ก่อนห้าโมงเย็นผมขับรถมาจอดริมรั้วกอไผ่อย่างที่เคยจอดเมื่อผมมาที่บ้านนี้ครั้งแรกต้นเดือนธันวาคม ความร้อนจากแสงแดดคลายตัวลง ผมก้มหยิบกิ่งไม้แถวนั้นมาถือไว้เมื่อได้ยินเสียงสุนัขเห่าเกรียวกราว
ผมเดินผ่านสุนัขกลุ่มนั้นไปโดยที่มันไม่ได้ทำอะไรมากกว่าเห่า เมื่อผ่านบ้านหลังแรกไปแล้วผมก็ได้ยินเสียงเด็กๆเอะอะเอ็ดตะโรสลับกับเสียงหัวเราะแว่วเข้าหูผม เด็กสามสี่คนนั่นน่าจะกลับจากโรงเรียนแล้วและไปเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านป้าหมัย ผมเดา
แต่เมื่อเดินผ่านบ้านที่สามไปถึงบ้านสุดท้าย ปรากฏว่าไม่มีเด็กที่ไหนอยู่ในบริเวณนั้น ผมมองบ้านป้าหมัยที่เปลี่ยนไปจากเดิม ใต้ถุนบ้านที่เคยโล่งกว้างบัดนี้กลายเป็นห้องใหญ่สำหรับอยู่อาศัย ผนังห้องที่เห็นด้านนอกทาสีฟ้าสด ประตูไม้บานใหญ่เปิดกว้างออก มีประตูมุ้งลวดปิดอยู่อีกชั้น เช่นเดียวกับหน้าต่างด้านข้าง เสียงเด็กหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาคงเล่นกันอยู่ข้างใน
ก่อนที่ผมจะส่งเสียงเรียก ผมก็ได้ยินเสียงจากบนบ้าน ผมแหงนหน้าดูเห็นป้าหมัยชะโงกตัวออกมาจากหน้าต่าง
“อ้าว มายังไง คุณเอกพล ฉันว่าจะโทรไปหาพอดี ใจตรงกัน”
ครึ่งนาทีจากนั้นป้าหมัยก็ลงกระไดมาพร้อมกับหอบผ้ากองใหญ่ในอ้อมแขน
“นี่ฉันนึกจะโทรหาคุณตั้งแต่เช้า แต่ก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย เข้ามา เข้ามา”
นางวางกองผ้าลงที่หน้าประตูแล้วเปิดมุ้งลวด ถอดรองเท้าแตะ ส่วนผมย่อตัวลงถอดรองเท้าผ้าใบวางแอบไว้ก่อนจะเดินตามป้าหมัยเข้าไปในห้องกว้างใหญ่ที่ต่อเติมโดยใช้พื้นที่ใต้ถุนบ้านตีผนังสี่ด้าน ปูกระเบื้องแผ่นใหญ่ ทำฝ้าเพดาน มีห้องน้ำอยู่สุดมุม มีประตูออกไปข้างนอกได้อีกหนึ่งประตู และมีเตียงเดี่ยวตัวหนึ่งตั้งอยู่ชิดตู้เสื้อผ้าที่มีกล่องผ้าอ้อมสำเร็จรูปของผู้ใหญ่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านบน
ริมหน้าต่างด้านทิศตะวันตกมีเตียงคนไข้แบบที่ใช้ในโรงพยาบาลตั้งอยู่โดยหันปลายเท้าไปทางทุ่งนาที่มองเห็นแปลงหญ้าและภูมิทัศน์อื่นๆ ขอบเตียงไขสูงระดับขอบหน้าต่างล่าง ที่นอนปรับระดับให้ผู้ที่อยู่ในนั้นนั่งในท่ากึ่งนอน ผมมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าและแขนด้านขวาที่ทอดอยู่ข้างลำตัว มีเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กเหมือนเด็กวัยสิบขวบดังมาจากเตียงนั้น
