บทที่ 6 ความจริงที่ปรากฏ

2411 คำ
เกือบเข้ายามจื่น เยว่สือมาส่งอู๋ซวน และซิงถิงถึงที่พักก่อนจะขอตัวออกไปทันที ซิงถิงนั้นเคยถามว่าเยว่สือว่าพักอยู่ที่ใด เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘เร่ร่อนไปเรื่อย ปกติแล้วค่ำไหนนอนนั่นเพราะทุกที่คือบ้านของข้า ดินคือเตียงนอนฟ้าคือผ้าห่ม’ แม้คำพูดจะดูติดตลก แต่น้ำเสียงนั้นแลดูเศร้าอยู่เล็กน้อย ขณะที่ซิงถิงกำลังจะนอน อู๋ซวนก็ยื่นตำรามาให้นางเล่มหนึ่ง แล้วเอ่ย “หากเจ้าอยากเรียกข้าจะสอนให้” ซิงถิงรับตำราที่เหมือนแบบเรียนมาเปิดดู นางยิ้มร่าก่อนจะตอบตกลง เหตุที่อู๋ซวนเสนอสอนหนังสือให้ซิงถิงนั่นก็เพราะว่าเขาเห็นนางชอบแอบมองเสมอตอนที่เขาอ่านตำรา เนื่องด้วยชาติที่แล้วซิงถิงเป็นคนหัวค่อนข้างช้าสำหรับการเรียนรู้ภาษา อู๋ซวนจึงต้องเสียเวลาสอนให้นางหลายรอบในช่วงกลางคืนกว่านางจะเข้าใจ บางวันก็มีเยว่สือแอบลอบเข้ามาผสมโรงด้วย เกือบสามเดือนนางก็สามารถอ่านออกเขียนได้แม้จะยังไม่คล่องมากนัก ดูจากตำราที่อู๋ซวนมี ซิงถิงคิดว่าเขาเป็นคนที่หมั่นเพียรมาก ตำราที่เขาสะสมส่วนใหญ่จะเป็นตำราอาหาร และเรื่องทั่วไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอู๋ซวนมีความชอบเรื่องการทำอาหารอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ซิงถิงไม่เข้าใจก็คือ ตลอดเวลาหลายปีที่นางอยู่ที่นี่ นางไม่เคยเห็นอู๋ซวนลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลยสักครั้ง “นี่อู๋ซวน เจ้าชอบทำอาหารมากไหม ทำไมถึงมาเป็นผู้ช่วยพ่อครัวเล่า” ซิงถิงเคยถามออกไป “ทั้งชอบและเกลียด” นั่นคือคำตอบที่นางได้รับจากปากเขา ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อยากถามมาก เพราะกลัวจะไปจี้ปมในใจอะไรสักอย่างของเขาเข้า การดำเนินชีวิตของซิงถิงที่มาเป็นพ่อครัวภายในโรงเตี๊ยมนั้น แต่ละวันนางก็อยู่แต่ในห้องครัว และห้องพักของตัวเอง จึงทำให้ซิงถิงรู้สึกเบื่อไม่น้อย แน่นอนว่าในชาติก่อนนั้นชีวิตนางเป็นอิสระอยากทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อมาที่โลกแห่งนี้ นางแทบไม่มีอิสระอะไรสักอย่าง ซิงถิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่นั่งพักอยู่ในห้องครัว ตอนนี้เป็นเวลาที่นางได้เลิกงานแล้ว แล้วนางไม่รู้จะทำอะไรดี ซิงถิงมองซือเทียนที่กำลังจัดเตรียมอาหารของเถ้าแก่อยู่ ซึ่งปกติพ่อครัวซือจะเป็นผู้ทำ แต่ทว่าวันนี้เขากลับออกไปธุระ ซิงถิงจึงเอ่ยถามด้วยความหวังดี “ให้ข้าช่วยไหม” “ไม่ได้ๆ ท่านพ่อบอกว่าอาหารของเถ้าแก่ต้องเป็นข้าทำเท่านั้น พอดีว่าเถ้าแก่เขาสั่งห้ามเอาไว้ว่าไม่ให้เจ้าทำน่ะ” ซือเทียนตอบ พลางรีบยกมือห้ามซิงถิงที่จะเข้าไปช่วย “อ่า อืม งั้นข้ากลับห้องพักแล้วนะ” ซือเทียนพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้นางเล็กน้อย ซิงถิงยิ้มแห้งๆ แล้วเดินออกจากห้องครัวไป พอนางเริ่มโต เถ้าแก่ชางก็เริ่มออกห่างไม่เรียกนางเข้าไปถามไถ่เหมือนแต่ก่อน เมื่อนางถ่ายทอดสูตรอาหารของโรงเตี๊ยมที่นางปรับเปลี่ยนให้อร่อยขึ้นให้แก่ซือเทียนหมดแล้ว