บทที่ 6 เรื่องเล่าในรถ
วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เวลาบ่ายสอง
“ผมจะไปซื้อของที่เขาย้อยนะ” ผมตะโกนบอกปานที่ง่วนอยู่กับการทาสีโรงเก็บของที่ปลูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ หลังบ้านเพื่อเก็บเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
ช่วงนี้ผมกำลังลงมือปลูกไม้ดอกอีกหลายชนิด ผมอยากเห็นสีสันลานตาที่สวนหลังบ้านในช่วงฤดูร้อน มีบางครั้งผมหวนนึกถึงการจัดซุ้มดอกไม้งานต่างๆ ที่ผมและทีมงานเคยเข้าไปตกแต่งตามห้องในอาคารห้างสรรพสินค้าและโรงแรม ซึ่งวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นของบอบบาง หลอกตา ใช้ครั้งเดียวก็ทิ้งไปไม่อาจนำมาใช้ซ้ำ ดอกไม้นำเข้าจากต่างประเทศสวยงามนับร้อยนับพันดอกที่สั่งซื้อมาในราคานับหมื่นนับแสนบาทตามงบประมาณผู้จ้าง เมื่อหมดหน้าที่มันก็กลายเป็นขยะเน่าเหม็น ผมอยู่กับงานเหล่านั้นมากว่าห้าปีและนึกสงสารดอกไม้ทุกครั้งที่เห็นวาระสุดท้ายของพวกมันที่ลงไปนอนบิดร่างกองสุมกันในถุงดำใบใหญ่ หลายดอกยังหายใจรวยรินพร้อมจะมีชีวิตต่อไปถ้าได้น้ำ
ที่บ้านนี้ผมจะไม่ฆ่าเพื่อนดอกไม้ด้วยการตัดพวกมันไปทรมานในแจกันสวยหรือแขวนห้อยบูชายัญตามแบ็กดร็อปถ่ายรูป ผมจะปล่อยให้มันเติบโตอยู่กับต้น
ผมชะโงกมองปานอีกครั้งขณะเดินไปขึ้นรถ เกือบสองเดือนที่ผมและปานใช้เวลาด้วยกันแทบทุกวันกับการซ่อมบ้าน ตั้งแต่ประตู หน้าต่าง และทาสีประตูเหล็กด้านหน้า ตัดกิ่งไม้ กำจัดวัชพืช ขุดหลุมเตรียมปลูกต้นไม้ดอกที่ผมไปหามา
หลังกลับจากซื้อของวันนี้ผมตั้งใจจะแวะไปหาป้าหมัยที่ชุมชนบ้านซ่วงเพื่อสอบถามว่าในบริเวณสวนหลังบ้านมีการเดินท่อประปาไว้ตรงไหนบ้าง เพื่อที่ผมจะได้ต่อก๊อกทำระบบรดน้ำต้นไม้
ผมถอยรถตู้ในลานหน้าบ้านที่ปูอิฐเป็นลวดลายกลีบดอกไม้และเดินหน้าออกจากประตูเหล็กที่เพิ่งทาสีใหม่เป็นสีเขียวเข้ม
ระยะทางจากหมู่บ้านโคชนะไปปากทางเขาย้อยคือสิบแปดกิโลเมตรซึ่งผมขับรถออกไปซื้อของแทบจะทุกสองสามวัน บางครั้งก็ขับต่อไปยังตัวเมืองเพชรบุรีที่อยู่ห่างออกไปอีกยี่สิบห้ากิโลเมตร
ก่อนถึงสี่แยกใหญ่ ผมเห็นกลุ่มคนหกคนสวมชุดดำยืนอยู่ข้างรถคันหนึ่งที่เปิดฝากระโปรงหน้าไว้ เมื่อเข้าไปใกล้ผมก็เห็นว่าเป็นป้าเล็ก จ่าแสง ป้าตุ้ม ป้าฉาย และป้าจำปาที่ต่างยกมือป้องหน้าบังแดดที่สาดแสงร้อนแรง ส่วนลุงอำนวยกำลังก้มๆ เงยๆอยู่กับเครื่องยนต์
ผมจอดรถริมถนนและตะโกนถามก่อนลงจากรถเดินไปที่กลุ่มคนทั้งหก
“จะไปไหนกันครับ”
“แหม่ มาได้ถูกจังหวะ นี่น้าเอก พอจะแก้เครื่องยนต์เป็นไหม จะรีบไปเผาศพ ไอ้แก่ก็มาตายเสียตรงนี้”
ป้าเล็กผู้เป็นภรรยาของลุงอำนวยส่งเสียงตอบอย่างดีใจ ขณะที่ป้าตุ้ม ป้าฉาย และป้าจำปายืนมองผมด้วยสายตามีความหวัง ความร้อนของแดดจ้าทำให้ชุดดำที่ผู้สูงอายุทั้งหกสวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เมื่อกี้ก็ว่าจะติดรถผู้ใหญ่ไป แต่ตานวยนี่สิบอกให้รอไปด้วยกัน ไอ้รถคันนี้มันวิ่งบนถนนเรียบได้ที่ไหน ถ้าได้ลงทุ่งนาไปลานวัวละก็วิ่งฉิว” จ่าแสงพูดพลางหัวเราะหึๆ
“สงสัยจะต้องรื้อละมั้ง” เสียงเจ้าของรถบ่น
“จะไปถึงไหนกันครับเดี๋ยวผมไปส่ง”
ผมพูดแล้วก็เข้าไปยืนด้านข้างลุงอำนวยและชะโงกมองเครื่องยนต์ที่ผมเองไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้เลย
“ไปวัดทองไก่แก้วที่หัวสะพานโน่นแน่ะน้าเอก ไปเผาศพสมาชิกชมรมนี่แหละ บ้านจริงเขาอยู่หัวสะพาน มาได้กับคนห้วยกระทบนี่ ตายบ้านนี้แต่เมียเขาเอาไปเผาที่โน่น” ป้าตุ้มอธิบายพลางปาดเหงื่อที่ย้อยลงข้างลำคอเหี่ยวย่น
“เขาจะเผาบ่ายสาม เดี๋ยวจะไปไม่ทันกัน โอ้ๆเอ้ๆอยู่นี่แหละ” ป้าฉายบ่น
“หัวสะพานตรงทางไปเพชรนะ ไม่ใช่หัวสะพานบ้านเรา” ป้าตุ้มบอกผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “จะเสียเวลาน้าหรือเปล่า”
“ตำบลหัวสะพาน ต้องบอกอย่างนี้คนกรุงเทพฯเขาจะได้เข้าใจ” ลุงอำนวยพูด
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเวลา ไม่ต้องเกรงใจ รถคุณลุงจอดทิ้งไว้อย่างนี้คงไม่หายนะครับ” ผมถาม
“แหม่ ใครมันเอาไปได้ก็ให้มันไปเหอะ อย่าเอามาคืนก็แล้วกัน”
ป้าเล็กพูดพลางหันไปค้อนลุงอำนวยที่เดินมาดึงกุญแจรถออกและเก็บใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่พูดไม่จา ขณะที่จ่าแสงและป้าตุ้ม รวมทั้งป้าจำปาและป้าฉายต่างกุลีกุจอคว้ากระเป๋าถือจากในรถกระบะสองตอนคันนั้นแล้วเร่งฝีเท้าเดินมาที่รถตู้ของผม
“เชิญครับ” ผมเปิดประตูรอคนทั้งหก
“แหม่ นี่โชคดีจริงๆ เลยที่น้าเอกผ่านมาเจอ” ป้าเล็กรำพันก่อนจะถลกกระโปรงก้าวขึ้นรถ
“ผมโชคดีมากกว่ามั้งครับเพราะจะได้ไปเที่ยววัดที่ไม่เคยไป” ผมพูดเพื่อให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ อันที่จริงผมเองก็รู้สึกสนุกที่จะได้ไปในที่แปลกๆบ้าง