ป้าหมัยเดินไปออกแรงเข็นด้านหัวเตียงให้เลื่อนเอียงขนานกับหน้าต่าง ภาพชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาสวมกางเกงบ๊อกเซอร์ ขาสองข้างลีบเล็กปราศจากมัดกล้าม เสื้อยืดสีหม่นที่เขาสวมมีรอยเปียกตรงช่วงอกจากน้ำลายที่ย้อยไหลผ่านมุมปากลงไป
“นี่เจ้าม่อนลูกชายคนโตของฉัน”
ป้าหมัยพูดพลางหยิบผ้าขนหนูข้างตัวเขาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ชายหนุ่มผู้เริ่มเปล่งเสียงหัวเราะเหมือนเด็กหลายคนกำลังเล่นกัน ริมฝีปากเขาเผยอเล็กน้อย ผมจ้องมองสิ่งที่เห็นอย่างประหลาดใจ ส่วนท้องและลำคอของเขากำลังขยับเคลื่อนไหวพร้อมกับลิ้นในปากที่เผยอ มีเสียงป้าหมัยตะโกนเรียกชื่อเด็กบางคนแทรกผสมมากับเสียงหัวเราะที่ออกมาจากริมฝีปากนั้น
ผมเลื่อนสายตาไปมองป้าหมัยผู้กำลังเปิดตู้และหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาวางบนโต๊ะด้านหัวเตียงโดยไม่สนใจกับเสียงที่ได้ยิน
“ตอนหัวค่ำต้องเช็ดตัวให้เขาก่อนนอน”
นางพูดแล้วเดินไปยกเก้าอี้พลาสติกแบบมีพนักพิงมาวางใกล้ประตูมุ้งลวดและชี้ให้ผมนั่ง ส่วนนางลากเก้าอี้เตี้ยมาตั้งใกล้ปลายเตียงลูกชาย
ผมมองชายผิวขาวนวลผู้เอนตัวอยู่บนเตียง เขาขยับศีรษะที่ค่อนข้างผิดรูปมองผ่านผมไป สายตาคู่นั้นเลื่อนลอยเหมือนคนที่จมอยู่ในภวังค์
“เขาเหมือนพ่อเขา เ**กกิมก็ขาวสวยอย่างนี้แหละ”
ป้าหมัยมองผมอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อขณะที่ผมยังนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เห็น
“ช่วงหลังๆ ฉันขาแข้งไม่ค่อยดีแบบเดียวกับแม่ฉัน ขึ้นลงกระไดวันละหลายเที่ยวไม่ค่อยจะไหว ฉันเลยจ้างคนมาต่อห้องใต้ถุนนี่ แล้วก็ย้ายเจ้าม่อนลงมานอนในนี้ ค่อยสบายหน่อย ครัวก็ย้ายมาอยู่ห้องข้างหลังนี่เลย ข้างบนเอาไว้เก็บของ บางทีพวกหลานๆ มาฉันก็ไล่ให้ขึ้นไปเล่นบนนอกชาน ไม่ให้มายุ่งแถวนี้ เกะกะ ตอนนี้พ่อเขาขับรถพาไปกินพิซซ่ากันที่ปั๊มปตท.สระพัง”
“อ้อ ครับ”