จนตอนนี้ซือเทียนได้เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยพ่อครัวมาเป็นพ่อครัวเต็มตัว ทำให้นางว่างงานขึ้นเยอะ…จนรู้สึกเหมือนเริ่มไร้ค่าเลยล่ะ แถมโลกนี้ยังไม่มีสิ่งใดพอที่จะให้นางทำเพื่อฆ่าเวลาว่างด้วย ตอนนี้ซิงถิงสูงเกินพอที่จะทำครัวได้ถนัดแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเลย มันมากับความกังวลเรื่องที่ร่างกายนางเริ่มปรับเปลี่ยนออกโครงสตรีมากขึ้น ตอนนี้นางจึงถูกล้อจากพวกบุรุษปากเสียบ่อยๆ ว่า ‘เหยินเยา’ ซึ่งเป็นคำเทียบของครึ่งคนครึ่งปีศาจ ที่เอามาใช้กับผู้ชายที่เป็นเหมือนผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิง “ใครมันทำให้เจ้าไม่พอใจหรือถึงหน้าบูดเพียงนี้” เยว่สือที่นั่งอยู่ข้างเตียงโยนถั่วเข้าปากหลังจากที่เอ่ยถามซิงถิงที่เพิ่งจะกลับมา แน่นอนว่ากาลเวลาก็ทำให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นเช่นกัน จากเด็กผอมแห้งซุกซนคนหนึ่งกลายเป็นวัยหนุ่มที่ถึงแม้ร่างกายจะผอมแห้งเช่นเดิม แต่ก็ดูหล่อคมขึ้นมาก ผิวแทนตามประสาคนเร่ร่อนไปทั่ว และยังคงปากมากเช่นเดิม…ไม่สิยิ่งกว่าเดิมด้วย “เปล่าสักหน่อย” ซิงถิงตอบทั้งยังหน้าบูดเหมือนเดิม “ข้าก็แค่เบื่อ พวกเจ้าไม่เบื่อหรือไง” “อืม…ไม่นี่” เยว่สือตอบพลางหยักไหล่ ทั้งในปากยังคงเคี้ยวไม่หยุด ส่วนอู๋ซวนนั้นก็คงยังนั่งอ่านตำราเหมือนเดิม นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงอ่านเล่มเดิมๆ ได้เป็นร้อยๆ รอบ นางก็รู้แหละว่าเขาไม่มีเงินซื้อตำราใหม่ แต่ว่าการอ่านซ้ำๆ มันก็น่าเบื่อออก ซิงถิงพลิกตัวไปมองเพื่อนร่วมห้องที่อยู่กันมาหลายปี จนชินกับอาการพูดน้อยนิ่งเงียบของเขาแล้ว แม้อู๋ซวนจะไม่ค่อยพูด แต่ก็เอาใจใส่นางมาโดยตลอด ซ้ำยังเข้าใจไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวนาง หรือรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้นางอยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ อู๋ซวนนั้นยิ่งโตก็ยิ่งหล่อ ผิวขาวเนียน ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียบเฉยดูเย็นชาทำให้สาวๆ แอบกรี๊ดเขาในใจอยู่หลายคน แต่ก็นะ อู๋ซวนก็คืออู๋ซวน แม้ใครจะชวนคุยเขาก็เมินใส่หมด ชนิดที่ว่าทำเอาเหล่าสาวๆ หน้าแตกกันเป็นแถว ซิงถิงเคยแอบเห็นเหมือนกันตอนที่หญิงรับใช้คนหนึ่งรวบรวมความกล้ายื่นผ้าเช็ดหน้าปักมือให้เขา แต่อู๋ซวนกลับเมินแล้วเดินผ่านไปทำเอาซิงถิงถึงกับสงสารแม่นางคนนั้นไม่หาย “นี่ๆ เยว่สือเจ้าว่าหากข้าจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง ข้าควรไปเปิดที่เมืองไหนดี” ซิงถิงถามความเห็นเยว่สือที่หลายปีมานี้เดินทางเร่ร่อนไปมาแล้วหลายเมือง และเพิ่งจะกลับมาหาพวกนางไม่กี่วันมานี้ “เมืองหังโจว” เยว่สือตอบมาเลยโดยไม่ต้องคิด “เมืองหังโจวเจริญสุดแล้ว ซ้ำยังเป็นเมืองหลวงด้วย โอ๊ยที่นั่นน่ะนะมีแต่พวกผู้ดีมีเงินเพียบ ข้าไปทำการค้าที่นั่นมา อยากบอกว่าได้กำไรหลายตำลึงทอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” “ทำการค้าหรือไปหลอกขายเขา” อู๋ซวนเอ่ยแย้งเรียบๆ แต่ทำเอาเยว่สือแอบเบ้ปากอย่างไม่พึงพอใจ “เขาเรียกว่าใช้ศิลปะการพูดเว้ย” เยว่สือเอ่ยแก้ตัว ทำให้ซิงถิงหัวเราะเบาๆ การอยู่กับทั้งสองคนทำให้นางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ทำให้นางกล้าพูดกล้าแสดงตัวตนของตัวเองออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นางเคยบอกพวกเขาเรื่องความฝันของนางที่อยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง พวกเขาไม่ซ้ำหัวเราะแต่กลับให้กำลังใจและเสนอช่วยด้วย โดยเฉพาะเยว่สือที่ออกท่องเมืองเอาข่าวคราวเมืองต่างๆ มาเล่าให้นางฟังอยู่เป็นประจำ “นี่ๆ เมื่อไหร่พวกเจ้าจะไปจากโรงเตี๊ยมนี้สักทีล่ะ” เยว่สือเอ่ยถาม ซิงถิงเม้นปากแล้วส่งเสียง อืมในลำคอ ไม่ใช่ว่านางอยากจะอยู่ต่อหรอกนะ ช่วงนี้นางดูไม่มีความสำคัญอะไรแล้วด้วย บุญคุณที่เถ้าแก่ชางเคยช่วยนางเอาไว้ นางก็คิดว่าตอบแทนไปหมดแล้ว หลายปีมานี้กิจการโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ไปได้ดีมากทีเดียวเพราะสูตรอาหารที่นางปรับให้ ปัญหาก็ติดอยู่อย่างเดียว นางไม่มีเงินทุนน่ะสิ อยู่ที่นี่ได้เงินน้อยนิดนางเก็บออมได้เพียงไม่กี่ตำลึงเงินเท่านั้น “ข้าก็อยากไป แต่ตอนนี้ข้ามีเงินเสียทีไหน” “อยู่นี่ไปก็ไม่มีอยู่ดี” เยว่สือเอ่ยแย้ง ทำให้ซิงถิงนึกคิดได้ การอยู่ที่นี่ต่อไปมันไม่ได้ทำให้ชีวิตนี้ของนางดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ตอนนี้ร่างกายนางก็โตพอที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้แล้ว “เอาละข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะลาออก!” ซิงถิงประกาศลั่นพร้อมชูมือขึ้นอย่างแน่วแน่ “ต้องให้มันได้แบบนี้สิ!” เยว่สือยิ้มร่า “อ้าวพวกเราพร้อมกัน โอ้ววว!” “โอ้ววว!!!” ทั้งสามกำปั้นแล้วชูมือส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่อู๋ซวนที่ทำแบบหน่ายๆ แลไม่มีแรง พลางคิดว่าโตกันขนาดนี้แล้วยังต้องเล่นอะไรแบบนี้อีกหรอ? แน่นอนนี่เป็นสิ่งที่ซิงถิงสอนพวกเขาตอนเด็กให้ทำเวลาที่จะตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อปลุกพลังใจ แล้วเยว่สือก็ดันติดใจจนใช้ถึงทุกวันนี้ “อู๋ซวน! ซิงถิง! เปิดประตู! ไอ้เจ้าเยว่สือมันแอบเข้ามาอีกแล้วใช่ไหมห่ะ!” เสียงผู้ดูแลห้องพักตะโกนลั่น พร้อมกับเคาะประตูอย่างแรงจนแทบจะพังเข้ามา ทำเอาทั้งสามถึงกับสะดุ้ง แน่นอนว่าเยว่สือไม่มีทางอยู่ให้จับ เขารีบพุ่งออกไปทางหน้าต่างทันที และยังไม่วายหันมาบอก “เจอกันพรุ่งนี้ข้าจะรอฟังข่าวดีนะ” ชั่วพริบตาเขาก็หายไปในความมืด อู๋ซวนจึงไปเปิดประตูให้ผู้ดูแล “มันไปไหนแล้ว!!!” ผู้ดูแลกวาดสายตามองทั่วห้องแต่ก็ไม่พบใครนอกจากอู๋ซวนและซิงถิง จึงมองทั้งสองอย่างคาดโทษ “อย่าให้ข้าจับได้นะว่าพวกเจ้าแอบให้มันเข้ามาอีก” เขาเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะออกไป แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะขู่ไปแบบนั้น แต่ทว่าตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยจับเยว่สือได้เลยสักครั้งเพราะเจ้านั่นมันไวยิ่งกว่าลิง ซ้ำยังซ่อนหาเก่งด้วย “แล้วเจ้าจะไปลาออกวันไหน” อู๋ซวนถามหลังจากผู้คุมออกไปแล้ว “วันนี้เลย” นางเอ่ยตอบทันที เมื่อนางตัดสินใจแล้วก็ต้องทำเลย “ข้าจะไปหาพ่อครัวซือก่อนนะ” “ข้าไปด้วย” อู๋ซวนเอ่ย ซิงถิงพยักหน้ารับ ซิงถิงและอู๋ซวนเดินไปหาพ่อครัวซือที่ห้องวัตถุดิบ แต่ปรากฏว่าไม่พบคาดว่าจะยังไม่กลับมา “ข้าว่าไปบอกเถ้าแก่ชางเลยดีกว่า ยังไงพ่อครัวซือก็ต้องไปถามความเห็นเถ้าแก่อยู่แล้ว” อู๋ซวนเอ่ยพร้อมให้เหตุผล ซิงถิงลังเล นางเองก็ไม่ได้เจอเถ้าแก่ชางมานานแล้ว หากได้ไปลาด้วยตัวเองก็คงจะดีเหมือนกัน แม้นางจะรู้ว่าเถ้าแก่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์จากฝีมือของนาง แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้มีพระคุณทั้งยังเสี่ยงมอบโอกาสให้นาง “ก็ได้” ซิงถิงตอบรับ ก่อนทั้งสองจะพากันไปยังห้องทำงานของเถ้าแก่ แต่ขณะที่ซิงถิงกำลังจะเคาะประตู เสียงของคนข้างในก็ดังออกมา… “ยี่สิบตำลึงทอง…จัดการเก็บเจ้าเด็กซิงถิงให้เรียบร้อย อย่าให้เรื่องมาถึงตัวข้าได้…” น้ำเสียงคุ้นหูของชายร่างท้วมเอ่ย ทำเอาซิงถิงถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงพ่อครัวซือตอบรับ “ขอรับ แต่เอ่อ…ทำไมเถ้าแก่ถึงต้องให้ข้า…ด้วยละขอรับ” แม้จะตาวาวกับเงินที่กองอยู่ในถุงตรงหน้า แต่พ่อครัวซือก็ยังนึกสงสัย เพราะตลอดเวลาเขานึกว่าเถ้าแก่ชางนึกเอ็นดูเด็กคนนั้นเป็นพิเศษเสียอีกถึงให้เขาคอยดูแลและจับตาดูเด็กคนนั้นเป็นอย่างดี กึก…! “นั่นใคร!!!” เถ้าแก่ชางตะโกนลั่น เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่หน้าประตู พ่อครัวซือรีบไปเปิดประตูดูทันที เขาหันซ้ายหันขวามองสำรวจโดยรอบแต่ก็ไม่พบใคร จึงปิดประตูและลงกลอนเหมือนเดิมก่อนจะไปรายงานเถ้าแก่ “น่าจะเป็นลมน่ะขอรับ” “อืม” เถ้าแก่ถอนหายใจ ก่อนที่ร่างท้วมจะนั่งลงแล้วยกถ้วยน้ำชามาจิบ … โชคดีที่อู๋ซวนมีสติดึงซิงถิงมาหลบในพุ่มไม้ได้ทันก่อนที่พ่อครัวซือจะเปิดประตูออกมา เขาดันนางให้ก้มหัวลงต่ำ ส่วนตัวเองแอบลอบมองผ่านพุ่งไม้…เมื่อเห็นว่าพ่อครัวซือกลับเข้าไปข้างในแล้ว เขาก็กระซิบเอ่ยกับนาง “รีบไปกันเถอะ” ซิงถิงที่กำลังสับสนพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินตามอู๋ซวนกลับห้องพักไปโดยไม่พูดอะไร แน่นอนว่าอู๋ซวนก็ไม่ได้ถามเหตุผลเขาเพียงแต่เดินนำหน้านางไปโดยไม่พูดจา ‘น่าเจ็บใจชะมัด โลกนี้มันอะไร เอะอะก็ฆ่า! ล้าหลังที่สุด! ทำไมฉันต้องซวยมาอยู่ที่นี่ด้วยเนี่ย’ ซิงถิงคิดในใจ นางไม่นึกมาก่อนว่าคนโลกนี้จะร้ายถึงเพียงนี้ หมดประโยชน์ก็ฆ่าทิ้ง…แม้ซิงถิงจะเจ็บใจ แต่นางจะไม่ทนอยู่อีกต่อไป ดวงตาของนางเป็นประกายท้าทาย บุญคุณถือว่าสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ นางไม่มีทางให้พวกเขาฆ่านางได้หรอก แม้ชีวิตนี้จะเป็นชีวิตที่นางได้มาโดยบังเอิญแบบไหนไม่รู้ แต่นางก็ยังรักชีวิตของตัวเองอยู่ ซิงถิงมองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าจะไม่ถามอะไรข้าหน่อยหรือ?” “…เจ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่าหรอก” “อืม…ขอโทษนะ ไว้ข้าพร้อมเมื่อไหร่ข้าจะบอกเจ้ากับเยว่สือเอง” “…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม