาไอ้หมิงที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ฉันชวนเขานั่งรถไปดูรำวงที่เมืองเพชร ฉันให้เขากินเหล้าผสมเม็ดลำโพง[1] พอเขาเริ่มเมาฉันก็จับกรอกปากจนสลบเหมือด จากนั้นฉันขับรถต่อไปที่หน้าหาดชะอำเหนือ เลือกที่เปลี่ยว ฉันจอดรถ แล้วอุ้มไอ้หมิงไปนอนพิงโคนไม้ไว้ มันดึกมากแล้ว ไม่มีใครเห็น แล้วฉันก็กลับ” นายยอดหยุดเล่าเมื่อมองเห็นสายตาของผู้คนที่ยืนรายรอบ เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง นางเพ็ญทำท่าเหมือนจะเป็นลม มีคนสอดเก้าอี้เข้ามาข้างหลังซึ่งนางก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง “แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมิงมันยังอยู่แถวนั้น ไม่ใช่ว่ามันตายไปแล้วเรอะ” จ่าแสงถาม “หลังจากวันนั้นฉันก็คอยดูข่าวว่าจะมีใครพบศพคนนอนตายที่ชายหาดบ้าง แต่ก็ไม่เห็นมีข่าวนี้ สองสามเดือนต่อมาฉันลองขับรถไปชะอำอีกครั้ง พอถึงหาดใต้ ฉันหาที่จอดรถในซอยและลงเดินไปตามถนนหน้าหาด แล้วฉันก็เห็นไอ้หมิงเดินบ้าอยู่แถวนั้น ผ้าผ่อนแทบไม่นุ่งเหมือนพวกฝรั่งที่ลงเล่นน้ำทะเล ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เขาหากินเศษอาหารที่พวกนักท่องเที่ยวกินเหลือและคุ้ยค้นถังขยะหยิบขวดน้ำขึ้นมาเทลงคอ ฉันแกล้งถามคนแถวนั้นว่าไอ้คนบ้านี่มาจากไหน เขาบอกว่ามาจากไหนไม่รู้ พูดจาไม่รู้เรื่อง บอกชื่อตัวเองไม่ได้ เอาแต่หัวเราะเฮะฮะๆ เดินหัวหาดยันท้ายหาดวันยังค่ำ กลางคืนก็นอนกับหมาแถวนั้น” ป้าหมัยนั่งนิ่งฟังสิ่งที่นายยอดพูด ใบหน้าของนางเปลี่ยนสีจากซีดเผือดเป็นสีเข้มด้วยอารมณ์หลากหลายที่ประดังเข้ามา “หลังจากคราวนั้นแล้วเอ็งได้เจอกับเจ้าหมิงอีกไหม” จ่าแสงถาม “ก็ช่วงปีใหม่นี่แหละ ฉันไปนั่งกินเหล้ากับพวกที่นั่น เห็นเขายังเดินๆ อยู่ ดูแข็งแรงดี ใส่เสื้อยืดลายๆ กางเกงวอร์ม เจ้าของร้านบอกว่าไอ้หนุ่มคนนี้นักท่องเที่ยวเขาเอ็นดู เพราะหน้าตาดี ไม่มีอันตราย พวกนั้นสั่งอาหารให้กิน ซื้อขนมซื้อน้ำให้อยู่เป็นประจำจนอ้วนท้วน บางคนให้เงินร้านอาหารไว้ให้ทำข้าวให้กินทุกวัน” เมื่อนายยอดหยุดพูด นางหมัยก็ขยับตัวก่อนเงยหน้าพูดกับคนที่ยืนมุงอยู่ด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “...สามปีที่แล้วหลังจากฉันเผานังมิ้มเสร็จ ไอ้ยอดเขาเข้ามาที่บ้านฉันและบอกกับฉันว่าเจ้าหมิงมันพลั้งมือฆ่าลูกตำรวจตายแล้วเผ่นหนีไปอยู่กับเพื่อนที่ระนอง เขาควักสร้อยพระของเจ้าหมิงมาส่งให้ฉันและบอกว่าเจ้าหมิงฝากมาให้เป็นหลักฐานว่ายังมีชีวิตอยู่ ไอ้ยอดบอกฉันว่าตอนนี้ตำรวจกำลังสืบกันอยู่จ้าละหวั่น ขอให้ฉันเงียบๆไว้เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าหมิงจะถูกวิสามัญ ฉันก็ขอบใจไอ้ยอดมันและรอฟังข่าว ตอนหลังมันมาบอกฉันว่าเจ้าหมิงหนีลงเรือประมงไปกับพวกพม่าแล้ว เป็นตายอย่างไรไม่รู้ ฉันก็เชื่อมันอีก ฉันไม่เคยคุยเรื่องนี้กับใครเพราะกลัวลูกจะตายถ้าตำรวจเขาเจอมัน ฉันนี่ทุกข์ใจทุกวันแต่ก็ไม่เคยบอกใคร” ป้าฉายและป้าจำปาใช้มือประคองนางหมัยไว้ เสียงพึมพัมของผู้คนดังขึ้นโดยรอบ พวกเขาค่อยๆเขยิบออกไปเมื่อฟังเรื่องราวจบ ผู้ใหญ่สมจิตจูงมือนางเพ็ญเดินเข้ามาหานางหมัย ทั้งสองคุกเข่าลงและพนมมือ ผู้ใหญ่เงยหน้าเอ่ยขึ้น “น้าหมัย ฉันเสียใจจริงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยกโทษให้ฉันด้วยที่ฉันเลี้ยงลูกไม่ดี” นางหมัยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะประคองมือผู้ใหญ่สมจิตและนางเพ็ญไว้ “ฉันยกโทษให้ ฉันไม่โกรธผู้ใหญ่กับน้าเพ็ญหรอก อันที่จริงแม่ฉันก็บอกไว้ตั้งแต่ตอนที่ฉันแต่งงานกับเ**กกิมว่าลูกฉันจะต้องมีอันเป็นไปทุกคน นี่มันเป็นสิ่งที่เขากำหนดมาแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนมาบอกมาจากด้านหนึ่งว่า “ตำรวจมาแล้ว” สิบห้านาทีจากนั้นนายยอดก็ถูกใส่กุญแจมือนำตัวออกไปโดยมีนางเพ็ญนั่งรถไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้านิลเทาที่ยืนอย่างสงบอยู่กลางลานสีเหลืองส่งเสียงร้องมอๆ ออกมา Footnote [1] ลำโพง (Datural metel L.) ต้นไม้มีพิษ ใช้ทำยาพื้นบ้าน ชาวบ้านมักนำดอกมาหั่นผสมยาสูบแก้หอบหืด หากบริโภคเกินขนาดจะทำให้มีอาการมึนเมา เกิดภาพหลอน วิกลจริต เพ้อคลั่ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม