Don't call me Baby!! Chapter 3

4007 คำ
ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็ไอ้พวกบ้านั่นมาบ้านผม แล้วทำเหมือนว่าผมเองที่เป็นคนมาบ้านมัน เข้าใจป่ะครับ คือผมน่ะเจ้าของห้องนะ เจ้าของเกม แต่พวกมันก็ทำเหมือนว่าผมมาขออาศัย โว้ยนะ อะไรเนี่ย ไหนจะพ่อผมอีก อะไรก็ไม่รู้ คิดมาได้ยังไงให้ไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษกับไอ้บ้านั่น คิดถึงหัวใจผมบ้างไหมเนี่ย คิดอะไรบ้าง เฮ้อนะ             “เมื่อวาน เข้าโรงบาลเลยเหรอจ๊ะ ตัวเธอ” อีกะเทยหัวโปกออกสาวร้าวราน มันทำเสียงดัดจริตใส่ผมแต่เช้าครับ จิ๊ ไม่อยากจะตอบ จะรู้ไปทำไมเนี่ย ช่วยกูออกค่าหมอหรือไง อย่าๆอย่าบอกว่าเป็นห่วง เพราะน้ำเสียงนี้มันไม่ใช่ห่วง แต่มันเหมือนหยันๆเย้ยๆยังไงไม่รู้             “อืม” ผมครางออกไปล่ะครับ ทำเป็นไม่สนใจมัน             “แชรี่ว่า ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นไรมาก ยังปวดท้องอยู่ไหมอุ่น” เชอรี่ที่หน้าเหมือนตุ๊กกี้ เวลาเธอพูดนี่ บีบปากห่อปากซะ เหมือนลูกครึ่งที่พูดไทยไม่ชัดประมาณนั้นล่ะครับ ผมไม่อยากจะตอบครับส่ายหน้า             “อย่าไปยุ่งกับมันมากนะไอ้เดี๋ยวน่ะ มันนักเลง” อุ๊ย หัวหน้าห้องเดินเข้ามาทักครับ ผมยิ้มออกมาทันที             “ว้ายไรยะ ไอ้ทาย เดี๋ยวเขาออกจะนิสัยดี เถื่อนดิบ ใหญ่ อย่ามาว่าเดี๋ยวของฉันนะยะ” คุณชาติครับ หรือญาญ่า ดัดจริตวี๊ดเสียงขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเด็กที่นี่เขาพูดกันยังไงไม่รู้ ก็จะอะไรล่ะครับ บางคนคุยกันเป็นภาษากลาง แต่บางคนก็อย่างไอ้ดำนั่นไง เออ ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้ไม่อยากได้ยินใคร รำคาญเว้ย             “นี่นังย่า เดี๋ยวน่ะผัวกูนะ พูดอะไรระวังปากหน่อย จะโดนตบ” ผมหันขวับไปมอง ผู้หญิงที่เอ่ยถึงผู้ชายโต้งๆ และยังไปเรียกเขาว่า เอ่อ ผัวอีก กล้าจังเลยนะเธอ             “อะไรนังเพ็ญ ผัวแกก็ผัวแกสิ ฉันแค่อยากกิน จะทำไม” อีกะเทยหัวโปก ทำท่าแบบว่าไม่ยอมถอยครับ จะได้ดูมวยเหรอวะเนี่ย ดีจัง เอาเลย ตีกันเลย กูจะคอยดูจะไม่ห้ามสักคำ เอาเลยสิวะ             “เดี๋ยวเขาคงกินมึงหรอกนะ อีกะเทยโรคจิต อีไม่สวย สวยก่อนค่อยมา คิดนะยะ” เสียงเพื่อนๆหัวเราะดังขึ้น             “โอ๊ย สวยไม่สวยก็กินมาหลายคนแล้วล่ะย่ะ ไม่เคยได้ยินเหรอ ไม่สวยแต่แซ่บน่ะ หล่อนน่ะก็ดีแต่หน้ากลางๆ ไม่แซ่บ เดี๋ยวเขาคงเขี่ยสักวัน” ที่จริงเธอสวยนะผมว่า แต่ถ้าไม่แอบทาแป้งมา คงจะดูสดใสมากกว่านี้             “อีชาติหมา ตบกันเลยไหม อย่างหล่อนน่ะ ตายสิบชาติหนังหน้าก็คงไม่เท่านี้หรอก” เพ็ญเองก็ไม่ยอมครับ เอ่อ ตอนแรกนึกว่าจะสนุก แต่ดันเวียนหัวขึ้นมา อะไรวะเนี่ย             “อุ่นๆ จารย์พรเรียกน่ะ” อ่า หัวหน้าห้องครับ ผมยิ้มให้ทันทีแบบไม่ต้องแอ๊บอะไรทั้งนั้น             “เรียกเราเหรอ ที่ไหน” ผมดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ทันที ยิ้มให้หัวหน้าห้องเหมือนว่าในห้องนี้มีแต่เขาคนเดียว เหล็กดัดฟันนั่นก็นะ ทำไมมันมีเสน่ห์เหลือเกิน ยิ้มอีกสิหัวหน้า ยิ้มๆๆ             “ห้องแล็ปสิเธอ จารย์พรเขาสิงอยู่ในห้องนั้นล่ะ” อีกะเทยหัวโปกมันตอบแทนหัวหน้าครับ ผมหน้ามุ่ยลงทันที แล้วไอ้ห้องแล็ปนี่มันอยู่ตรงไหนล่ะ อาคารมีตั้ง ๗ อาคาร             “อาคาร ๔ นะอุ่น หมวดภาษาน่ะ” ปลื้มใจเป็นที่สุด นี่ล่ะถึงจะสมเป็นหัวหน้าห้อง และยังเป็นคนที่ถูกตาต้องใจเป็นที่สุด ผมเดินออกจากห้องไปทันทีครับเดินเรื่อยเปื่อย ลอยละลิ่วไป สายตาคนที่มองก็ยังมองอยู่ คราวนี้ไม่ใช่มองอย่างเดียว มีแซวด้วยนะ เพราะกางเกงกับเสื้อนักเรียนของผมยังไม่ได้เปลี่ยน เอาเข้าไป แต่นะ เริ่มจะชิน ก็คนมันเด่นนี่นะมองได้มองไป แซวได้แซวไป เถอะไม่สนใจหรอก ผมเดินขึ้นอาคาร ๔ ไปเดินหาอยู่ว่าไอ้ห้องแล็ปภาษาอังกฤษนี่มันอยู่ไหนกันวะเนี่ย             “อ๊ะ ขอโทษเราไม่ทันมอง” ผมก็นะ ไม่ได้เอ๋อนะเว้ย ก็มัวแต่มองสูงหาป้ายนี่หว่า ใครจะมองอย่างอื่นล่ะ ก็ผมดันไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า             “ย่างจั่งได๋บ่เบิ่ง ขอโทษแหม่ะ” อ้าวไอ้นี่ เมื่อกี้กูบอกขอบคุณหรือไงวะ ไอ้บ้า             “เอ่อ เราเพิ่งขอโทษไปนะ” ผมพูดออกไปมองหน้ามัน มันก็จ้องหน้าผม ทำไมเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ มันโย่งๆกันเยอะจังวะเนี่ย ผิวนี้เกรียมดำเชียวคงจะ ไปตากแดดมา             “บ่แม่นเด็กนักเรียนนี้แม่นบ่ เอ่อ ใช่ไหม มาใหม่เหรอ มาทำไร” เออนะนึกว่าจะโง่ เออสิ ถ้าใช่ จะหน้าตาผุดผาด ใส่กางเกงสีต่างจากพวกมึงแบบนี้ไหมเนี่ย             “บ่แม่น เอ้ย แม่น เราเพิ่งย้ายมา” ผมก็นะ บ้าจี้ตอบมันออกไป             “อ้าวเว้าลาวได้ติ๊ อยู่ ม.