“เทศกาลโคมไฟงั้นหรือ” ซิงถิงเอ่ยถามด้วยความสนใจ ตั้งแต่ที่นางมาที่นี่นางยังไม่เคยไปงานเทศกาลเลยสักครั้ง
“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ!” เยว่สือเอ่ยชวนด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง
“แต่ว่า…พวกข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกกันนี่ หากจะออกก็ต้องไปขอพ่อครัวซือก่อน แล้วพ่อครัวซือก็เคยบอกเอาไว้ว่า หากไม่มีธุระจำเป็นก็ไม่ต้องออกไป”
“เขาคงไม่ให้ไปหรอก” อู๋ซวนเอ่ยเสริม
เยว่สือทำแก้มป่องแบบขัดใจ พลางคิดว่าเพื่อนทั้งสองเขานั้นมีสภาพเหมือนนักโทษกันชัดๆ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความอยากมีเพื่อนไปเดินงานเทศกาลด้วยกัน เยว่สือก็ยังคงเซ้าซี้ชวนให้ทั้งสองไปเป็นเพื่อนเขาอยู่ดี เขาคิดอยู่นานจนในที่สุดก็เสนอวิธีมาให้
“จริงสิ! ข้ารู้ช่องทางออกลับอยู่นะ คือพรุ่งนี้ข้าจะมารับพวกเจ้าแล้วพาลอบออกไปดีหรือไม่” เขาหันมองอู๋ซวนสลับกับซิงถิงด้วยแววตาคาดหวังสุดขีด “เถอะน่า รับรองเลยว่าไม่มีใครจับได้แน่ๆ ไปกันเถอะนะ ดูสิ ขนาดข้าลอบเข้ามายังไม่มีใครรู้เลย”
“…” ซิงถิงหันไปมองอู๋ซวน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนาง
“นี่ๆ ซิงถิง เจ้าเคยไปงานเทศกาลโคมไฟไหม” เยว่สือเริ่มพูดกล่อมเมื่อซิงถิงส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่ “งานเทศกาลจะเริ่มพรุ่งนี้ตอนกลางคืนล่ะ มีปล่อยโคม เกมทายปริศนา แล้วที่สำคัญ อาหารขนมมีขายเพียบ อร่อยๆ ทั้งนั้นเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำว่าอาหาร ซิงถิงก็นึกสนใจเข้าไปใหญ่ นางอยากออกไปสำรวจ อยากออกไปลิ้มรสอาหารจากร้านต่าง ๆ แค่คิดนางก็รู้สึกว่าน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มเดิน “คือว่า…ถ้าอู๋ซวนไปข้าไป” ซิงถิงที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปหรือไม่ไป โยนให้อู๋ซวนตัดสินใจแทน เพราะใจหนึ่งนางก็อยากไป แต่อีกใจก็กลัวถูกจับได้ว่าแอบออกไปข้างนอก
เยว่สือร้องดีใจเบาๆ เมื่อกล่อมสำเร็จหนึ่งคน ก่อนจะเริ่มตื๊ออู๋ซวน
“ไปเถอะนะอู๋ซวน ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่เจ้าไม่ได้ไปไหนมาไหนกับข้านานแล้วนะ ข้าจะเข้ามาหาเจ้าก็ลำบาก พวกเราออกไปเที่ยวกันเถอะแค่วันเดียวเอง” เยว่สือเริ่มเซ้าซี้ “นี่พรุ่งนี้มีร้านน้ำตาลปั้นของโปรดเจ้าด้วยนะ ถ้าเจ้าไปข้าเลี้ยงเลยอ่ะ” คนใจป๋าทุบอก
อู๋ซวนถอนหายใจ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหากเยว่สือไม่ได้ตามใจที่ต้องการ เยว่สือก็จะตื๊ออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะได้
“ก็ได้ข้าไป” อู๋ซวนเอ่ยตัดรำคาญเพื่อที่จะได้นอนเสียที
“เยี่ยมต้องให้มันได้แบบนี้สิวะสหาย” เขาตบบ่าอู๋ซวนดังผัวะ แล้วยิ้มกว้าง เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้วเยว่สือก็ข้อตัว “เดี๋ยวพรุ่งนี้ยามซวีข้าจะมารับนะ เตรียมตัวกันให้พร้อมล่ะ” เยว่สือเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ซิงถิงเดินวนไปวนมาภายในห้องอย่างตื่นเต้นขณะที่คอยเยว่สือมารับ ความรู้สึกมันเหมือนกับหลบครูตอนที่โดดเรียนอย่างไงอย่างนั้นเลย ซึ่งนางเองก็ไม่ได้สัมผัสความตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว มันเหมือนกับว่าได้ย้อนวัยอย่างไรอย่างนั้นแหละ แถมตั้งแต่มาที่นี่นางก็ยังไม่เคยได้สัมผัสความเป็นเด็กเลยสักครั้งทั้งที่อยู่ในร่างของเด็กแท้ๆ ขณะที่ซิงถิงกำลังตื่นเต้น อู๋ซวนนั้นก็ได้แต่อ่านตำราเงียบๆ
ซิงถิงเองก็สงสัยมานานแล้วว่าอู๋ซวนอ่านอะไร แต่ด้วยความที่ว่านางยังรู้สึกไม่สนิทกับเขาเท่าที่ควร ซ้ำเหมือนอู๋ซวนยังไม่เปิดใจให้ นางจึงไม่อยากจะเอ่ยถามกลัวว่าเขาจะรำคาญ ซิงถิงรอคอยเวลาอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อถึงยามซวีตามนัดหมายเยว่สือก็มาเคาะที่หน้าต่างพร้อมกับเสียงเรียกเบาๆ
“อู๋ซวน ซิงถิงข้ามาแล้วพร้อมไปกันยัง”
“อื้ม!” ซิงถิงยิ้มให้เขาพร้อมพยักหน้า
อู๋ซวนปีนออกจากหน้าต่างไปก่อนคนแรก แล้วนางก็ปีนออกมาตามหลังโดยมีเยว่สือคอยรับ ก่อนที่ตั้งสามจะพากันลอบออกไปทางหลังกำแพงของโรงเตี๊ยม เยว่สือพาพวกเขาลอบไปทางหลังครัว ซิงถิงเห็นแสงเทียนจากในห้องครัวก็คาดเดาว่าพ่อครัวซือนั้นจะยังคงอยู่ภายในครัว
เยว่สือส่งสัญญาณให้ทั้งสองเงียบๆ พลางพาพวกเขาไปหลบอยู่หลังต้นไม้ “เดี๋ยวข้าไปก่อน พอให้สัญญาณพวกเจ้าก็ตามมานะเข้าใจไหม”
อู๋ซวนและซิงถิงพยักหน้า
คนชำนาญทางมองซ้ายมองขวา แล้วมองดูประตูห้องครัวที่เปิดอยู่ เขาเห็นพ่อครัวซือกำลังตรวจวัตถุดิบอยู่ เมื่อพ่อครัวซือหันหลังไป เยว่สือก็วิ่งผ่านไปอีกพุ่งไม้อย่างรวดเร็ว เขาคอยจับตามองพ่อครัวซือ ก่อนจะส่งสัญญาณมือบอกให้อู๋ซวนและซิงถิงวิ่งมายังพุ่งไม้ที่เขาอยู่
อู๋ซวนวิ่งก้มตัวต่ำไปก่อน แล้วตามด้วยซิงถิงมาติดๆ แต่ในขณะที่นางเกือบจะถึงนางก็ดันสะดุดชายกางเกงตัวเองที่ยาวจนเกินไป “โอ๊ย…” ซิงถิงร้องออกมาเยว่สือจึงรีบปิดปากนางก่อนที่เยว่สือกับอู๋ซวนจะรีบลากนางเข้ามาหลบภายในพุ่มไม้…
พ่อครัวซือที่ได้ยินเสียงแว่วๆ อะไรบางอย่างมองออกไปนอกประตู…เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติเขาก็นั่งตั้งหน้าตั้งตาตรวจสอบวัตถุดิบต่อ
ทั้งสามถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่ซิงถิงจะเอ่ยเบาๆ “ขอโทษ…”
“ที่หลังระวังหน่อยนะ” เยว่สือเอ่ยเตือน ซิงถิงพยักหน้ารับ
เยว่สือนำทั้งสองมาถึงกำแพงไม่ไกลจากห้องครัวมากนัก ก่อนจะเปิดพุ่งไม้ที่ปิดอยู่ออก เผยให้เห็นรูใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ ซึ่งขนาดรูนั้นพวกเขาสามารถออกไปกันได้อย่างสบายๆ โดยเยว่สือนำไปก่อนคนแรก เขาส่องดูทางเมื่อไม่พบใครผ่านมาก็ส่งสัญญาณเรียกทั้งสองให้ตามออกมา
ซิงถิงที่เพิ่งจะเคยออกมาข้างนอกมองรอบตัวอย่างตื่นเต้น นางโผล่มาอยู่ที่ตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ข้างหน้านั้นมีเสียงครึกครื้นและแสงสว่างจากโคมเชื้อเชิญ
“มาเร็ว” เยว่สือยิ้มร่า แล้ววิ่งนำไปก่อน
ทั้งสองตามเยว่สือไปติดๆ ภายในเทศกาลนั้นดูคึกคักมีชีวิตชีวา เสียงเหล่าพ่อค้าตะโกนเรียกลูกค้าให้แวะร้านของตนตลอดทาง ซิงถิงที่เดินตามทั้งสองวิ่งขึ้นไปประกบ แล้วเอ่ยถามเสียงใส “เราจะไปทำอะไรกันก่อนหรือ”
“ก็ต้องหาของกินสิ” เยว่สือตอบพลางยิ้ม “เทศกาลโคมไฟก็ต้องนี่เลย…ขนมทังถวน!” มือน้อยชี้ไปที่ข้างทางด้านหน้าที่มีร้านขนมทังถวนตั้งแผงขายอยู่ “รีบไปกันเถอะ” เขาเอ่ยแล้ววิ่งนำไป
“ทังถวนสามถ้วย” เยว่สือสั่งขนมทันทีที่มาถึง
“หกอีแปะ” พ่อค้าเอ่ยบอกราคาขณะที่กำลังตักขนมทังถวนใส่ถ้วยให้ แล้วส่งให้เยว่สือทีละถ้วย
เยว่สือส่งให้ซิงถิงก่อน ตามด้วยอู๋ซวนก่อนจะรับของตัวเองมาแล้วจ่ายเงินให้เขาไปหกอีแปะ
ซิงถิงตามทั้งสองไปนั่งที่ข้างทาง ซึ่งปูเสื่อและมีโต๊ะเตรียมไว้ให้สำหรับนั่งทานอาหาร พวกเขานั่งล้อมวง ก่อนจะเริ่มลงมือทานในทันที ซิงถิงใช้ช้อนคนขนมให้เข้ากัน นางรู้สึกเหมือนกับขนมนี้หน้าตาคล้ายๆ บัวลอย ดูจากหน้าตาแล้วลูกกลมๆ นี่น่าจะทำจากแป้งข้าวเจ้า มีเผือก มีมะพร้าวอ่อน และน้ำกะทิ…
คำแรกที่ซิงถิงกินเข้าไป นางรับรู้ถึงความมันหวานจากะทิ ภายในแป้งกลมๆ ที่คล้ายบัวลอยนั้นมีไส้อยู่ ไส้นั้นทำด้วยถั่วกวนรสชาติออกเค็มเล็กน้อยตัดกับกะทิพอดี แถมแป้งก็เหนียวนุ่มจนกินเพลิน
“อร่อย” ซิงถิงเอ่ย แล้วตักเข้าปากอีกคำ
“ฮ่า ฮ่า แน่ละ นี่ของโปรดข้าเลยนะ บางคำก็ได้ไส้หวาน บางคำก็ได้ไส้เค็ม แต่ข้าชอบเค็มมากกว่า”