“ไปออกเส้นเขาย้อย เข้าเพชรเกษม ลงใต้ไปทางเมืองเพชร จนถึงหัวสะพานแล้วเลี้ยวซ้าย เดี๋ยวลุงจะบอกอีกทีตอนใกล้ถึง” เสียงลุงอำนวยพูดจากที่นั่งหลังสุด
“จากทางแยกก็ไปต่ออีกแค่สองกิโล ส่งพวกเราที่วัดแล้วคุณเอกพลก็กลับได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วง มีรถจากห้วยกระทบไปหลายคัน เดี๋ยวเรากลับกับพวกนั้นได้ รถผู้ใหญ่ก็น่าจะว่าง ถ้าแกไม่เอาวัวไปด้วยน่ะนะ” จ่าแสงพูดพลางควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้า
“ครับลุง” ผมตอบ จ่าแสงและผมเคยคุยกันมาก่อนตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผมอาสาขับรถรับผู้สูงอายุไปส่งถึงหอประชุมที่โรงพยาบาลประจำตำบล และผมพบแกอีกทีก็ที่สนามวัวลานสองสัปดาห์ที่แล้ว
“แอร์เย็นฉ่ำเลยรถคันนี้” ป้าจำปาถอนหายใจอย่างมีความสุขเมื่อพ้นแดดยามบ่ายมาได้
“ปรับแอร์ได้นะครับ อยู่ด้านบน” ผมบอกจากที่นั่งคนขับ
“แค่นี้ก็สบายแล้วน้าเอก ขอบใจมาก” ป้าตุ้มพูดตอบ
เมื่อเงียบกันไปพักหนึ่ง จู่ๆ ป้าฉายเอ่ยปากถามผมว่า
“นี่น้าเอก บ้านเ**กกิม เอ๊ย บ้านหลังนั้นน่ะ นอนหลับดีไหม”
“ดีครับป้า” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด แม้จะไม่ค่อยเข้าใจที่มาที่ไปของคำถาม จากนั้นป้าตุ้มก็ชะโงกตัวมาทางผมแล้วเอ่ยเสียเบาเหมือนกระซิบ แต่ทุกคนในรถได้ยิน
“ป้าถามอะไรหน่อยเหอะ อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลย น้าเอกนึกอย่างไรถึงมาซื้อบ้านเ**กกิมอยู่ คือจะพูดก็พูดละนะ บ้านนั้นน่ะใครเขาก็กลัว ป้าเห็นน้าเอกอยู่ได้ก็แปลกใจ สงสัยจะมีของดีติดตัว”
“นี่ ยายตุ้ม แกรู้จักรักษามารยาทบ้าง นั่งรถเขาอยู่แท้ๆ ยังจะมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรเจ้าของรถ” จ่าแสงสะกิดเตือน
“ต้องขอโทษคุณเอกพลด้วยนะ พวกบ้านเราก็อย่างนี้ ปากไม่มีหูรูด” จ่าแสงพูดพลางมองหน้าภรรยา
คำถามของป้าตุ้มทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำถามของป้าฉายที่ถามผมว่านอนหลับดีไหม ผมมองกระจกส่องหลังและตอบด้วยเสียงชัดเจน
