คราวนี้มาร์คัสกล่าวตำหนิผู้เป็นป้าของหนูน้อยเอมมี่บ้าง ไม่ชอบใจสักเท่าไรที่ปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้มาอุปโลกน์ว่าเขาเป็นพ่อของเธอ และขณะตำหนิผู้เป็นเจ้าของชื่อ มาร์คัสคิดว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากเลยวัยสี่สิบปีไปแล้ว เอมมี่ถึงได้เรียกว่าป้า!
“ป้าไข่ กำลังจ่ายค่าแท็กซี่และเอากระเป๋าเดินทางลงจากรถ เอมมี่คิดถึงแด๊ดดี้ อยากเห็นหน้าแด๊ดดี้ ก็เลยขึ้นมาหาแด๊ดดี้ก่อนค่ะ”
มาร์คัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเอมมี่ยังคงเรียก และยกให้เขาเป็นบิดาของหนูน้อยเหมือนเดิม ชายหนุ่มยื่นมือไปจับบ่าเล็กของเด็กน้อยไว้ พร้อมกับเอ่ยบอกเสียงเข้ม
“เอมมี่ ฟังน้านะครับ น้าชื่อมาร์คัส คลาร์ก น้ายังไม่เคยแต่งงาน น้าไม่รู้จักเอมมี่ เพราะฉะนั้นน้าไม่ใช่แด๊ดดี้ของเอมมี่...เอมมี่จำคนผิดแล้วครับ”
เอมมี่ร้องไห้ออกมาในทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธของมาร์คัส ทำเอาชายหนุ่มตกใจ ทำอะไรไม่ถูก เมื่อจู่ๆ หนูน้อยก็ร้องไห้เสียงดัง เกิดมาไม่เคยดูแลเด็ก ไม่เคยปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้โฮด้วย จึงทำอะไรไม่ถูก นอกจากลุกขึ้นเดินไปเดินมาเสยผมให้ยุ่งไปหมด
และก่อนมาร์คัสจะหงุดหงิดใจเพราะเสียงร้องไห้ของเอมมี่ไปมากกว่านี้ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกกว้าง มีร่างอรชรของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ส่งให้เจ้าพ่อหนุ่มแห่ง ซี คลาร์ก กรุ๊ป ต้องตะลึงงันราวกับถูกน็อคไปกับความงดงามของเธอ!
“เอมมี่!”
ปาลิตามัวแต่เสียเวลากับการจ่ายค่าแท็กซี่ และช่วยลำเลียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หลายใบลงจากรถแท็กซี่ พอหันมามองข้างๆ ตัวอีกที ก็ไม่เห็นหลานสาวแล้ว
“เอมมี่ หายไปไหนนะ”
ปาลิตาเอ่ยกับตนเอง เป็นห่วงหลานสาวก็เป็นห่วง แต่ครั้นจะทิ้งกระเป๋าเดินทางที่ยังอยู่ในรถแท็กซี่อีกหลายใบ เพื่อไปตามหาหลานสาวก็ไม่ได้
“ผมเห็นเธอวิ่งเข้าไปในตึกแล้วครับคุณผู้หญิง” แท็กซี่เอ่ยบอก ขณะยกกระเป๋าใบสุดท้ายมาวางไว้ใกล้ๆ กับปาลิตา
“ขอบคุณมากนะคะ”
ปาลิตาหยิบธนบัตรจ่ายค่าแท็กซี่ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ รปภ. ของตึกแห่งนี้ เพื่อขอให้อีกฝ่ายช่วยดูแลกระเป๋าเดินทางให้ โดยไม่ลืมมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นสินน้ำใจให้กับอีกฝ่ายด้วย
พอเข้ามาในอาคารสูงใหญ่ มีป้ายชื่อสีทองว่า ซี คลาร์ก เด่นหราอยู่หน้าอาคารแล้ว ปาลิตาก็ตรงไปยังชั้น ซึ่งเป็นที่ทำงานของบุคคลที่เธอและเอมมี่ต้องการมาพบในครั้งนี้
เมื่อถามหาหลานสาวกับพนักงานของบริษัทแห่งนี้แล้ว หญิงสาวก็รู้ว่าเอมมี่อยู่ในห้องประชุม ซึ่งพนักงานเหล่านี้ต่างก็ใจดี พาเธอมาส่งถึงหน้าห้องทำงานด้วย
“ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวฉันเข้าไปหาเอมมี่เองค่ะ”
ปาลิตาบอกกับพนักงานชายคนหนึ่ง ที่มีน้ำใจพาเธอมาส่งถึงที่ และเมื่อเปิดประตูห้องประชุมออกกว้าง ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานสาวดังมากระทบโสตประสาทในทันที
“เอมมี่!”
“ป้าไข่”
เอมมี่หันไปตามน้ำเสียง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปกอดปาลิตาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกผู้เป็นป้า ตามที่มาร์คัสบอกกับตนเองในก่อนหน้านี้
“ป้าไข่คะ...แด๊ดดี้...บอก...บอกว่า ไม่ใช่แด๊ดดี้ของเอมมี่”
ปาลิตากอดร่างเล็กของหลานสาวซึ่งร้องไห้จนตัวสั่นโยนไว้ ใบหน้างามเงยขึ้นจ้องมองเขม็งไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเค้นเสียงด่าอีกฝ่าย
“ผ่านไปเก้าปีแล้ว ไม่นึกเลยว่าผู้ชายที่ชื่อลูร์คัส ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
มาร์คัสกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หลังจากตะลึงงันในความงดงามของหญิงสาวผู้นี้ไปนานหลายนาที และชื่อที่หญิงสาวเอ่ยเรียกในก่อนหน้านี้ ทำให้เขาต้องทวนคำ ถามเธอซ้ำอีกครั้ง
“เมื่อสักครู่คุณเรียกผมว่าลูร์คัสยังงั้นหรือ”
“ใช่! ฉันเรียกคุณว่าลูร์คัส เพราะมันเป็นชื่อของผู้ชายที่เห็นแก่ตัว ไข่ทิ้งไว้แล้วไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของผู้หญิงสองคน”
มาร์คัสเริ่มหน้าตึง เมื่อถูกด่าซ้ำอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนผิดแม้แต่นิดเดียว
“คุณชื่ออะไร ป้าไข่”
คำถามของมาร์คัสสร้างความโกรธเคืองให้กับปาลิตาเป็นอย่างมาก ไม่นึกว่าชายผู้นี้จะเป็นคนที่ลืมอะไรได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“เวลาแค่เก้าปี มันทำให้สมองของคุณฝ่อได้ถึงเพียงนี้เลยหรือคะ” ปาลิตาเหน็บแนมเสียงแข็ง แทนการตอบคำถามของอีกฝ่าย
และผลตอบแทนจากการเหน็บแนม หลอกด่าหลายครั้งด้วยกัน จึงถูกมาร์คัสตอบแทนด้วยการกระชากร่างบางให้ปลิวมาปะทะกับอกกว้างแข็งแกร่ง ก่อนเจ้าของมือใหญ่จะเค้นเสียงตอบอย่างห้วนจัด
“ผมไม่ได้สมองฝ่อ และไม่เคยรู้จักพวกคุณ ได้ยินไหม”
“ไม่รู้จักแม้กระทั่ง ปารุดา คนรักของคุณ ที่คุณเคยควงเธอออกหน้าออกตาอยู่หลายเดือน จนกระทั่งมีเอมมี่เกิดขึ้นมายังงั้นหรือคะ”
ยิ่งถูกคนตรงหน้าเอ่ยถามแกมถากถาง ยิ่งทำให้มาร์คัสโกรธจัดมากกว่าเดิม
“ปารุดาคือใคร ผมไม่รู้จัก”
ปาลิตาถึงกับกัดเม้มริมฝีปากแน่น อยากให้น้องสาวของเธอมาได้ยินคำพูดของผู้ชายที่เคยเทิดทูนบูชาเหลือเกินว่าอีกฝ่ายได้พูดถึงเธออย่างไม่แยแส
“คุณจำผู้หญิงที่คุณพาขึ้นเตียงไม่ได้เลยหรือคะ ลูร์คัส!”
เมื่ออีกฝ่ายย้ำถึงชื่อเดิม ซึ่งไม่ใช่ชื่อของตนเอง มาร์คัสจึงเน้นย้ำชัดๆ ให้หญิงสาวได้ยิน
“ผมชื่อ มาร์คัส คลาร์ก ไม่ใช่ลูร์คัส ได้ยินชัดไหมสาวน้อย”
คราวนี้มาร์คัสโอบแขนไปรอบเอวบางคอดกิ่ว ดึงร่างบางให้แนบชิดกับเรือนกายของตนเองให้มากยิ่งขึ้น และพอได้กลิ่นหอมรวยระรินจากกายสาว จู่ๆ เลือดในกายของเขาก็แล่นพล่านเริ่มอุ่นขึ้นมาในทันที จนแม้กระทั่งตัวเขาเองยังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น