เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทเรซาก็พูดไม่ออก สตรีสูงวัยมองไปทางคาร์ลี
คาร์ลีแย้มยิ้มแล้วพูดว่า "แน่นอน จอย เรารู้ว่าเธอจะแต่งงานและจากที่นี่ไปในวันหนึ่ง เพราะอย่างนี้เราจึงต้องใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้นไม่ใช่หรือ"
“อีกอย่างนะ คุณปู่ก็แก่แล้วด้วย ท่านดูแลเธอไม่ได้หรอก แล้วท่านเองก็ชอบความเงียบสงบด้วย เพราะฉะนั้นเธอควรให้คุณปู่อยู่ตามลำพังจะดีกว่า”
คาร์ลีคิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณปู่บิลลี่ต้องการในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่บิลลี่ได้ยินสิ่งที่หลานสาวพูด สีหน้าของชายชราก็หม่นลง
ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ คนเราย่อมต้องการให้สมาชิกในครอบครัวอยู่รายล้อมพร้อมหน้าในช่วงบั้นปลายของชีวิต
จอยกุมสองมือของคุณปู่เพื่อปลอบโยนและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า "ฟังดูชอบกลนะ คาร์ลี คุณปู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราไม่ใช่หรือ"
คาร์ลีได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้มในทันที ขณะที่จอยพูดต่อว่า
“และด้วยความที่คุณปู่แก่แล้ว ฉันจึงต้องอยู่กับท่าน คุณปู่เป็นคนดูแลฉันมาตั้งแต่ฉันยังเด็ก ตอนนี้ฉันโตแล้ว ฉันก็ควรดูแลท่านสิ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดอันน่าชื่นใจของจอย คนเป็นปู่ก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจในทันที
ส่วนคาร์ลีรู้สึกตกใจ เธอกำลังมองจอยซึ่งพูดขัดคอเธอไปเสียทุกอย่าง
จอยเคยเป็นคนหัวอ่อนและพูดจานุ่มนวลไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้เธอดูเปลี่ยนไปจากเดิมนักล่ะ?
เมื่อคืนจอยดื่มน้ำผลไม้ไปไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยได้อย่างไรกัน?
คาร์ลีรู้สึกงุนงง ขณะเดียวกันนั้น เทเรซายังคงพยายามเกลี้ยกล่อมให้จอยอยู่ที่นี่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม จังหวะที่เธอกำลังจะพูด บิลลี่เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“เอาละ ในเมื่อจอยโตแล้ว ก็สุดแล้วแต่เจ้าตัวจะตัดสินใจเถอะนะ”
ทันทีที่คาร์ลีกับเทเรซาได้ยินเช่นนั้น สองแม่ลูกก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยเรื่องนี้ไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนสงบปากสงบคำ จอยก็ยิ้มและพูดว่า “เดี๋ยวนะ คาร์ลี รถที่คุณปู่ซื้อให้วันเกิดฉันเมื่อเดือนที่แล้วน่ะ กุญแจรถอยู่กับเธอใช่ไหม เธอช่วยคืนให้ฉันด้วยนะ”
สีหน้าของคาร์ลีเปลี่ยนไปทันทีได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น
จริงอยู่ที่บิลลี่ซื้อรถเป็นของขวัญให้จอย แต่คาร์ลีต่างหากที่เป็นคนเลือกรถคันนั้น
อันที่จริงเธอฝันอยากได้รถคันนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีปัญญาจะเก็บเงินซื้อเอง เธอจึงยุให้จอยอ้อนขอรถคันนี้จากคุณปู่
เนื่องจากจอยขับรถไม่เป็น คาร์ลีจึงคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่ได้ใช้รถ
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าจอยไม่เพียงแต่จะย้ายออกจากบ้านในวันนี้ แต่จะเอารถไปด้วย
ทั้งที่ไม่เต็มใจจะคืนรถให้อีกฝ่าย แต่คาร์ลีก็จำต้องทำเช่นนั้น
“อ๋อ เอ่อ ได้สิ เดี๋ยวฉันจะคืนกุญแจให้”
จอยยิ้มขันคำพูดตะกุกตะกักของคาร์ลี แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น!