“ไม่เป็นไรครับคุณลุงคุณป้า เราคุยกันไปเรื่อยๆอย่างนี้ก็ดีครับ” ผมทบทวนความจำนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ “คือผมมาหาผู้ใหญ่เมื่อต้นเดือนธันวาจะหาบ้านเช่า แต่พอขับรถผ่านบ้านหลังนี้ผมก็รู้สึกชอบเพราะมันร่มรื่นดี บริเวณก็กว้าง ตอนหลังผมไปหาป้าหมัยจะขออนุญาตเข้าไปดูข้างใน ป้าหมัยเขาก็คุยเรื่องที่เกิดในบ้านนั้นให้ผมฟังโดยไม่ปิดบัง ผมฟังไปเฉยๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะซื้อ แต่พอป้าหมัยบอกราคาบ้าน ผมชักสนใจ
“พอผมเคลียร์เรื่องเงินเรื่องงานลงตัวแล้วก็มาขอซื้อช่วงปลายธันวาและทำสัญญา จากนั้นหลังปีใหม่ผมจึงย้ายเข้ามาอยู่ ส่วนเรื่องมีของดีอะไรติดตัวนั่น ผมไม่ได้คล้องแม้แต่สร้อยพระ มีแต่สวดมนต์ก่อนนอนเพราะคุณแม่ผมสอนให้ทำตั้งแต่เด็ก ที่บ้านนี้ผมไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวนะครับ มีก็แต่พวกงูตัวเล็ก ตะขาบ แมงป่อง โชคดีปานเขามาทำงานที่บ้านเกือบทุกวัน เขาก็จับเอาไปปล่อยที่ป่า ช่วยผมได้เยอะ เขาเก่งหลายอย่าง”
“อ้อ” ป้าตุ้มเริ่มขยับปากเหมือนจะเตรียมพูด แต่ช้ากว่าป้าจำปาที่โพล่งถามออกมา
“เจ้าปานนี่มันเก่งนะเรื่องพวกนี้ แต่บางคนเขาไม่เอ็นดูมันเหมือนน้าเอกหรอก”
“อืม อย่างนั้นหรือครับ” ผมตอบอย่างใช้ความคิด
ผมเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าปานไม่สุงสิงกับใครที่ไหน และคนที่ผ่านหน้าบ้านผมไปมาก็ไม่ค่อยทักทายปานแม้เมื่อเห็นเขายืนทาสีประตูเหล็กหน้าบ้าน
“ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่ามันเรื่องอะไร”
ผมเอ่ยปากและมองกระจกหลังแวบหนึ่งเพื่อดูว่าใครจะเป็นคนบอกเล่า ผมชะลอความเร็วลงเมื่อรถบรรทุกพ่วงแล่นด้วยความเร็วสวนมา เสียงลุงอำนวยด่าคนขับรถบรรทุกคันนั้นดังเข้าหูทุกคน
“น้าเอกอยากฟังจริงๆหรือ” ป้าฉายสบช่องกับคำถามของผม
“อยากฟังซีครับ ป้า ผมอยากรู้จักปานให้มากขึ้น เขาไม่เคยคุยอะไรให้ผมฟังเลย” ผมตอบขณะที่รถกำลังเข้าสู่เขตเขาย้อย
“เอาๆๆ ถ้ายายฉายไม่เล่า ฉันเล่าเอง คันปากมานานแล้วที่เห็นไอ้ปานเข้าออกบ้านน้าเอกยังกะเป็นเจ้าของ” ป้าจำปาส่งเสียงแซม
“คืออย่างนี้ ถามหน่อย น้าเอกรู้เรื่องนังมิ้มที่ผูกคอตายในห้องนอนแล้วใช่ไหม ยายหมัยแกบอกหรือเปล่าก่อนขายบ้าน”
“อ๋อ บอกครับ ป้าหมัยเขาบอกผมทุกอย่างครับเรื่องที่สามีเขาป่วยตายในบ้าน และไม่นานจากนั้นลูกสาวก็ เอ่อ ผูกคอตาย” ผมตอบ
“น้าเอกรู้ไหม นังมิ้มมันไม่ได้ผูกคอตายเองหรอก มันถูกคนจับแขวน”