หยัง” เอ่อ กูพอฟังได้เว้ยไม่ได้พูดได้             “ม. ๕” “ฮ่วยเป็นน้องเด้นี่ เอิ้นอ้ายติ๊” อ่านะไม่บอกก็รู้เว้ย แหมนะไอ้บ้าอำนาจ             “นายๆ เอ่อ พี่ๆ ห้องแล็ปภาษาอังกฤษอยู่ไสนะ” ได้โอกาสถามเลยสิครับ จะเดินหาทำไมให้เมื่อย             “ไปหาจารย์พรติ๊ นี่ห้องนี่” มันชี้ไปห้องใกล้ๆนั่นล่ะครับ ป้ายตัวเท่าช้าง เออนะ กูไม่น่าถามมันเลย ผมเดินผ่านมันไปทันที             “เดี๋ยว มาหาจารย์พรเฮ็ดหยัง สิไปเข้าค่ายติ๊” อุ๊ย ลืมๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีสกุลรุนชาติ             “อ้อ ไม่รู้เหมือนกันพี่ ขอบคุณนะครับที่บอก” อิอิ ขอบคุณเขาหน่อยสินะ ผมหันมายิ้มให้มัน แล้วเดินไปหน้าห้องเคาะประตูก่อน             “เข้าไปโลด จารย์พรเพิ่งจะด่าบักเดี๋ยวไป เออ เจ้าแม่นบ่ที่มีเรื่องกับบักเดี๋ยวเห็นเขาลือกัน มานี่แน่ะให้ถามแน่ะ” อ้าวนะมันเดินมาดึงแขนผมทันทีครับ             “อ่า ผมจะไปหาจารย์อ่ะพี่ ค่อยคุยได้ไหม”             “เพิ่นบ่ว่าหยังดอก อ้ายเพิ่งจะออกมาจากห้อง”             “อ้าวพี่ไม่เรียนเหรอ”             “เรียนแต่สิไปดูดหรี่ อยากดูดบ่ไปนำกัน” ผมแสยะปากทันที ถึงว่าทำไมมันปากดำๆ             “ไม่ดูด พี่ไปเถอะ ผมไม่ดูด”             “อ้าว บ่ดูดกะมาเว้าให้ฟังแน่ะ ไปเฮ็ดหยังบักเดี๋ยวคือสิตีเอา” โว้ยย ขี้ เกียจเล่าเว้ย ผมทำหน้ามึนๆ งงๆใส่มันครับ             “บ่เข้าใจติ๊ ไปทำไรไอ้เดี๋ยวถึงจะตีเอาน่ะ” มันอธิบายอีกรอบ ผมก็ทำท่าพยักหน้า             “บ่ได้ทำหยังนะพี่ ผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แค่นี้ใช่ป่าว ผมจะไปหาจารย์ผมจะรีบไปเรียน” เอาวิชาการเข้าอ้างครับ ผมก็เดินกลับไปที่ประตูทันที อ้าวไอ้นี่มันเดินตามมาครับ มิหนำซ้ำมันดึงแขนผมเข้าไปในห้องอีก             “จารย์น้องเขามาหา” มันพูดออกไปครับ เปิดห้องเข้าไป โว้ เด็กนักเรียนนั่งอยู่เต็มห้องแล็ป และก็พุ่งสายตามาทางผมกับมันทุกคู่             “อ้าวมาแล้วเหรอคะนักเรียนใหม่” เสียงอาจารย์ทักมาครับ ผมก็รีบสะบัดมือมันออก แล้วยกมือไหว้อจารย์ทันที             “ครับ จารย์หาผมเหรอครับ” ผมตอบออกไป เสียงแซวดังขึ้นทันที แซวอะไร? แซวทำไม?             “เฮ้ย บักแบงค์ ไปเอาน้องเขามาแต่ไส อย่าไปใกล้น้องเขาหลายเด้อสีมันสิตกใส่น้องเขา” เสียงเพื่อนๆในห้องแซวมันครับ ผมก็ยืนหน้าเอ๋ออยู่             “นี่ๆเบาๆหน่อยสิพวกเธอ อุรดิศ คือเรื่องไปเข้าค่ายน่ะจ๊ะ รู้เรื่องแล้วใช่ไหมจ๊ะ ก็บ่ายวันศุกร์นี้ล่ะ ออกเดินทางเก็บของให้พร้อมสำหรับสามวันนะจ๊ะ ตอนไปใส่ชุดนักเรียนไปด้วย ว่าแต่เรายังไม่มีชุดใหม่เหรอ” หือ อะไรนะ ผมมัวแต่ฟังพี่ๆในห้องเขาแซวไอ้นี่ตลกดี             “อ่า เอ่อ ครับๆ ได้ครับ” ผมตอบออกไปเหรอหรา             “ครูถามว่า ยังไม่มีชุดเหมือนเพื่อนๆเขาเหรอ กางเกงน้ำตาลรองเท้าน้ำตาลน่ะ”             “อ่า ยัง มี ครับ” “หือ ยังไม่มี หรือว่ามีแล้ว”             “มีไม่แล้ว เอ้ย พ่อบอกว่าซื้อแล้วครับ” เสียงหัวเราะดังขึ้นคับห้องครับ เอ่อ นี่กูตลกตรงไหนวะ ก็พ่อกูบอกว่าไปสั่งตัดไว้แล้วนี่หว่า แต่ยังไมได้ไปเอามา ทำไมอ่ะผิดตรงไหนเนี่ย             “ไหวบ่น้อจารย์ คือเป็นแต่เอ๋อแท้” เสียงลอดออกมาครับ พร้อมกับเสียงหัวเราะดังกระหน่ำ หนอยแน่ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพวกมึง             “อ้อ จ้า แล้วเมื่อไหร่จะได้ล่ะ วันศุกร์ทันไหมจ๊ะอุรดิศ ครูไม่อยากให้เราดูต่างจากเพื่อนน่ะ” พูดแล้วหัวเราะ หมายความว่าไงวะเนี่ย ผมก็ตอบไปครับ แล้วรีบออกมาจากห้อง โว้ยย จะหัวเราะส่งเสียงอะไรกันขนาดนั้นวะเนี่ย คนเขินนะเว้ย จิ๊ อารมณ์เสียไปกินน้ำดีกว่า             “เดี๋ยวๆน้องๆ อุรดิศ อิอิ” เอ่อ เสียงเรียกดังมาจากข้างหลังครับ ผมหยุดแล้วหันไปมอง อ้าว ไอ้บ้านั่นนี่             “มีไรพี่” ผมถามเขาไป มันจะวิ่งตามกูมาทำไมวะเนี่ย เออ พอดีเลยถามเลยก็แล้วกัน             “สหกรณ์อยู่ไหนเหรอพี่ ผมอยากกินน้ำ” ผมชิงถามมันไปก่อนครับ             “อยู่ตึก ๓ สิไปสหกรณ์ติ๊ อ้ายไปนำ” อ้าว มึงไม่เรียนว่างั้น แหมนะเรียนสบายจังเลยนะมึง             “พี่ไม่เรียนเหรอ” ผมถามมันออกไปครับ             “เรียน กะจารย์พรเพิ่นให้มาบอกว่า ตอนเลิกเรียนให้มาเทสต์ภาษากับเพิ่นเด้ เลยแล่นออกมาบอก” เอ่อ เออจริงสินะ ผมเพิ่งจะเข้ามาได้สองวัน และยังได้รับเลือกให้ไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษอีก คงไม่มีใครเชื่อฝีมือล่ะ เป็นผมเองก็คงไม่เชื่อ ที่ได้ไปนั่นก็คงเพราะพ่อผมล่ะที่คุยไว้ เฮ้อนะ เออๆ เทสต์ก็เทสต์ไม่กลัวหรอก ไม่ใช่ฟิสิกส์ ภาษาไทย อะไรพวกนี้นี่ อิอิ พวกนี้ไม่ถนัดนี่นา หยุดนะ ห้ามหัวเราะเยาะผมนะ ก็จะทำไมล่ะ ก็คนมันถนัดวิชาเดียวนี่หว่า ซิงเกิ้ลสคิลน่ะเข้าใจป่ะ อิอิ             “ชื่อเล่นบ่มีติ๊” มันถามครับ             “ชื่ออุ่นพี่” ผมตอบออกไปครับ รีบเดินลงจากตึกมันก็เดินตามมา เอ๊ะ จะเดินติดกูทำไมหนักหนาวะเนี่ย กูร้อน             “อ้ายชื่อแบงค์เด้อ อยู่ ม. ๖ ทับ ๓ ไปหาได้ตลอด” หือ ไปหาทำไม ผมมองหน้ามันงงๆครับ             “อ้าว กะเผื่อมีปัญหาหยังกับบักเดี๋ยวเด้ เดี๋ยวอ้ายจะเคลียร์ให้เอง” ว้าว มีคนอาสาแล้วครับท่าน ผมยิ้มออกมาทันที             “จริงเหรอพี่ ผมไม่ชอบเขาเหมือนกัน ชอบทำตัวกร่าง นิสัยเสีย ผมไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ แต่เขาน่ะชอบมาหาเรื่องผม คงไม่มีเพื่อนคบล่ะสิ คนมีปมด้อยเนอะ พี่ว่าไหม” ผมได้ทีเผามันใหญ่เลยครับ             “มันเตะบอลเด้ มันเรียนเก่ง เออ มันเป็นหมู่อ้ายเองล่ะ” แปลว่า มันเป็นเพื่อนกูเองล่ะ อะไรประมาณนั้น แว้กก ไอ้บ้าแล้วจะมาบอกกูทำไมวะเนี่ย             “อ้าว เอ่อ อ่า พี่อ่ะ อย่าไปบอกเขานะ ผมไม่อยากให้เขามาวอแว”             “ฮ่าๆ บ่บอกดอก เจ้ายิ้มแล้วเป็นตาฮักเนาะ” หือ อ่า นี่พี่เขาชมผมอยู่ใช่ไหม แว้กก เขิน ไหนดูหน้ามันชัดๆซิ ว่าไปแล้วถ้าไม่ติดดำ กับมีสิวเม็ดใหญ่ๆนี่ก็ใช้ได้นะเนี่ย หา นี่ผมมีคนมาจีบ พี่เขาจีบผมอยู่ใช่ไหม แว้กก เสน่ห์แรงอะไรแบบนี้เรา เห็นมะ ผมบอกแล้วว่าผมน่ะแค่ไหน โฮะๆ ไม่ต้องให้บรรยายสรรพคุณหรอกนะจะบอก เห็นกันอยู่โต้งๆ คนมันมีอะไรดีก็งี้ล่ะนะ อิอิ             “เฮ้ย บ่ได้หมายควมว่าอ้ายมักผู้ชายเด้อ แค่เว้าเท่าที่เห็น ยิ้มแล้วเบิ่งน่าฮัก” เอ่อ อารมณ์เสีย เออๆกูรู้เว้ย             “ไหนอ่ะสหกรณ์” หุบยิ้มทันทีในบัดดล แหมนะ กูก็ไม่ได้คิดว่ามึงจะชอบหรอกนะหน้าตาก็งั้นๆล่ะ คงไม่มีใครเขาเอา ก๊ากก โมโหเลยๆ             “เคียดติ๊” มันมาสะกิดผมครับ             “เครียดไร ผมไม่มีอะไรให้เครียดพี่”             “โกรธติ๊” “หา โกรธเรื่องไร อย่าพูดมากพี่ พาไปเร็วๆเลยผมสายแล้วเนี่ย พี่นี่ขี้ซักจังนะ คิดไรกะผมป่ะเนี่ย”             “เฮ้ย คิดบ้าติ๊ ฮ่วยคนสิพาไปดีๆมาเว้าแนวนี้เด๊ะ เต๋เอาเด๊ะ” อ้าวๆ อารมณ์ขึ้นครับท่าน             “โหยพี่อ่ะ ล้อเล่นน่า ขอบคุณนะครับพี่ที่พามา” ผมยิ้มแห้งๆเพราะท่าทางมันคงจะเอาจริงล่ะครับ ผมรีบเดินตรงดิ่งไปที่สหกรณ์ครับ ซื้อนมเปรี้ยว กับน้ำเปล่ามาดื่มพอแก้กระหาย แล้วรีบเดินกลับไปที่อาคารเรียน พอตอนเย็น ผมก็ไปหาอาจารย์พรฤดีที่ห้องแล็ปครับ แกให้ผมลองอ่านออกเสียง แล้วก็สนทนากับแก สองสามประโยค             “เอาล่ะอุรดิศ คำเดียวเลย เริ่ดค่า เธอเป็นคนเดียวในโรงเรียนนี้นะ ที่ ออกเสียงภาษาอังกฤษได้กระแดะที่สุด” เอ่อนี่ชมหรือว่ากัดเนี่ยจารย์             “ว้าย อย่าคิดแบบนั้น กระแดะ คือพูดแล้วถ้าหลับตาฟัง ครูคิดว่าเจ้าของภาษามาเอง ดีมาก คอยดูนะเบ็ญจฯก็เบ็ญจฯเถอะ ขอนแก่นก็ขอนแก่นเถอะ มาเจอ อ.