ผมตอบพลางมองไปที่ชายหนุ่มบนเตียงผู้ซึ่งกำลังขยับท้องและลำคอเปล่งเสียงเป็นคำพูดของหญิงคนหนึ่งซึ่งฟังคล้ายตะโกนเรียกมาจากนอกบ้าน “ตั้ม แตง มาอาบน้ำกินข้าวได้แล้ว เล่นกันจนเย็นค่ำไม่รู้จักเกรงใจยาย” จากนั้นมีเสียงเด็กตอบไปว่า “เดี๋ยวก่อน แม่ ยังเล่นไม่เสร็จ” เสียงผู้หญิงตะโกนกลับมาว่า “ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วไม่มา โดนไม้เรียวแน่” เมื่อจบคำพูดก็เป็นเสียงตึงตังๆ คล้ายเสียงวิ่งของเด็กหลายคน ซึ่งเสียงทั้งหมดที่ผมได้ยินนั้นเปล่งอออกมาจากปากบนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาเลื่อนลอย ผมเห็นลิ้นในปากของชายพิการขยับไปมาพร้อมกับลำคอขมวดเกร็งแล้วคลายออกเหมือนลูกคลื่น ผมนึกถึงการแสดงโชว์ในรายการประเภทก็อตทาเลนท์ของพวกฝรั่งที่ให้หุ่นเชิดของพวกเขาพูดเป็นเสียงของผู้คนต่างๆ โดยที่ตนเองไม่ขยับริมฝีปาก ลูกชายป้าหมัยคงใช้วิธีคล้ายคลึงกันในการเปล่งเสียง
ป้าหมัยมองลูกชายแล้วก็หันกลับมามองผมก่อนจะถาม
“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า หรือมาเยี่ยม เมื่อเช้าที่ฉันนึกจะโทรหาคุณ คือฉันจะบอกว่าอาทิตย์หน้าฉันจะเชิญคุณมากินเลี้ยงที่นี่ พวกญาติบ้านข้างหน้าฉันสี่หลังและพวกข้างในอีกกว่าสิบหลังเขาจะทำพิธีไหว้ผีตายาย... ถ้าเรียกให้เพราะๆ แบบคนกรุงเทพฯก็คงว่าเป็นพิธีทำบุญให้บรรพบุรุษอะไรทำนองนั้น แต่พวกเราทางนี้พูดง่ายๆ ตรงๆ ว่าเลี้ยงผีตายาย สองสามปีเขาทำครั้งหนึ่ง ครั้งที่แล้วเว้นไปช่วงแม่ฉันตาย คราวนี้ฉันจะทำแทนแม่ เอาเจ้าม่อนออกมาทำพิธีด้วยจะได้อยู่ดีมีสุข เอ้อ เดี๋ยวจะลืม คุณขับรถมาถึงนี่มีอะไรหรือ”
“อ้อ ครับ ผมจะมาถามเรื่องแนวท่อประปาที่สวนหลังบ้าน คือผมกำลังปลูกไม้ดอกเพิ่มและจะทำก๊อกน้ำอีกสักสองจุด ผมกลัวจะขุดลงไปโดนท่อแตก เลยมาถามคุณป้าครับ”
ผมควักภาพสวนหลังบ้านที่ผมสเก็ตช์ไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้ป้าหมัยดู ซึ่งนางขมวดคิ้วและหยีตามองพร้อมกับทำท่าคิดก่อนจะลากนิ้วไปตามแนวกำแพงด้านหนึ่ง ผมสอบถามป้าหมัยอีกสองสามอย่างก็เป็นอันเสร็จธุระ
ป้าหมัยเอามือยันหน้าขาแล้วลุกขึ้น ผมมองนาฬิกาข้อมือ ห้าโมงครึ่งแล้ว ผมควรกลับบ้านเสียที ป้าหมัยทำท่าปัดไม้ปัดมือเตรียมทำงานต่อ