“ข้าชอบหวาน” อู๋ซวนเอ่ยแย้ง
“ฮ่า ฮ่า แต่ข้าได้แต่ไส้เค็มนะ ยังไม่เจอหวานเลย” ซิงถิงที่กินเข้าไปสามลูกแล้วเอ่ย เมื่อเธอตักเข้าปากไปลูกที่สี่ก็เจอไส้หวานพอดี “หืม นี่ข้าได้ไส้หวานแล้ว” นางเอ่ยหลังจากเคี้ยวหมดปากแล้วยิ้มร่าเริง ทั้งสามกินไป นับไปว่าใครได้ไส้อะไรกี่ลูก ปรากฏว่าซิงถิงได้เค็มมากกว่าหวาน อู๋ซวนก็เหมือนกัน แต่เยว่สือได้หวานมากกว่าเค็ม
“ไม่ยุติธรรมเลย อู๋ซวนได้เค็มมากกว่า แถมได้มากกว่าข้าตั้งหนึ่งลูก” เยว่สือเอ่ยประท้วงเป็นเชิงเล่น
“หึ” อู๋ซวนเพียงส่งเสียงเย้ยในลำคอ ส่วนซิงถิงหัวเราะเบาๆ
“เอาละเราไปกันต่อเถอะ” เยว่สือเอ่ยชวนแล้วลุกขึ้นเดินนำไปก่อน
ตลอดทาง เยว่สือนำเสนอร้านนู้นร้านนี้ จ้อไม่หยุด โดยมีซิงถิงคอยฟังอย่างตั้งใจเพราะนางต้องการสำรวจโลกนี้ให้มากที่สุด ส่วนอู๋ซวนนั้นเพียงแค่เดิมตามไปเงียบๆ จนมาถึงร้านขายน้ำตาลปั้น ซิงถิงมองน้ำตาลปั้นอย่างสนใจ มีทั้งรูปม้ามีปีก กระต่าย นก ดอกกุหลาบ และอื่น ๆ อีกมากดูสวยงาม
เยว่สือซื้อน้ำตาลปั้นรูปปลาให้อู๋ซวนที่รับไปเลียกินทันทีที่ได้ ก่อนจะหันมาถามซิงถิง “เจ้าเอารูปอะไร”
“ไม่เป็นไรข้าซื้อเองดีกว่าเมื่อสักครู่เจ้าก็ออกเงินไปแล้ว” ซิงถิงเอ่ยอย่างเกรงใจ
“งั้นก็แล้วแต่เจ้า”
ซิงถิงเลือกน้ำตาลปั้นรูปแมวมา ก่อนจะจ่ายเงินให้พ่อค้าหนึ่งสองอีแปะ แล้วหันไปถามเยว่สือ “เจ้าไม่กินหรือ”
“ข้าไม่ค่อยชอบของหวานน่ะ” เขาเอ่ยตอบ ก่อนจะพาทั้งสองเดินเที่ยวต่อ
“ตรงนั้นอะไรน่ะ” ซิงถิงชี้ถามเมื่อเห็นโคมไฟหลายโคมแขวนอยู่ และมีผู้คนครึกครื้นแลดูน่าสนใจ
“ปริศนาโคมไฟ” อู๋ซวนเอ่ยตอบ
“หากเจ้าสนใจพวกเราไปลองเล่นกันดีไหม” เยว่สือถาม ซิงถิงพยักหน้าตกลง ทั้งสามจึงเดินเข้าไป
“อ้าวเด็กๆ รับปริศนากี่โคมดี หากทายถูกรับโคมไฟไปได้เลยนะ” เถ้าแก่ร้านขายโคมไฟ เอ่ยทักทายอย่างใจดี
“แล้วถ้าทายไม่ถูกล่ะ” เยว่สือเอ่ยถาม
“ทายไม่ถูกก็จะได้ลูกกวาดกลับไปแทน”
เยว่สือทำท่าคิด “โคมละเท่าไหนหรือเถ้าแก่”
“สิบอีแปะ ถูกกว่าซื้อโคมไฟธรรมดาอีกแถมยังได้เล่นสนุกด้วย”
“โหเถ้าแก่ แพงขนาดนี้แต่ถ้าทายไม่ถูกได้แค่ลูกกวาดเนี่ยนะ พวกข้าเป็นเพียงแค่เด็ก คำทายของเถ้าแก่คงจะยากเกินพวกข้าเป็นแน่ แบบนี้พวกข้าคงไม่ไหว…ข้าไม่อยากเสียเงินเปล่าด้วย” เยว่สือทำท่าถอดหายใจ “ซิงถิงน้องรัก ถึงเจ้าจะอยากเล่นมากข้าก็คงจะให้เจ้าเล่นไม่ได้แล้วล่ะ ข้าขอโทษนะ เห็นทีปีนี้เราคงไม่มีโคมไฟไปลอยอย่างคนอื่นเขาแล้ว” ดวงตาของเยว่สือฉายแววประกายเศร้า มือหยาบลูบหัวซิงถิงเบาๆ
การเล่นละครนี้แลดูสมจริง ซิงถิงถึงกับกะพริบตาปริบๆ เมื่อถูกให้เล่นละครด้วยโดยที่นางไม่ได้ทันตั้งตัว
เถ้าแก่มองสามพี่น้องอย่างสงสาร แลคิดว่าเด็กพวกนี้คงยากจน อีกทั้งเทศกาลโคมลอยก็มีเพียงปีละหนึ่งครั้ง แล้วเขาจะทนใจร้ายกับเด็กตาดำๆ ได้ไงเล่า
“อะ…เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าลดให้เจ้าเหลือเพียงห้าอีแปะ แล้วหากปริศนาของข้ายากไป ข้าให้พวกเจ้ามีโอกาสเปลี่ยนหนึ่งครั้ง” เถ้าแก่กัดฟันเอ่ย ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขายอมให้ลูกค้าเพียงนี้
“ขอบคุณมากเถ้าแก่ / ขอบคุณขอรับ” เยว่สือและซิงถิงเอ่ยขอบคุณแล้วโค้งหัวพร้อมกัน
ด้วยการที่พวกเขานั้นมีเงินน้อย ทั้งสามจึงช่วยกันออก เถ้าแก่ที่เห็นเด็กสามคนควักเงินตัวเองออกมารวมกันแล้วนับก่อนยื่นมาให้ เขาก็น้ำตาเล็ดจนแอบเช็ดหางตาเบาๆ
“เอาอันไหนดีซิงถิง” เยว่สือถาม
“อันนั้น”
ซิงถิงชี้ไปที่โคมไฟสีแดงลายดอกบัวที่อยู่ตรงกลาง เถ้าแก่หยิบโคมไฟอันนั้นลงมาแล้วนำป้ายปริศนาไปให้ทั้งสาม ซิงถิงมองภาษาที่คล้ายภาษาจีนแต่ก็ไม่ใช่อย่างงงๆ ถึงแม้นางจะฟังพวกเขารู้เรื่อง แต่ว่าร่างของเด็กคนนี้ไม่มีความรู้เรื่องอ่านออกเขียนได้เลยแม้แต่น้อยพลอยให้นางอ่านไม่ออกไปด้วย ซิงถิงมองหน้าทั้งสองสลับไปมาเป็นเชิงถามว่า ‘อ่านออกหรือไม่’
เยว่สือส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่…เถ้าแก่เห็นดังนั้นจึงจะเสนอตัวช่วยอ่านให้ แต่ทว่าอู๋ซวนกลับเอาป้ายปริศนาไปเสียก่อน เขากวาดตามองแล้วอ่านออกเสียงให้ทั้งสองฟัง
“อะไรเอ่ย หัวโต ตัวยาว คอเล็ก
มันไปเรียนศิลปะที่เรือกสวนไร่นา
ฆ่าคนของเฉาเชาตายหมดบ้าน
เหลือเพียงต้นอ่อนของผักเต็มไปหมด”
น้ำเสียงเรียบอ่านช้าๆ เว้นระยะให้ทั้งสองฟังทัน พร้อมทั้งชี้นิ้วไล่ไปตามอักษร
“หัวโต…ตัวยาว…คอเล็ก มันไปเรียนศิลปะที่เรือนสวนไร่นา…” ซิงถิงเอ่ยทวน ใบหน้าม้วนคิ้วใช้ความคิด
ปริศนานี้แลดูยากจริงๆ …
เยว่สือส่ายหัวยอมแพ้ก่อนคนแรก ส่วนซิงถิงนั้นกำลังใช้ความคิด บางอย่างมันเหมือนกับติดอยู่ที่หัวแต่นึกไม่ออก จากบรรทัดที่สอง…มันไปเรียนศิลปะที่เรือนสวนไร่นา…คือคำใบ้ที่ว่าคำตอบต้องหนีไม่พ้นที่สวนหรือไร่นาเป็นแน่ อีกทั้งในบรรทัดที่หนึ่ง รูปลักษณ์ที่บรรยาย…หัวโต ตัวยาว คอเล็ก…คิดดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้ หากไม่แล้วคงตลกไม่น้อย
แต่ว่า…ฆ่าคนของเฉาเชาตายหมดบ้านนี่มันคืออะไร? ซิงถิงพยายามคิดก็คิดไม่ออก นางคาดว่าเฉาเชาอาจจะเป็นคำพ้องเสียงของอะไรสักอย่าง
“ว่าไงซิงถิงเจ้าคิดออกไหม” เยว่สือเอ่ยถามเมื่อเห็นซิงถิงคิดนาน
นางส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ข้าไม่แน่ใจคำตอบ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเครื่องมือทำสวนอะไรสักอย่าง” คำพูดของซิงถิงทำให้เถ้าแก่นึกชมในใจพลางยิ้มแล้วคอยลุ้น เพราะว่านางมาถูกทางแล้ว
“อู๋ซวนละว่าไง” เยว่สือหันไปถามอีกคน
“จอบ” เขาเอ่ยคำตอบออกมาสั้น ๆ
เถ้าแก่ที่รอเด็กทั้งสามตอบตบมือเมื่อเด็กที่ดูโตสุดเอ่ยตอบออกมาได้ถูกต้อง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใช่แล้ว ไหนลองอธิบายมาหน่อยสิว่าทำไมถึงตอบจอบ”
“เฉาเชามีคำพ้องกับคำว่า ‘เฉ่า’ ที่แปลว่าต้นหญ้า ดังนั้นบรรทัดที่สามที่บอกว่า ฆ่าคนของเฉาเชาตายหมดบ้าน ก็คือฆ่าหญ้าตายหมด และเมื่อดูจากบรรทัดที่หนึ่งที่เป็นคำบรรยายลักษณ์ซึ่งจากรูปลักษณ์ที่กล่าวมานั้นคำตอบก็ต้องเป็นจอบ”
อู๋ซวนเอ่ยเฉลยออกมาถูกต้องทุกอย่าง เถ้าแก่จึงมอบโคมไฟให้ทั้งสาม และแถมลูกกวาดให้ทั้งสามคนไปด้วย
ซิงถิงรับโคมมาแล้วเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ไปหลายครั้ง
“ตรงนั้นจะมีจุดปล่อยโคมและพู่กันให้ยืม” เถ้าแก่เสนอแนะ และชี้บอกทาง
“ขอบคุณมากขอรับ”
ซิงถิงเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง แล้วเดินตามทั้งสองไปยังจุดปล่อยโคม เยว่สือไปยืมพู่กันมาให้ แล้วส่งให้อู๋ซวนเป็นคนเขียน เพราะมีแต่เขาที่อ่านออกเขียนได้
“จะเขียนว่าอะไร” อู๋ซวนเอ่ยถาม
ซิงถิงนึกคิด เยว่สืออธิบายว่าการเขียนข้อความบนโคมไฟ จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง…
“ข้า…ข้าอยากให้สตรีเป็นพ่อครัวได้” ซิงถิงเอ่ยเบาๆ เพราะนางไม่รู้ว่าทั้งสองคิดเช่นไรกับเรื่องนี้
อู๋ซวนที่ได้ยินดวงตาไหววูบ มือที่ถือพู่กันเตรียมลงตัวอักษรนิ่งไปชั่วขณะ
เยว่สือเองก็นิ่งไปชั่วขณะเช่นกัน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยผสมโรง “ข้าด้วย สตรีทำอาหารออกจะอร่อย กฎเช่นนั้นข้าก็อยากให้มันหายไปเช่นกัน”
“ข้า…เขียนลงไปล่ะนะ”
อู๋ซวนตวัดพู่กันลงหมึกเป็นตัวอักษร…ขอให้สตรีเป็นพ่อครัวได้ ก่อนจะส่งให้เยว่สือจุดไฟใต้โคม
ทั้งสามจับโคมไฟ แล้วยิ้มให้กันก่อนที่จะปล่อยโคมไฟให้ลอยขึ้นฟ้าไปอย่างช้าๆ ...หนึ่งคำปรารถนา สามคนอธิษฐาน โคมไฟสีแดงลอยขึ้นฟ้ารวมกับโคมอื่น ๆ ท้องฟ้าคืนนี้นั้นสว่างสดใสมากกว่าที่เคย…