จ หน่อยสิ กรี๊ด ครูดีใจจัง” เอ่อ นี่แกเสียจริตไปเลยเหรอเนี่ย อะไรกันแค่พูดธรรมดาเองนะ ก็โรงเรียนผมเขามีแต่ฝรั่งมาสอนนี่นะ จะไม่ให้พูดเหมือนเขาได้ยังไง พอเสร็จจากอาจารย์ ผมก็เดินออกจากโรงเรียนล่ะครับ แต่ว่า เอ่อ ตอนมากูมาทางไหนวะเนี่ย เลี้ยวซ้ายไปก็ศาลจังหวัด ขวาหรือเปล่าหรือว่าข้ามฝั่งไปทางโน้น ไปทางไหนอ่ะ ตายๆไอ้อุ่นมาดันจำทางกลับบ้านไม่ได้             “เอี๊ยดด” “เอ้ย” เชี่ย ตกใจครับ แม่งก็มีรถเครื่องรุ่นสงครามโลกมาล้มปาดหน้าผมน่ะสิ เอ๊ะหรือว่ามันพยายามจะดริฟท์ต่อหน้าผมเนี่ย แต่ดูท่าทางแล้ว ยังไงเขาก็ไม่เรียกว่าดริฟท์นะ รถเก่ามากๆขอบอก พอผมเห็นว่าใครก็ถอนหายใจออกมาทำหน้าเซ็งสุดๆ             “ทำไมทำหน้าแบบนั้นใส่กู วันนี้ล่ะกูจะชำระแค้น ไอ้เชี่ย” อ้าวก็กูเหมือนเจอควายเหม็นๆตัวหนึ่งอ่ะ กูเลยทำหน้าแบบนั้นออกไป เห็นไหมครับ ไอ้นี่มันนิสัยไม่ดี คำก็ด่าสองคำก็ด่า สงสัยแม่มันจะต้มใส่ข้าวให้กินทุกวัน มันเลยซึมเข้าเส้นเลือดมัน             “ความไร ไม่มีความ มีแต่ควายนะแถวนี้” ผมถอยนิดหน่อย พอเป็นพิธีไม่ได้กลัวมันหรอกนะขอบอก คนอย่างอุรดิศ ไม่เคยกลัวใครแต่ก็นะ แหมมาดูตัวมันก่อนเถอะครับ ตัวอย่างควายแล้วผมล่ะ ตัวอย่างกะนกกระเรียนขาว ว้ากก             “ปากดีนะมึง ปึ๊ก” โว้ยย ต่อยกูอีกแล้ว ไอ้เชี่ยเอะอะก็ต่อย ผมตัวงอลงทันทีครับ กูเพิ่งจะหายท้องเสียนะเว้ย ไอ้บ้านิสัยเสีย เดี๋ยวตั้นคืนสักหมัดดีไหมเนี่ย             “โอ๊ย ต่อยทำไมอ่ะ”             “มึงด่ากูเหรอ มึงอยากตายเหรออีตุ๊ด” หา ว่าไงนะ ไม่เคยมีใครว่าผมแบบนี้เลยนะ เพราะอะไร เพราะผมไม่ได้เป็นตุ๊ด ผมแค่มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้เป็นตุ๊ดเข้าใจไหม ผมเป็นชายรักชาย ไม่ได้อยากจะเป็นหญิง เข้าใจไหม ไอ้เชี่ยด่ากูเพื่อ             “ด่ามันเจ็บเหรอ” ผมพูดออกไป แหมแล้วทีด่ากูล่ะ แต่ละคำมีแต่ซึ้งๆทั้งนั้นแล้วทำไมด่าคืนแค่นี้จะรับไม่ได้             “ยังอีก” มันกระชากบ่าผมขึ้นแรงๆครับ โอ๊ย กูตัวเล็กกว่ามึงนะเว้ย แค่ดึงเบาๆกูก็ขึ้นมาแล้วจะดึงหาเตี่ยมึงรึไง             “ทีนายต่อยเรา เราก็เจ็บนะ แค่ด่าให้เราต่อยคืนบ้างไหมล่ะ” จริงไหมล่ะ ผมไม่ได้ต่อยมันสักหน่อยนะ มันยังบอกว่าเจ็บผมแค่ด่ามันเองแล้วทีมันด่าผมล่ะ ไหนจะต่อยผมอีกคนเรานี่นะนิสัยแย่จริงๆ             “ไม่ต้องพล่าม วันนี้ล่ะ เลือดหัวมึงไม่ออกอย่ามาเรียกกูว่าไอ้เดี๋ยว ไอ้ หน้าจืด ไอ้ตุ๊ด” อีกล่ะ แม่งว่ากูตุ๊ดอีกล่ะ อย่างน้อยกูว่ากูแมนกว่ามึงก็แล้วกัน เพราะกูไม่เคยไปเทียวหาเรื่องใครต่อใคร ประกาศศักดาว่าตัวเองแมนเต็มร้อย แต่ที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะ มันหน้าตัวเมียมึงรู้ไหม ไอ้เชี่ยยย             “โว้ยย จะต่อยก็ต่อยสิวะ ผลักทำไมเนี่ย เวียนหัวนะ” นี่แน่ รำคาญเว้ย แม่งจะต่อยก็ไม่ต่อย