“ขอบใจ คาร์ลี อ้อ อย่าลืมคืนกระเป๋าแล้วก็เครื่องประดับที่ฉันเคยให้ยืมไปด้วยล่ะ!”
คาร์ลีหน้าซีดเพราะคำพูดนั้น
แต่เมื่อมีคุณปู่บิลลี่อยู่ด้วย เธอไม่สามารถพูดอะไรได้มากไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องคืนทุกอย่างให้จอย
จากนั้นจอยตวัดสาายตาไปทางเทเรซา
“คุณป้าเทเรซาคะ ตอนนี้หนูก็โตแล้ว คุณป้าช่วยคืนเรือยอตช์และทรัพย์สินมรดกของพ่อกับแม่ให้หนูได้ไหมคะ”
เทเรซาได้ฟังแล้วถึงกับอึ้ง ผู้เป็นป้ารีบสวนกลับทันทีว่า “หนูยังไม่รู้ตัวว่าหนูยังอ่อนต่อโลกแค่ไหนนะ จอย ป้าช่วยดูแลให้ก่อนจะดีกว่า ตกลงไหม?”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้าเทเรซา! คุณปู่ช่วยดูแลแทนได้ค่ะ”
แน่อยู่แล้วว่าเทเรซาเธอจะไม่พูดว่าบิลลี่อ่อนต่อโลก!
หลังจากฟังสิ่งที่จอยพูด บิลลี่ก็เห็นด้วย "ใช่ ไปเอามันมาสิ!"
เมื่อดูสถานการณ์แล้ว เทเรซาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของจอยคืนให้เจ้าตัว
ด้วยเหตุนี้จอยจึงได้ทรัพย์สินของเธอคืนและออกจากบ้านไปพร้อมกับคุณปู่
ส่วนเครื่องแต่งตัว เธอไม่เอาไปแม้แต่ชิ้นเดียว
นั่นเป็นเพราะว่าในชีวิตเก่า คาร์ลีอิจฉารูปร่างหน้าตาของเธอ อีกฝ่ายจึงมักจะแนะนำให้จอยสวมใส่สิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าทุกตัวที่จอยเคยสวมก็ล้วนแล้วแต่ด้อยคุณภาพและราคาถูก
จอยจึงมีผดผื่นขึ้นตามตัวเพราะสวมใส่เสื้อผ้าที่ระคายผิว
ยิ่งไปกว่านั้น คาร์ลีชอบแอบใส่อะไรบางอย่างในอาหารของเธอด้วย!
เพราะเหตุนั้นเธอจึงน้ำหนักขึ้นพรวดตอนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย และไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถลดไขมันได้
โชคดีที่ตอนนี้เธอได้มีชีวิตใหม่ในวัยสิบแปดวัยที่สุดแสนวิเศษสำหรับเด็กสาว
คืนนั้น ขณะยืนอยู่ในห้องน้ำของห้องนอนเดิมที่เธอเคยอยู่ จอยมองเห็นรูปโฉมอันงดงามและหน้าตาชวนมองของตัวเองในกระจก
เมื่อรู้ชัดว่าเธอสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ จอยก็รู้สึกตื่นเต้น
หลังจากอาบน้ำเสร็จ จอยออกมาจากห้องน้ำด้วยความตื่่นเต้นดีใจสุด ๆ แต่ทันใดนั้นเธอถูกเบ็น พาดิลลา รวบร่างและกดเธอตรึงติดกับผนัง
ชายหนุ่มรวบคอของเธอโดยพลัน แล้วเธอก็ได้ยินสุ้มเสียงเย็นชาอันคุ้นหู
“ดื้อจริงนะ แม่สาวน้อย คุณว่าผมควรลงโทษคุณยังไงดี”