ป้าจำปาทำท่าป้องปากพูด จ่าแสงมองตาผมทางกระจกมองหลังแล้วสั่นหน้าเป็นเชิงขอโทษที่เพื่อนร่วมก๊วนผู้สูงอายุของเขานำเรื่องนี้มาพูด ผมยิ้มให้แกเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ผมฟังได้หมด แต่ประโยคที่ผ่านหูผมไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาทำให้ผมอยากรู้ว่าปานมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ผมปรับแอร์ให้เพิ่มความเย็นเพราะแสงแดดจัดจ้าในเวลาเกือบบ่ายสองทำให้อุณหภูมิในรถเพิ่มขึ้น
“เขาก็พูดๆ กันว่าไอ้ปานนี่แหละทำ” ป้าฉายแย่งนางจำปาพูด
“นี่ยายฉาย แกอย่าปรักปรำใครไม่มีหลักฐาน ตารางนะถ้าเขาฟ้องขึ้นมา” จ่าแสงเตือน
“เอ๋า ก็เราพูดกันอยู่ในรถใครจะได้ยิน หรือแกจะจับข้า” ป้าฉายเถียง
“เฮอะ ข้าจับยายตุ้มคนเดียวก็เหลือเฟือแล้ว”
จ่าแสงพูดพลางชำเลืองมองคนที่ถูกพาดพิง ส่วนนางฉายอ้าปากจะต่อคำ ผมเห็นว่าเดี๋ยวจะออกนอกเรื่องกันไปไกลจึงรีบพูดขึ้นขณะประคองพวงมาลัยรถเลี้ยวโค้งเข้าสู่ถนนสายรองก่อนถึงถนนเพชรเกษม
“เล่ามาเถอะครับป้า ผมไม่ได้อัดเทปไว้ ไม่ต้องห่วง เรื่องทั้งหมดนี่ผ่านมาหลายปีแล้วใช่ไหมครับ” ผมพูด
“สักสามสี่ปีแหละ” ลุงอำนวยตอบ
ป้าเล็กบอกเพิ่ม “เ**กกิมแกตายเดือนเมษาห้าเก้า ข้าจำได้ แล้วนังมิ้มตายเดือนหก”
ป้าฉายและทุกคนพยักหน้าเมื่อป้าเล็กพูดจบ ตอนนั้นผมมาถึงสามแยกเขาย้อยและเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กผ่านทุ่งนา ผมแล่นรถไปยูเทิร์นลอดอุโมงค์ใต้ถนนเพชรเกษมเพื่อมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ไปตำบลหัวสะพาน
“ลอดอุโมงค์แล้วตรงไปเรื่อยๆนะคุณเอกพล สักสิบห้ากิโล เมื่อถึงทางเลี้ยวลุงจะบอกทางอีกที” ลุงอำนวยพูด
“ครับ” ผมตอบพลางเงี่ยหูฟังเรื่องที่ป้าฉายเริ่มเล่า
“มันก็อย่างนี้นะน้าเอก เมื่อก่อนไอ้ปานเขาทำงานที่ร้านเ**กกิม เขาจ้างมันแบกของขึ้นรถลงรถ พวกกระสอบข้าว กระสอบปุ๋ย ลังน้ำอัดลม สินค้าที่มาเป็นกล่องใหญ่ๆ อะไรพวกนี้ แล้วก็ให้มันขี่รถส่งของ รถพ่วงข้างคันนั้นแหละ...ไอ้ปานมันคนบ้านซ่วง เป็นญาติดองกับยายหมัย...แม่มันไปได้กับคนดอนกรวด ไอ้เปรียว-พ่อไอ้ปานน่ะติดเหล้า เข้าบ่อน แต่ก่อนทำงานเป็นช่างก่อสร้าง ถูกผู้รับเหมาไล่ออกเพราะเล่นไพ่จนเสียงาน มีที่นามรดกผืนใหญ่ พ่อมันก็เอาไปขายใช้หนี้ เหลือแต่บ้านไว้ซุกหัวนอน แม่มันป่วยตายไปตั้งตะมันยังเล็ก
“ไอ้ปานเรียนจบประถมแล้วไม่ได้เรียนต่อ ตอนยังไม่โตดีมันไปรับจ้างเขาเลี้ยงวัวหาสตางค์ใช้ ตอนหลังพอโตขึ้นมันก็เข้าป่าไปหาน้ำผึ้ง มันไปของมันคนเดียวไม่มีใครสอน ครึ่งค่อนวันก็ได้น้ำผึ้งมาเป็นถัง คนบ้านเราก็มีพวกตีผึ้งเก่งๆ แต่ไม่มีใครได้น้ำผึ้งอย่างดีเท่าไอ้ปาน มันไม่บอกใครด้วยว่าไปหาที่ไหนมา บทจะเข้าป่ามันก็ไปของมันเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก นานๆ มันจะไปเอามาสักครั้ง มีคนเคยถามว่าทำไมไม่ไปเอามาขายบ่อยๆจะได้รวยๆ มันบอกว่าจำเป็นจะใช้เงินค่อยไปเอา
“ทีนี้พอเ**กกิมเขามาปลูกตึกทำร้านที่หมู่บ้านเรา ยายหมัยแกก็เรียกไอ้ปานไปเป็นลูกจ้างช่วยนังมิ้ม ไอ้ปานก็ไปทำ นังมิ้มใช้ให้ไอ้ปานทำอะไร มันก็ทำ ไม่มีปริปาก นังมิ้มเสียอีกที่ปากร้าย พูดจาข่มขู่ไอ้ปานตลอด เขาถือตัวว่าเป็นลูกสาวเถ้าแก่ เวลาสั่งงานก็สะบัดเสียงใส่ เ**กกิมเขาก็เตือนลูกเขานะว่าให้พูดกันดีๆ เพราะคนงานที่ไว้ใจได้น่ะหายาก วัยรุ่นบ้านเรานี่ติดยากันทั้งนั้น ขี้ลักขี้ขโมย มือไวใจเร็ว เล่นไฮโลกันทุกคืน ของตามบ้านนี่หายไม่เว้นแต่ละวัน
“ต่อมาเ**กกิมอาการป่วยกำเริบแล้วก็ตายไป ยายหมัยก็ต้องรับภาระหนัก ไหนจะลูกชายคนโตที่ทั้งพิการทั้งปัญญาอ่อน ไหนจะต้องไปดูแม่ที่เดินไม่ได้แล้ว เข่าบวมสองข้างเลย แกเองก็ไม่เคยไปยุ่งกับทางร้าน ขายของไม่เป็นว่างั้นเหอะ นังมิ้มทำต่อคนเดียวท่าจะไม่ไหว ไหนจะไอ้หมิงลูกสุดท้องที่ไปมีเรื่องบ้านโน้นบ้านนี้ให้แกต้องกังวล
“ยายหมัยแกเลยขายร้าน เก็บเงินไว้กินดอกเบี้ย มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่เจ้าปานมันขี่อยู่ ยายหมัยแกก็ยกให้ เมื่อก่อนเป็นรถส่งของร้านเ**กกิม เวลาแกจะซื้อของเข้าบ้าน แกก็เรียกใช้เจ้าปาน แล้วยังให้มันมาตัดหญ้าตัดต้นไม้เป็นคราวๆ นั่นหนะ มันคุ้นเคยกับบ้านหลังนั้นมาก่อน เข้าออกได้เหมือนคนใน แบบเดียวกับที่มันเข้าออกบ้านน้าเอกตอนนี้แหละ
“ทีนี้พอยายหมัยขายร้านไปแล้วนังมิ้มก็อยู่บ้านดูแลพี่ชายแทนแม่ ยายหมัยขับรถเครื่องออกบ้านทุกวันไปดูแลแม่ที่บ้านซ่วงตั้งแต่สายถึงเย็น
“ไม่กี่เดือนจากนั้นนังมิ้มก็ฆ่าตัวตาย วันที่ยายหมัยไปเจอศพนังมิ้มห้อยโตงเตงน่ะเย็นย่ำแล้ว ผู้ใหญ่แกรู้เรื่องก็รีบไปที่บ้านนั้นแล้วโทรเรียกตำรวจ พอตำรวจมาดูแล้วเขาก็บอกแกให้รอหมอมาชันสูตร แต่กว่าหมอจะมาก็วันรุ่งขึ้น ยายหมัยกับพวกญาติเขาตัดเชือกเอาศพลงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเตรียมบรรจุโลง ตำรวจกับหมอเขาก็สรุปตรงกันว่าเป็นการฆ่าตัวตาย” ป้าฉายหยุดเล่า ขณะที่จ่าแสงพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ความจริงนะ ถ้าเจอศพที่ตายผิดธรรมชาติ จะให้ดีคือเจ้าของบ้านต้องไม่ขยับร่างเขาหรือเคลื่อนย้ายข้าวของใดๆ เพราะจะเป็นการทำลายหลักฐาน”
“ยายหมัยแกคงทนเห็นลูกอยู่ในสภาพนั้นไม่ไหว เป็นฉันก็ต้องตัดเชือกเอาลงมาเหมือนกัน”
เสียงในรถเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นป้าตุ้มก็พูดต่อ
“แต่แกลองคิดดูซิว่าเด็กสาวๆ ที่ไม่มีปัญหาอะไร แฟนก็ไม่มีเพราะมันถือตัว ครอบครัวก็มีฐานะ มีบ้านอยู่ มีพี่ชายต้องดูแล ยายหมัยก็รักมันยังกะอะไร แล้วมันจะไปฆ่าตัวตายทำไม”
“นั่นสิ” ป้าจำปาพยักหน้า “คือตอนหลังคนเขาซุบซิบกันว่านังมิ้มมันอาจจะถูกคนรังแกและถูกฆ่าปิดปาก แล้วก็เอาศพไปแขวนอำพรางให้ดูเหมือนฆ่าตัวตาย”
ป้าฉายป้องปากลดพูดเสียงเบาลง
“เขาสงสัยกันว่าจะเป็นไอ้ปาน เพราะมันเข้าออกบ้านนั้นประจำ มันไม่ค่อยพูดกับใคร นิสัยมันน้ำนิ่งไหลลึก นังมิ้มจะพูดจะด่ามันก็ทำเฉย แต่มันคงแค้นแหละ ทีนี้มันคงหาโอกาสตอนยายหมัยออกบ้านไปแล้วขึ้นไปทำมิดีมิร้าย นี่ฉันไม่ได้พูดเองนะน้าเอก ฟังคนเขาพูดๆกันน่ะ”
ผมเงียบฟังโดยไม่ซักถามหรือขัดจังหวะ สมองผมกำลังใช้ความคิด
ป้าจำปาพูดต่อ
“แต่บางคนเขาก็พูดกันว่านังมิ้มมันถูกผีเข้าหรือไม่ก็ผีทำ เป็นเพราะยายหมัยไม่ยอมรับพานต่อจากยายมุ่ยแม่แก คือตระกูลนี้น่ะเขาเป็นหมอมดหมอทรงสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นไหนไม่รู้ คนซ่วงเขาก็มีพิธีแบบของเขาละนะ ต้องรับพาน ต้องไหว้ผี ต้องฆ่าควายฆ่าวัวเซ่นคนที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วสักสองสามปีครั้ง
“ยายหมัยแกนอกคอกมาตั้งแต่เด็ก ของเก่า ประเพณีเก่าๆ นี่แกไม่เอาเลย แล้วยังไปแต่งงานกับเ**กกิมที่ยายมุ่ยไม่เห็นด้วย ก็ดูเขาซิ ลูกคนโตพิการแถมปัญญาอ่อน ลูกสาวก็มีอันเป็นไป ส่วนไอ้คนเล็กก็หนีออกจากบ้านไปสองสามปีแล้ว ฟังมาว่ามันพาพวกไปตีกับคนสระพังเรื่องเงินๆทองๆ นี่แหละแล้วก็ยิงลูกตำรวจตาย เลยไปซ่อนตัวอยู่ที่ชายแดน”
“แกก็ว่าไป ไม่มีหลักฐาน พูดเรื่อยเปื่อยไปเดี๋ยวจะมืเรื่อง” จ่าแสงแย้ง
“ไม่ต้องมีหลักฐานหรอก ไม่มีมูลหมามันก็ไม่ขี้” ป้าจำปาตอบอย่างมันปากที่ได้พูดคุยเรื่องของคนอื่น
“นี่แกสองคนช่วยเล่าให้มันจบๆทีเหอะ เดี๋ยวเราจะถึงทางเข้าวัดแล้ว น้าเอกเขารำคาญแกจะแย่”
ลุงอำนวยสะกิดเตือนพลางมองออกไปนอกหน้าต่างและก้มดูนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาบ่ายสองยี่สิบนาที
“มันก็จบแล้วละ เพราะเล่ามาถึงตอนที่นังมิ้มตายแล้วนี่” ป้าเล็กพูด จากนั้นป้าฉายก็เล่าต่อ
“ทีนี้หลังจากงานศพผ่านไปแล้ว ยายหมัยกับเจ้าม่อนก็อยู่กันสองคนที่บ้านหลังนั้น แต่คนผ่านไปผ่านมาบางทีเขาได้ยินเสียงนังมิ้มร้องเพลงอยู่ในบ้าน บางทีได้ยินเสียงเ**กกิม คนเขาก็ว่าบ้านนั้นน่ะมีผี แล้วไม่มีใครกล้าไปมาหาสู่ ยายหมัยไปที่ไหนมีแต่คนเดินหลีก เพราะกลัวว่าแกจะมีผีมีวิญญาณตามไปด้วย นานไปสักสามสี่เดือนยายหมัยแกก็ทนอยู่ไม่ได้ อีกอย่างแกเป็นห่วงแม่เพราะอาการหนักลง ยายหมัยเลยหอบลูกไปอยู่กับแม่ที่บ้านเดิม ก็ที่แกอยู่ตอนนี้นั่นแหละ บ้านเ**กกิมแกก็ปิดไว้เฉยๆ จนน้าเอกมาซื้อนั่นแหละ”
“แล้วน้าเอกได้เห็นหรือได้ยินเสียงนังมิ้มมันบ้างไหม” ป้าจำปาโพล่งถามขึ้น
“แกจะบ้า ถามอะไรอย่างนั้น คุณเอกพลเขาจะกลัว” จ่าแสงยื่นหน้ามาเอ็ด
“แหม ก็ข้าสงสัยนี่”
“คุณไล่ยายนี่ลงรถไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพวกเราค่อยมาตามเก็บเอาขากลับ นี่จะไปเผาศพคนตายแท้ๆ ยังมาถามหาผีหาสาง” จ่าแสงบ่น
“ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติเลยนะครับ ป้าจำปา มีก็แต่เสียงคาราโอเกะที่แว่วมา” ผมตอบขณะที่มองเห็นสะพานใหญ่อยู่ข้างหน้า
ลุงอำนวยยื่นแขนมาสะกิดผม “ชะลอรถแล้วเข้าเลนซ้าย ก่อนถึงสะพานจะมีทางแยก เลี้ยวเข้าไปเลย สองกิโลก็ถึงวัด”
ผมทำตามที่ลุงอำนวยบอก แต่ในหัวสมองผมเต็มไปด้วยสิ่งที่เพิ่งได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องข้อสงสัยของพวกชาวบ้านว่าปานเกี่ยวข้องกับการตายของลูกสาวป้าหมัย
เมื่อส่งผู้สูงอายุทั้งหกถึงหน้าศาลาที่กำลังประกอบพิธีแล้วผมก็ขับรถกลับเขาย้อย หลังจากซื้อของที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างจนครบทุกรายการผมก็ตรงดิ่งไปที่บ้านซ่วง ตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปถามป้าหมัยเรื่องแนวท่อประปาในสวนหลังบ้าน