ดึงหน้าดึงหลังอยู่นั่นล่ะ กูเบื่อ เวียนหัวเว้ย แม่งจะต่อยก็รีบต่อยกูจะรีบกลับๆไอ้ห่า             “ปึ๊กๆ” “แอ่ก” โหย เล่นชกกลางอกกูเลยนะมึง จุกสิครับมันต่อยตรงหน้าอกข้างซ้ายผมพอดิบพอดี เจ็บสิวะ เป็นใครก็ต้องเจ็บ มือมันก็บีบที่บ่าผมแรงๆอยู่ มาถึงตอนนี้ ผมไม่เข้าใจเลย ว่าผมไปทำอะไรให้มันมากมายขนาดนั้นเหรอ ทำไมมันถึงมาคอยตามราวีผมอยู่ ไม่ชอบหน้าผมขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าไม่ชอบขนาดนั้น ก็ไม่ต้องมองหน้าผมสิผมจะดีใจมาก ผมเสียใจนะเว้ยที่เด่น ที่หน้าตาดีกว่ามัน แต่จะให้ผมทำยังไงล่ะ จะให้ทำให้ตัวเองเสียโฉมเพราะมันน่ะเหรอ เฮอะ ฝันไปเถอะ             “เป็นไง ท้าทายกูดีนักนะมึง”             “พอใจหรือยัง เราจะ จะรีบกลับบ้าน” ผมเหนื่อยครับ ไม่รู้สิคิดไปเยอะแล้วมันคงจะไม่หยุดแค่นี้หรอก แต่ตอนนี้เบื่อแล้ว เหนื่อยแล้วจะทำอะไรก็ทำ แต่ทำไมกูน้ำตาไหลวะเนี่ย ก็มันเจ็บนี่หว่า ไม่ได้ร้องไห้นะ แต่มันแค่น้ำตาซึม ตั้งแต่เกิดมาผมเคยมีเรื่องครั้งเดียว แต่ครั้งนั้นผมไม่ได้ร้องไห้นะแล้วนี่อะไรเนี่ย             “สำออยอีก อีตุ๊ด”              “ไม่ต่อยใช่ไหม เรากลับบ้านนะ” ผมพูดออกไปครับแล้วเดินหนีไป ไอ้ควายเอ้ย เกลียดมึงจริงๆเลย ให้ตายเถอะ แล้วให้กูไปทางไหนเนี่ย เว้ย อารมณ์เสียคนยิ่งรีบๆอยู่ด้วย             “นี่ตัวเธอๆ ไปหาจารย์พรมาเหรอ ไปกินส้มตำกับเราไหม” เอ่อ พอเดินพ้นหน้าโรงเรียนมา อีกะเทยหัวโปก ที่ยืนจีบผู้ชายอยู่หน้าโรงเรียน มันก็ผละออกจากกลุ่มผู้ชายมาทางผม ใคร คุยกับใคร กูเหรอ             “อืม เออ ชาติ เอ้ย ญ่า จวนผู้ว่านี่ไปทางไหนเหรอ” ผมถามมันครับ             “ว้าย อย่าบอกนะ ว่าจำทางกลับบ้านไม่ได้ อะไรอ่ะ ตัวเธอ สมองปลาทองจริงๆ ดีแต่หน้านะ” อ้าว อีนี่ เดี๋ยวเถอะ ไม่น่าถามมันเลย             “อ้าวๆ ล้อเล่นน่า เดี๋ยวเราพาไป” ผมเดินหนีครับ ไม่มีอะไรจะคุยกับคนพวกนี้ เออกูหน้าตาดี ไม่ได้ดีแต่หน้าเว้ย นิสัยกูก็ดี กูไม่เอาทองไปลู่น้ำครำอย่างมึงหรอกอีบ้า             “ไม่เป็นไร เราจำได้ กลับล่ะนะ” ผมตอบออกไปครับ คนอย่างอุรดิศฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย ต่อให้หลงทาง ก็ไม่มีทางไปขอความช่วยเหลือคนอย่างนี้ ไม่มีทาง ให้มันรู้ไปสิ ว่าคนเมืองนี้จะไม่มีใครรู้จักจวนผู้ว่า ผมรีบเดินมาครับผ่านสวนกลางเมือง แล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ เด็กนักเรียนก็ออกันอยู่นั่นล่ะครับ แต่ผมจะไม่เอ่ยถามใครอีกล่ะ เสียฟอร์มสิวะ แหมนะ เดี๋ยวมันก็เอาไปเผาทั้งโรงเรียนสิ ขี้เกียจจะแก้ข่าว คนดังก็งี้ล่ะนะ             “อ้าว น้องอุ่นไปไส” เอ่อ โว้ยย จะอะไรกับกูหนักหนาวะเนี่ย เรียกกูอีกแล้ว ผมหันไปตามเสียงเรียกครับ อ่า ไอ้พี่คนนั้น             “พี่” ผมร้องออกไป เหมือนเจอแสงสว่างของชีวิตทำตาวิ้งๆ เขาขับฟีโน่ครับถ่างขาออกร้อยแปดสิบองศาได้มั้ง แหมนะกลัวคนไม่รู้หรือไงนะว่ามีไข่ ไอ้บ้านี่             “ไปไสล่ะเจ้า บ่เมือบ้านติ๊”             “เมือ แต่จำทาง เอ่อ” ผมหุบปากครับ ไม่อยากเป็นปลาหมอตายเพราะปาก             “ฮ่าๆ อย่าบอกเด้อว่า จำทางเมือบ้านบ่ถืก” นั่นไง หัวเราะกูอีกล่ะ ไม่ น่าเลยกู             “ป่าวซะหน่อย จะไปบิ๊กซี” ผมแถไปล่ะครับ เห็นเพื่อนในห้องบอกว่ามีบิ๊กซีนี่นะ             “บิ๊กซี ไปทางพู้นเด้ อย่าๆ อย่ามาตั๋ว ไปอ้ายสิไปส่ง” อ่า ไม่ต้องเลยนะมึง หลอกด่าแล้วหัวเราะกูแล้ว ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ไม่มีทางหรอกนะ ที่จะไปด้วยเสื่อมเกียรติวงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง             “จับดีๆเด้อ กอดแอวกะได้ อ้ายบ่ว่า แต่อย่ามากอดใกล้ลูกชายเด้อเดี๋ยวมันสิตื่น” เอ่อ แล้วกูปีนขึ้นรถมันทำไมวะเนี่ย โว้ยย กูนี่นะ โมโหตัวเองเหลือเกิน             “ไม่กอดหรอก พี่จะไปส่งที่ไหนเหรอ”             “อ้าว กะสิไปบิ๊กซีบ่แม่นติ๊ อ้ายสิไปส่ง”             “อ้อ ครับๆ” เออนะ ไม่เป็นไร ให้มันพาไปนั่นก่อน แล้วค่อยถามทาง ไหนๆก็ไปเดินหาซื้ออะไรหน่อยก็ดี เอ๊ะ ว่าแต่กลิ่นไรเนี่ยสาบๆ             “ฟุดฟิดๆ” ผมทำจมูกฟุดฟิดครับ             “เหม็นติ๊ อ้ายเพิ่งจะเต๋บอลมา บ่ทันได้อาบน้ำ เหม็นเหงื่อ” เออนั่นสิ แหวะ พอบอกออกมาเกือบจะอ๊วกแตก ไรอ่ะทำไมตัวเหม็นจังวะพี่ไม่ผ่านนะเว้ย             “เอ้ย พี่” เชี่ย มันเบรกสิครับ ไอ้บ้านี่มันแกล้งผมครับ เพราะพอผมบอกว่าเหม็นทำท่าทาง ผมก็ถอยออกมานั่งริมเบาะเลยสิ ใครจะไปนั่งใกล้มัน มันก็เลยเบรก             “อ้าว ถอยออกไปหยังล่ะ เดี๋ยวกะตกรถ ลมพัดคราวเดียวเหงื่อกะแห้งดอกน่า อย่าเฮ็ดคือหลาย”             “เฮ็ดคือ คืออะไร” ผมไม่เข้าใจครับ ไม่ได้แอ๊บนะเว้ย คำนี้ไม่เข้าใจจริงๆ             “ก็ทำท่าดัดจริตไง” เอ่อ ขอบคุณ ด่ากูอีกล่ะ ให้กูกอดเลยมะจะได้เหม็นพอกัน ไอ้บ้านี่ เอาเป็นว่าผมก็นั่งเข้าไปใกล้มันกว่าเดิมล่ะครับ แล้วก็จับที่จับด้านหลัง ไม่มีทางหรอกที่จะไปกอดมันรับไม่ได้ มันเหม็นเหงื่อมันจริงๆนะขอบอก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม