“หญ้าทำกินเองก็ได้ ก็แค่กินกันตายเนอะจะไปสนความอร่อยทำไม”
คราวนี้เป็นพ่อครัวหัวป่าที่ทำผัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้อร่อยจนหาตัวจับยากบ้างที่มองตามยายเด็กแสบเดินคอตกเข้าไปในครัว
อาการกระแทกกระทั้นเล็กๆ ไม่ถึงกับเสียงดังโครมครามเวลาญาติกาหยิบจับข้าวของทำให้เขารู้โดยทันทีว่าหญิงสาวกำลังแง่งอนอยู่เป็นแน่
“เอ้า ลวกเส้นแล้วคนหม้อควั่กๆ แบบนั้นเส้นได้เละกันพอดีสิวะ”
“เละหญ้าก็กินได้ค่ะ”
“แกกินได้แต่ฉันกินไม่ได้”
คำบอกกล่าวของสิงห์คบทำให้เธอต้องเหลียวหันหลังกลับไปมองพ่อหนุ่มบ้านไร่จนเต็มตา เขาจะมาไม้ไหน แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามออกไปก็เป็นเขาเองที่เอื้อมมือเข้ามาคว้ากระชอนอันเล็กที่อยู่ในมือของเธอไปถือเสียเอง
“ทำไม่เป็นก็ไปนั่งรอ เดี๋ยววันนี้ฉันทำเอง”
“แต่เมื่อกี้นายบอก...”
“ตกลงจะกินมั้ย ?” เขาสวนขึ้นมาด้วยสุ้มเสียงจริงจังจนญาติกาต้องเป็นฝ่ายถอยฉากออกมาจากหน้าเตา
ไม่นานนัก ‘มาม่าผัด’ เมนูแสนง่ายและใช้เวลาทำอย่างรวดเร็วไม่ต้องให้คนหิวรอนาน วัตถุดิบก็มีเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอันเป็นหัวใจหลักสองซองของเขาและเธอ ไข่เป็ดที่ซื้อมาจากคนงานในไร่หนึ่งฟอง กะหล่ำปลีที่เธอจิ๊กเอามาตอนคู่ค้ามารับของถึงไร่ไว้นิดหน่อยก่อนจะขึ้นตราชั่ง ต้นคะน้ายอดอ่อนๆ ก็ด้วย เป็นอันเสร็จครบองค์ประชุม และตอนนี้มันก็กำลังส่งควันกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“ค่อยๆ กินดิ เดี๋ยวก็ติดคอตายกันพอดี ขี้เกียจหามไปโรงหมอ”
ส้อมที่ม้วนเส้นบะหมี่ขึ้นเป็นคำโตๆ หยุดนิดนึงก่อนจะถูกส่งเข้าปากเมื่อได้ฟังคำทักท้วงเสียงเข้ม อดขำกับตัวเองไม่ได้ที่ดันไปหลงรักคนบ้างานอย่างสิงห์คบ แถมอายุเขาก็มากกว่าเธอเป็นรอบ นี่ยังไม่รวมความขมปี๋ไร้น้ำตาล พูดจาเป็นพวกมะนาวไม่มีน้ำอย่างเมื่อครู่นี่อีก หากจะรอความหวานจากชายหนุ่ม เห็นทีเธอคงได้รอทั้งชาติก็คงไม่มีวันได้สัมผัส
“ก็มันอร่อยนี่คะนาย”
“อร่อยหรือตะกละกันแน่”
ญาติกาเผลอย่นจมูกใส่ทั้งที่ยังมีของกินอยู่ในปาก ลืมไปซะสนิทว่าก่อนหน้านี้เธอมีคดีความที่ยังถูกสิงห์คบสะสางไม่เรียบร้อย
“แล้วนายไม่กินเหรอคะ”
ผู้จัดการไร่หนุ่มมองถ้วยมาม่าผัดที่ถูกวางลงบนโต๊ะเพียงไม่กี่นาทีก็หมดไปแล้วเกินครึ่ง ก่อนจะกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางญาติกาคงหิวมากอย่างที่บอก อันที่จริงเขาควรจะดัดสันดานหญิงสาวให้อดซะให้เข็ด เพราะถึงเวลากินกลับไม่ยอมกิน วิ่งโร่ออกไปหาแต่เรื่อง ทำตัว
ไร้สาระจนเกือบเอาตัวไม่รอด... แต่ใจก็แข็งไม่พอ
“ทำให้แกกินต้องใส่น้ำตาลเป็นช้อน หวานขนาดนั้นฉันกินไม่ลงหรอก”
“ขนาดไม่กินหวานยังดุขนาดนี้ ถ้ากินหวานแบบหญ้าสงสัยเจ้าดำคงชิดซ้าย” ‘เจ้าดำ’ คือสุนัขสีดำตัวใหญ่พันธุ์ร็อตไวเลอร์ของลุงยามที่อยู่หน้าทางเข้าไร่โน่น
“นี่แกกล้าเอาฉันไปเปรียบกับเจ้าดำ !?”
“หญ้าแค่ล้อเล่นน่า”
มีเสี้ยวนึงที่ญาติกาสงสัยและเถียงอยู่ในใจเหมือนดังเช่นทุกที เธอกับรัฐศาสตร์ติดรสหวาน แต่กับสิงห์คบเขาแทบไม่แตะอะไรที่ใส่น้ำตาลเลย เวลาเธอปรุงกับข้าวที่ต้องกินกันหลายๆ คน ก็จะเลือกทำเมนูให้คุณหนึ่งอย่างนึง นายสิงห์อีกอย่างนึง ส่วนเมนูไหนที่กินด้วยกันได้ก็จะปรุงกลางๆ คือไม่หวานโดดอย่างที่คุณหนึ่งชอบ หรือไม่หวานเลยแบบที่นายสิงห์ชอบ... แต่ในเมื่อมาม่าผัดนี่เป็นฝีมือของนายสิงห์เอง เธอเลยไม่เข้าใจว่าเขาทำไมไม่ปรุงแบบที่ตัวเองกินได้ ซึ่งเธอกินรสมือเขาได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา เพราะต่อให้ไม่ได้ความหวานจากน้ำตาล ก็ยังได้ความหวานจากคนทำอยู่ดี
‘คิดแล้วก็เขินเอง’
“ฉันว่าไม่ได้ตำพริกใส่ไปสักเม็ดนี่หว่า ทำไมแกถึงหน้าแดง”
สงสัยปฏิกิริยาเธอจะแสดงชัดไปหน่อย ญาติกาเลยกลบเกลื่อนมันด้วยเรื่องอื่น
“ช่างหน้าหญ้าเถอะ เอ้านี่ หญ้าป้อน” เธอยื่นส้อมที่ปลายของมันพูนไปด้วยเส้นบะหมี่ไปตรงหน้าแทบถึงปากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เอาน่า ไม่เสียฟอร์มเท่าไรหรอก”
ญาติกาอมยิ้มกลั้นขำไว้สุดกำลังเมื่อคนที่ทำหน้ามู่ทู่บู้บี้ยอมอ้าปากรับของที่เธอป้อนให้
“กินช้อนเดียวกันก็ไม่เป็นไรหรอกน่านาย จูบกันก็ยังเคยมาแล้ว”
พรวด... !
นั่นเป็นเสียงพ่นของกินออกมาจนเกือบสำลักของสิงห์คบ ตามมาด้วยเสียงไอค็อกแค็กไม่หยุดจนเธอต้องยื่นน้ำทั้งขวดไปให้เขากระดกดื่ม
“เขินเหรอนาย”
“เขินบ้าเขินบอสิ พูดอะไรไม่คิด แล้วถามหน่อยเถอะว่าฉันไปเสียจูบให้แกตอนไหน”
สมัยญาติกายังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นไม่ใช่สาวสวยสะพรั่งเต็มตัวอย่างตอนนี้ เวลาที่ถูกเจ้าหล่อนแทะโลมทั้งจากสายตา ท่าทางและคำพูด เขายังแค่รู้สึกจั๊กจี้เล็กๆ เท่านั้น แต่มาบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นได้ถูกแทนที่ด้วยความซ่านสยิวจนหมดสิ้น และดูมันจะทวีอานุภาพความรุนแรงจนน่าตกใจ
“ก็เมื่อคืนก่อนไง นายนี่ลืมง่ายจริง”
“แบบนั้นเรียกจูบที่ไหน แค่ปากแตะปาก”
ผู้จัดการไร่สุดเซอร์เลิกคิ้วยียวนพร้อมยิ้มมุมปากด้วยคิดว่ายกนี้ตนเองชนะ แต่เขาคงลืมไปว่านี่คือยายตัวแสบประจำไร่... ใช่เพียงหญิงสาวธรรมดาๆ ทั่วไป สิงค์คบรู้สึกว่าพลาดก็ตอนใบหน้าสวยซนยื่นเข้ามาแทบจะชนกับหน้าเขานี่แหละ
“ก็ถ้าคืนนั้นเรียกปากแตะปาก แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าจูบได้ล่ะคะ... นายสอนหญ้าทีสิ” ญาติกาส่งสายตาวิบวับจับจ้องพร้อมเสียงกระเส่าสั่นที่ดัดขึ้น
‘ไอ้เวรสิงห์ ! รู้ทั้งรู้ว่ายายนี่แกล้งยั่ว แต่มึงดันมีอารมณ์จริงได้ไงวะ’
แก้มใสๆ อมชมพูระเรื่อเหมือนจะแตกซะให้ได้ตอนเจ้าตัวยิ้มกว้าง ไรผมชื้นเหงื่อติดอยู่แถวหน้าผาก ข้างใบหู ละลงมาจนถึงกรอบหน้าช่างเป็นธรรมชาติจนเขาไม่อยากละสายตา ใช่จะไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ตรงกันข้ามเพราะว่ามันบ่อยจนเขารับมือได้สบายมาก นานวันเข้าก็คิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานความรู้สึกดีเลิศ แต่หลายวันมานี้มันดูแตกต่างจากที่เคย ความสามารถที่เขาเพียรฝึกฝนพยายาม ดูจะลดฮวบลงเหลือเท่ากับศูนย์... ไม่สิ ที่จริงบัดนี้มันคงติดลบไปเสียแล้ว !
“ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วแก”
“อูย... เจ็บนะนาย จิ้มเข้ามาได้”
สิงห์คบกลบเกลื่อนความประหม่า ไม่เป็นตัวเอง ด้วยการจิ้มไปที่หน้าผากนูนแล้วดันแรงๆ
“ไหนบอกว่าหิว รีบๆ กินเข้าไปเลย”
เพราะมัวแต่ห่วงสวัสดิภาพหน้าผากตัวเอง ญาติกาจึงไม่ทันได้เห็นว่าบางคนมีท่าทีที่ต่างไป และเพราะเคืองคนนิ้วหนักอยู่หน่อยๆ คำต่อๆ มาเธอจึงสวาปามจนเกลี้ยงไม่เผื่อแผ่ป้อนเขาอีกเลย