“เอาละ เดี๋ยวฉันต้องป้อนข้าวลูกชาย เขากินข้าวตรงเวลา ต้มข้าวไว้ตั้งกะบ่าย นี่ ตกลงว่าอาทิตย์หน้าวันที่ 7 คุณมากินเลี้ยงที่นี่นะ เขามากันทุกบ้าน คุณไม่ต้องกลัวจะเหงา พวกคนเฒ่าคนแก่คงมาเยอะ คนซ่วงทำอาหารเลี้ยงไม่ต้องกลัวไม่อร่อย อ้อ ผู้ใหญ่สมจิตก็จะมาด้วย เขาจะเอาวัวมาฆ่าหลอกผี คือไม่ได้ฆ่ามันจริงๆหรอก ทำพิธีบอกกล่าวแล้วเอาเลือดป้ายคอมันเท่านั้น แต่เมื่อก่อนน่ะฆ่าจริงทั้งวัวทั้งควาย ตอนหลังทางอำเภอเขาห้าม ก็เลยเอาตัวหนึ่งไปเข้าโรงเชือดแล้วให้ชำแหละมาส่ง เราก็ปักธูปบอกเสียก่อนจะทำอาหาร ส่วนไอ้ที่มาทำพิธีนี่ก็อีกตัว ผู้ใหญ่เขาเอาวัวตัวสวยๆมาร่วมงานทุกครั้ง ไอ้ตัวไหนที่เข้าพิธีนี่พอเอาไปลงลานแล้ววิ่งเหมือนผีเข้า ลากตัวอื่นถูลู่ถูกัง ผู้ใหญ่เขาก็ชอบ”
“อ้อ ครับ”
ผมลุกขึ้นเตรียมลาป้าหมัย ก่อนออกจากห้องผมหันไปโบกมือให้ชายหนุ่มที่นั่งเอนหลังบนเตียงและพูดกับเขาว่า
“ไปละครับม่อน อาทิตย์หน้าเจอกัน”
ดูเหมือนเขาไม่ได้ยินและไม่รับรู้สิ่งที่ผมพูด
ขณะที่ผมนั่งสวมรองเท้าผ้าใบอยู่หน้าห้องโดยมีป้าหมัยยืนหอบกองผ้าไว้ในมือ นางก็คุยต่อ
“ผ้าพวกนี้เตรียมไว้ใช้อาทิตย์หน้า ต้องเอามาแต่งปะรำ คุณเอกพลอย่าลืมมานะ”
“ครับ ผมจะมาแน่นอนครับ” ผมบอกแล้วลุกขึ้นยกมือไหว้ลาป้าหมัย
ก่อนคล้อยหลังออกจากชายคาบ้านป้าหมัยผมก็ได้ยินเสียง “ไปละครับม่อน อาทิตย์หน้าเจอกัน” ซ้ำสองครั้งดังออกมาจากในห้อง มันคือเสียงของผม
*** ***
ผมขับรถถึงบ้านหลังหกโมงเย็น เมื่อเปิดประตูเหล็กเอารถไปจอดใต้ต้นกระท้อนสูงใหญ่อันเป็นที่จอดประจำแล้วผมก็เดินเข้าไปชะโงกมองหาปานที่โรงเก็บของหลังใหม่ที่เพิ่งเสร็จจากการทาสี รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขายังจอดอยู่ ปกติเขาเลิกงานกลับบ้านประมาณห้าหรือหกโมงเย็น
“ปาน” ผมเรียก
ไม่มีเสียงตอบ
ผมเดินกลับไปที่รถเพื่อเตรียมขนของลง ทันใดนั้นไม้กลมท่อนยาวประมาณหนึ่งฟุตที่มัดเชือกไว้ก็ดิ่งพรวดลงตรงหน้าผมพอดี ผมแหงนมองขึ้นไปเห็นปานยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ เชือกเส้นนั้นคล้องอยู่กับรอกที่แขวนอยู่บนกิ่งเหนือหัวของเขา
“ขึ้นมาพี่เอก” ปานก้มลงมาเรียกผม “ดูพระอาทิตย์ตกกัน เดี๋ยวไม่ทันเห็นนะ”
ผมยืนเท้าสะเอวมองท่อนไม้ที่ถูกเชือกมัดไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา ผมเคยเล่นแบบนี้มาก่อนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชาย ผมแหงนหน้ามองปานอีกครั้ง แล้วผมก็สอดท่อนไม้กลมเข้าไปหว่างขาสองข้างและหย่อนก้นในท่านั่ง สองมือจับเชือกในท่าโหน ผมยังไม่ทันตั้งตัวดีก็ถูกชักรอกลอยหวือขึ้นจากพื้น ไม่กี่วินาทีผมก็ขึ้นไปถึงกิ่งใหญ่ที่ปานยืนจับเชือกเส้นนั้นไว้ ผมเกาะกิ่งไม้เล็กๆ ยืนอยู่ข้างเขา ทิศตะวันตกอยู่ด้านหน้าที่เรายืนอยู่
ปานลดตัวลงนั่งบนกิ่งใหญ่ที่เขายืนอยู่ ผมกระเถิบตัวเข้าไปนั่งห่างจากปานไม่มาก มือสองข้างจับกิ่งไม้เล็กที่ยื่นอยู่ตรงหน้า เราสองคนต่างมองไปยังภาพพระอาทิตย์ที่กำลังตกลับฟ้าเหนือเทือกเขาไกลลิบ
ผมไม่เคยลืมวันที่ปานชวนผมไปเอาน้ำผึ้งป่าเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา วันที่ผมทำท่าเหาะเป็นซูเปอร์แมนและหมดสติไป มารู้สึกตัวอีกเมื่อนอนอยู่โคนไม้แล้ว
เรื่องราวที่กลุ่มผู้สูงอายุคุยกันในรถผมเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ถอยออกไปอยู่มุมในสุดของสมองส่วนความทรงจำ มันไม่มีผลอะไรกับผม สำหรับปาน ผมเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรอย่างที่ป้าฉายและป้าจำปาพูดให้ผมฟัง มันเป็นเพียงเรื่องซุบซิบไร้สาระ
“เราลงไปกันเถอะ” ผมพูดขึ้น
“พี่เอกลงไปเลย” ปานพูด เขารั้งเชือกไว้ จากนั้นค่อยๆ ปล่อยร่างผมลงจากต้นไม้อย่างนุ่มนวล นาทีต่อมาเขาก็ลงมายืนบนพื้น
“เมื่อกี้ผมแวะไปบ้านป้าหมัย แกบอกจะจัดกินเลี้ยงไหว้บรรพบุรุษที่ชุมชนบ้านซ่วงอาทิตย์หน้าวันที่ 7”
ผมละไว้ไม่ได้บอกปานถึงเรื่องที่ไปส่งลุงอำนวย จ่าแสง ป้าเล็ก ป้าตุ้ม ป้าฉาย และป้าจำปาที่วัดทองไก่แก้ว
“ผมไม่ไป”
ปานพูดราวกับรู้ว่าผมกำลังชวนเขาไปเป็นเพื่อน เงาดำจากกิ่งไม้ทาบเสี้ยวหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ ผมมองข้อมือที่กำลังขยับ มืออันแข็งแกร่งคู่นั้นกำลังม้วนขดเชือกที่เขาเล่นชักรอกผมขึ้นลงต้นไม้เมื่อครู่ แวบหนึ่งของความคิดมีสิ่งที่ป้าฉายเล่าในรถผุดขึ้นมา ผมกะพริบตาและก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว ปานจ้องผมและยืนถือเชือกนิ่ง เขารู้ทันทีว่าผมได้ยินสิ่งที่ชาวบ้านพูดถึงเขาอย่างไร
ปานหันหลังเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ โยนเชือกโครมลงในกระบะข้าง เขาควักพวงกุญแจออกมาถือไว้ แล้วถอดลูกกุญแจออกมาดอกหนึ่ง เขาเดินไปวางกุญแจดอกนั้นลงบนขั้นบันไดบ้าน จากนั้นก็เดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทเครื่องแล่นออกถนนไปโดยไม่หันมามองหน้าผม
ผมมองตามหลังผอมๆ ของเขาไปในความสลัวหม่นยามค่ำ