ตอนที่1 เจ้าเล่ห์
ชีวิตของข้า...ได้เปลี่ยนแปลงไป
นับตั้งแต่วันที่เจอท่านในครั้งนั้น...
ณ ชายแดนฝั่งทางทิศอุดร มีการค้าติดต่อกับชาวตะวันตก แลกเปลี่ยนสินค้าไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม เครื่องประดับ เสื้อผ้า เกลือ สมุนไพรต่างๆ รวมถึงเสื้อขนสัตว์ที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ในเมืองจางเจี้ยแห่งนี้จึงไม่เคยว่างเว้นความคึกคักจากเหล่าพ่อค้าทั่วสารทิศที่เข้ามาทำการค้ากันอย่างหนาแน่น
ช่วงฤดูวสันต์ ในป่าลึกอันเงียบสงัดแถบชายเมืองที่ไม่ค่อยมีใครกล้าย่างกรายเข้ามามากนัก เพราะเกรงกลัวอันตรายจากสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่กำลังออกหากิน แต่ไม่ใช่กับมู๋ตันและซ้งเหย่ ทั้งคู่เคยชินกับการเข้าป่ามาตั้งแต่เยาว์วัย ราวกับที่นี่เป็นเรือนของตนก็ไม่ปาน และวันนี้ก็เช่นเคยทั้งคู่กำลังง่วนหาคุ้ยเขี่ยไปตามพื้นหญ้ารกหนาสูงเทียบเข่า
“มู๋ตันๆทางนี้! ข้าเจอต้นฮ่วยซัวแล้ว” ซ้งเหย่ บุรุษหนุ่มเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว กล่าวเรียกสตรีวัยเดียวกันที่กำลังคุ้ยดินอยู่อีกฝั่ง
“จริงหรือๆ ไหนๆขอข้าดูหน่อย หวังว่าเจ้าจะไม่พูดส่งเดชเหมือนคราวก่อนอีก” มู๋ตัน สตรีวัยสิบหกหน้าตาดี นิสัยร่าเริง เฉลียวฉลาด ช่างพูดช่างจา ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวใคร สวมใส่อาภรณ์มอมแมมรีบเดินไปหาซ้งเหย่ ที่กำลังใช้มือหนาทั้งสองข้างกวาดดินบริเวณนั้น เพื่อให้เห็นหน่อต้นฮ่วยซัวชัดขึ้น
เมื่อมู๋ตันเดินมามองใกล้ๆ เห็นด้วยตาตนเอง นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะนั่นคือต้นฮ่วยซัวที่กำลังตามหาอยู่จริงๆ ซ้งเหย่หยุดขุด แหงนมองหน้าสตรีที่กำลังยืนยิ้มสดใส บุรุษหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามนาง
“มาๆ ข้าช่วยขุด” มู๋ตันนั่งลงยองๆ ใช้สองมือบางขุดตะกุยดินขึ้นมา ซ้งเหย่หันกลับมาขุดเหมือนเดิม สองแรงช่วยกันอย่างแข็งขัน ในที่สุดหน่อสีน้ำตาลก็หลุดออกมาจากดิน มู๋ตันดีใจมาก รีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปัดเศษดินทำความสะอาดให้กับเจ้าฮ่วยซัวขนาดใหญ่เท่ากับแขนของนาง
“ใหญ่ขนาดนี้คงขายได้หลายตำลึง”
“ดีๆ ข้าอยากกินหมู”
“ซ้งเหย่! เจ้าอย่าตะกละนักนะ กินจนอ้วนยิ่งกว่าหมูสะอีก”
“ทำไมข้าจะกินไม่ได้ ก็ในเมื่อสิ่งที่เจ้าถืออยู่ ข้าเป็นคนเจอ” ซ้งเหย่เอ่ยพลางชี้ไปยังหัวฮ่วยซัวในมือมู๋ตัน เขาคิดทวงผลประโยชน์ที่ทำให้มู๋ตันเจอสิ่งที่ต้องการ
“เจ้า! เนี่ยนะ!” มู๋ตันง้างมือที่ถือฮ่วยซัว ทำท่าทางจะฟาดใส่เขาเป็นการขู่ ซ้งเหย่กลัวจนต้องเม้มปากเงียบ หลุบคอเป็นเต่าในกระดอง มู๋ตันเห็นท่าทางของเขาก็ตีไม่ลง เบ้ปากใส่ก่อนจะเอามือลง
“เฮ้อ~ก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยากกินหมู ข้าก็จะให้เจ้ากิน”
“จริงหรือ เจ้าพูดจริงๆใช่ไหม” ซังเหย่เบิกตาโพลง ไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะวันนี้มู๋ตันเพื่อนรักใจดีกว่าวันไหนๆ นางยอมง่ายๆไม่ใช่นิสัยเดิมของนาง
“จริง!! ข้าเอ่ยคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” มู๋ตันเอ่ยหนักแน่น เพิ่มความมั่นใจให้ซังเหย่เข้าไปอีก ทว่าเขาดีใจได้ชั่วขณะก็ต้องเปลี่ยนเป็นผิดหวัง เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเจ้าฮ่วยซัวนี้ไม่ได้มีราคาสูงเท่ากับหมูราคาแพง ใบหน้าดีใจเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง แล้วเอ่ยกับมู๋ตันต่อ
“แค่ฮ่วยซัวหัวเดียว เงินไม่พอจะซื้อเศษหมูด้วยซ้ำ”
มู๋ตันเห็นเพื่อนทำหน้าเศร้า นางเลยเขย่งปลายเท้าเข้ากอดคอบุรุษหนุ่มอย่างสนิทสนม
“ใช่แล้วล่ะ ถึงราคาฮ่วยซัวจะไม่ได้แพงนัก แต่ข้ามีวิธีทำให้วันนี้เจ้าได้กินหมูแน่” ใบหน้าระรื่นส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับซังเหย่ แต่เขากลับทำท่าทางฉงน เพราะเดาความคิดของนางไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำอะไรอีก แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เขามั่นใจ คือรอยยิ้มแบบนั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“กลับเข้าเมืองกันดีกว่า” มู๋ตันเอ่ยจบ เดินผิวปากอย่างชื่นฤทัยมุ่งหน้าสู่ตลาดในเมือง ซ้งเหย่เดินตามหลังนางมาติดๆ โดยไม่ซักถามอะไรสักคำ
และแล้วก็มาถึงตลาดที่กำลังครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรี และขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านเศรษฐีตระกูลฝ่านคนที่รวยที่สุดในเมือง ร้านค้าน้อยใหญ่สองข้างทางถูกตกแต่งไปด้วยริบบิ้นผ้าสีแดงเพื่อต้อนรับขบวนเจ้าบ่าว แน่ล่ะที่ทำแบบนั้นได้ก็เพราะกิจการส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนแต่เป็นของเศรษฐีตระกูลฝ่านทั้งนั้น ถือว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจในเมืองนี้ก็ว่าได้ ใครบ้างจะไม่ยอมทำตาม แล้วดูนั่นสิตามพื้นเต็มไปด้วยเศษกระดาษสีแดงที่ถูกโปรยตลอดทาง จากชาวบ้านที่มามุงดู แต่ละคนต่างพากันโบกไม้โบกมือยินดีให้กับขบวนเจ้าบ่าว ยิ้มหน้าชื่นบานราวกับตนจะแต่งงานเอง ไม่รู้ว่าถูกจ้างมาด้วยเงินกี่ตำลึง ถึงได้แสดงเก่งขนาดนั้น
“เจ้าบ่าวบนหลังม้าช่างรูปงามจริงๆ ช่างเหมาะกับคุณหนูราวกิ่งทองใบหยก” ซ้งเหย่หันมาเอ่ยกับมู๋ตัน
“ตรงไหนที่รูปงามหรือ แต่ก็นะ!เหมาะสมกันแล้วล่ะที่จะได้แต่งงานกับคุณหนูตระกูลฝ่าน”
“ข้ารู้แล้วๆ เจ้าเอ่ยแบบนั้นเพราะอิจฉาคุณหนูโฉมงามที่สุดในเมืองนี้ใช่ไหมมู๋ตัน”
“ข้าเนี่ยนะ! เจ้าเอาอะไรมาพูด”
“ก็ท่าทางของเจ้ามันบอกเช่นนั้น”
“ชิ๊! คนอย่างข้า ทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันแต่งงานหรอก ข้าไม่มีวันเหลียวมองบุรุษคนไหนอย่างเด็ดขาด”
“เจ้าไม่แต่ง แล้วข้าล่ะ”
“ข้าไม่แต่งงาน แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยซ้งเหย่”
“ก็ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”
“เห๊อะ! เจ้าเป็นแค่ลูกน้องของข้า อย่าหวังมาอาจเอื้อมแต่งกับข้าหน่อยเลย” มู๋ตันเอามือตบอกซ้งเหย่เบาๆ เป็นการเย้าแหย่ นางไม่รู้ตัวเลยว่าคำเอ่ยของซ้งเหย่ที่บอกอยากแต่งงานกับนางเป็นความจริงที่เขาคิดมาเสมอตั้งแต่เด็กๆ
“ชิ๊! ไปกันดีกว่า ข้าหิวแล้ว” มู๋ตันเอ่ยจบ ก็เดินหันหลัง มุ่งหน้าไปยังร้านค้าในตรอก เป็นร้านขายเสื้อผ้าไม่ใหญ่มากนัก นางกำลังจะก้าวเข้าไป
ทว่า! ซ้งเหย่กลับคว้ามือห้ามไว้ ทำให้นางหยุดเดิน หันกลับไปหาซ้งเหย่ด้วยความไม่พอใจ
“เจ้ามาร้านขายเสื้อผ้าทำไมกัน ทำไมไม่เอาฮ่วยซัวไปขายที่ร้านขายยา”
“เอาหน่าๆ เจ้าเชื่อใจข้า อยากกินหมูไม่ใช่หรือ เจ้ารอตรงนี้แหละ” มู๋ตันเอ่ยจบสะบัดมือซ้งเหย่ออก เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืนรอตามที่นางสั่ง แล้วมู๋ตันก็เดินเข้าไปในร้าน
“แม่นาง เจ้ามาเลือกซื้ออาภรณ์สวยๆหรือ” เสียงเถ้าแก่ร้านเสื้อเอ่ยทัก ในขณะที่มู๋ตันกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ใช่ๆ ข้ามาหาอาภรณ์ใส่หน่อย”
“แม่นางอยากได้อาภรณ์แบบไหน จริงสิ!! ช่างโชคดีจริงๆ วันนี้มีผ้าแพรราคาแพงส่งมาจากแคว้นโจวพอดี” เถ้าแก่รีบหยิบผ้าสีสดใสที่วางอยู่บนโต๊ะ แผ่เนื้อผ้าออกให้มู๋ตันได้เชยชม เพื่อดึงดูดความสนใจของนาง ทว่ามู๋ตันกลับเมินไม่สนใจสักนิด หันไปสนใจกองผ้าของบุรุษสะมากกว่า
“ขอโทษนะเถ้าแก่ ผ้าแพรเนื้อดีเกินไป วันนี้ข้าแค่จะมาดูอาภรณ์ธรรมดาๆ”
“หมายถึงอาภรณ์คุณหนูธรรมดาๆใช่หรือไม่ ร้านข้ามีเยอะแยะมากมาย เดี๋ยวข้าจะพาแม่นางชมแต่ละชิ้น”
“ไม่ๆ ข้าแค่อยากได้อาภรณ์บุรุษที่ดูดีหน่อย เอาไปร่วมงานแต่ง”
เถ้าแก่เบิกตาโพลง มองมู๋ตันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสายตาอันดูถูก มู๋ตันเข้าใจความหมายของสายตาเหยียดเช่นนั้น นางจึงเอ่ยต่อ
“ข้ามีเงิน มีปัญญาจ่ายให้เถ้าแก่นะ แค่ท่านเอาอาภรณ์มาให้ข้า”
“เงินหรือ มีเท่าไหร่ล่ะ เสื้อผ้าในร้านข้ามีแต่ของดี ราคาแพงๆทั้งนั้น”
“นี่ไง!” มู๋ตันวางหัวฮ่วยซัวลงบนโต๊ะ สายตาเถ้าแก่มองตาม เขาอดไม่ได้ที่จะกลั้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า” ทำเอาน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล เขาไม่เคยเจอลูกค้าที่โง่เขลาเช่นนางมาก่อน ‘นางคงคิดจริงๆว่าแค่หัวฮ่วยซัวจะแลกอาภรณ์เนื้อดีได้ น่าขันสะจริงๆ’
“เถ้าแก่คงดูถูกเจ้าฮ่วยซัวนี่อยู่สินะ” คำเอ่ยของมู๋ตันทำเอาเถ้าแก่หยุดหัวเราะ เปลี่ยนสีหน้าฉงนในคำเอ่ยของนาง
“นี่ก็แค่ฮ่วยซัวธรรมดา ถ้าแม่นางอยากได้เงินก็ควรเอาไปแลกที่ร้านขายยาไม่ดีกว่าหรือ”
“โธ่ๆเถ้าแก่ ที่ข้าเอามาแลกกับร้านเถ้าแก่ ถือเป็นเรื่องดีและได้เปรียบแล้วนะ เถ้าแก่ไม่รู้หรอกว่าฮ่วยซัวนี่มีความพิเศษขนาดไหน”
“พิเศษหรือ...ก็เห็นๆกันอยู่ว่านี่เป็นแค่ฮ่วยซัวธรรมดา คิดจะมาหลอกข้าสินะ อย่าได้ฝันไปหน่อยเลย”
“หลอกอะไรกัน ถ้าเถ้าแก่ไม่เชื่อ ข้าพร้อมที่จะทำให้เถ้าแก่ดูก็ได้”
“ก็ได้ๆ ลองว่ามาสิว่าพิเศษยังไง ถ้าไม่เป็นอย่างที่เจ้าว่า รับรองข้าส่งเจ้าให้ทางการแน่” เถ้าแก่ที่เคยมีมารยาท พอรู้ว่ามู๋ตันจะมาหลอกตน จึงได้เปรียบน้ำเสียงและท่าทางเป็นขู่ในทันที
มู๋ตันยกยิ้มมุมปากราวกับกำลังมีชัยชนะตรงหน้า แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
“แฮ่ม! เมื่อเช้าข้าบังเอิญเข้าไปในป่าอันเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงสัตว์ร้อง เถ้าแก่คิดดูสิว่ามันน่าแปลกหรือไม่”
“เจ้าเอ่ยเพื่ออะไร ถ้ายังเล่นลิ้นอีก ข้าจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ”
“ใจเย็นสิเถ้าแก่ ข้ากำลังจะเล่าจุดสำคัญพอดี”
“อย่าให้ข้าต้องทนไม่ไหว”
“ก็ได้ๆ ข้าจะเล่าต่ออย่างรวบรัด ข้าเดินไปเรื่อยๆลึกเข้าไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าจากที่สดใสมีแดดรำไร ก็กลายเป็นมืดสนิทราวกับกลางคืน อากาศเริ่มหนาวเย็นจับใจขึ้นมา ข้ากลัวจนขนลุกไปทั้งตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงเอ่ยขึ้น ‘ช่วยด้วย ข้าอยู่ทางนี้~’ ข้าตกใจมาก แต่เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดี ก็พบว่าเป็นเสียงของเจ้าฮ่วยซัวอันนี้”
มู๋ตันเล่าเรื่องอย่างออกรส พร้อมกับทำท่าทางประกอบอย่างสมจริง เถ้าแก่ถึงกลับเบิกตาโพลง ก่อนจะรีบสะบัดหัวเรียกสติ แล้วรีบถามต่อ
“ไม่จริง เจ้าจะบอกว่าไอ้ฮ่วยซัวนี่พูดได้หรือ ข้าไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อเถ้าแก่ก็ฟังเองสิ” มู๋ตันผ่ายมือไปทางฮ่วยซัวที่วางอยู่บนโต๊ะ เถ้าแก่จ้องหน้านางก่อนจะค่อยๆเอียงหูไปทางฮ่วยซัวอันนั้น
“ข้าพูดได้จริงๆนะเถ้าแก่” เสียงแผดเอ่ยมาจากหัวฮ่วยซัวจริงๆ เถ้าแก่รีบยืนเต็มความสูงด้วยความตกใจ หันไปจ้องหน้านาง
“เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าพูดได้จริงๆ” มู๋ตันทำหน้าจริงจังยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าพูดได้จริงๆนะเถ้าแก่” อีกครั้งที่เสียงมาจากหัวฮ่วยซัว เถ้าแก่ที่มองหน้ามู๋ตันตลอด จะบอกว่านางเป็นคนเอ่ยก็ไม่ใช่ เพราะนางไม่มีแม้จะขยับปากสักนิด ในร้านเองก็ไม่มีใครยกเว้นพวกเขาทั้งสองคน หรือเสียงนั่นจะมาจากหัวฮ่วยซัวจริงๆ
ขวับ! เถ้าแก่คิดขึ้นได้ รีบหันกลับไปมองฮ่วยซัวอย่างตกตะลึง มู๋ตันเห็นอาการแบบนั้นก็เข้าใจได้ทันที ว่าเขากำลังตกหลุมพลางแผนการของนาง
“เอ่ยอีก เจ้าเอ่ยมาอีกสิ”
“ได้เถ้าแก่ เดี๋ยวจะมีแม่นางสองคนเข้ามาซื้อผ้าเนื้อดีกับท่าน” เพียงแค่หัวฮ่วยซัวเอ่ยจบ แม่นางวัยแรกรุ่นก็เดินจูงมือกันเข้ามาในร้านจริงๆ เถ้าแก่รู้สึกตกใจยิ่งนัก ยืนอึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น มู๋ตันรีบเดินมาสะกิดเขาเพื่อเรียกสติ แล้วเถ้าแก่ก็เดินไปต้อนรับแม่นางมาใหม่ทั้งสองคน เพียงแค่เขาแนะนำผ้าแพรอาภรณ์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาวันนี้ ทั้งสองนางก็ตัดสินใจซื้อในทันที สร้างความอัศจรรย์ให้เถ้าแก่ไม่น้อย เมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้นลง เถ้าแก่รีบเดินกลับมาหามู๋ตันที่ยืนรออยู่
“เหลือเชื่อมาก ไม่คิดว่าเจ้าฮ่วยซัวนี่จะพูดได้ แถมยังรู้เรื่องกาลต่อไปอีก” เสียงเถ้าแก่ตื่นเต้นผิดจากไปจากเมื่อครู่
“ใช่ๆ ข้าก็พึ่งรู้เหมือนกัน แบบนี้ข้าคงไม่ขายให้เถ้าแก่แล้วล่ะ” มู๋ตันเอ่ยจบคว้าหัวฮ่วยซัวขึ้นมากอดไว้แน่นแนบอก ทำท่าทางจะก้าวไปทางประตู
หมับ! เถ้าแก่กลับคว้ามือนางไว้ นางยกยิ้มมุมปากก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย หันกลับไปหาเถ้าแก่
เรื่องหัวฮ่วยซัวเอ่ยได้อะไรนั่นไม่เป็นความจริงสักนิด เป็นแค่เพียงเพราะมู๋ตันใช้ลำคอในการเปล่งเสียงต่างหาก ส่วนเรื่องพวกสตรีที่เข้ามาซื้อเสื้อผ้าเมื่อครู่ ก็แค่เป็นเรื่องบังเอิญที่มู๋ตันแอบได้ยินพวกนางคุยกันระหว่างทางก่อนจะมาถึงร้านเท่านั้น ด้วยความฉลาดเจ้าเล่ห์ ทำให้เถ้าแก่ผู้มีความโลภตกหลุมพลางได้อย่างง่ายดาย โดยที่มู๋ตันไม่ต้องทำอะไรมาก
“แม่นางเจ้าจะเอาอะไรนะ”
“ตอนแรกข้าแค่จะเอาอาภรณ์บุรุษสักสองชุดแลกกับหัวฮ่วยซัว แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวสิๆ ข้ายินดีแลกนะ ไม่สิ ข้าจะเพิ่มเงินให้แม่นางด้วย เพื่อแลกกับหัวฮ่วยซัวอันนี้”
“ไม่เอาหรอกเถ้าแก่ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่ขายให้แล้วล่ะ ข้าเองก็อยากรู้เรื่องกาลต่อไปเหมือนกัน”
“แม่นางข้าขอร้อง ของวิเศษแบบนี้ข้าอยากได้ แม่นางจะเอาอะไรล่ะ ข้ายินดีแลกทุกอย่าง”
“เถ้าแก่ข้าเป็นแค่คนจนๆ ไม่มีเงินทองอะไรหรอก แค่มีของวิเศษนี้ ข้าจะเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน”
“สามสิบตำลึงพอไหม ไม่ๆ ทองคำก้อนใหญ่อีกห้าก้อนไปเลย”
มู๋ตันยืนกระพริบตาถี่ ไม่คิดเลยว่าเถ้าแก่จะให้ราคาสูงลิ่วถึงขนาดนี้ แต่ถ้าเอาจากเขามากเกินไป เขาคงเดือดร้อนแน่ๆ
“นะแม่นาง ข้ายอมแลกทั้งร้านเลยก็ได้” แววตาเว้าวอนเต็มไปด้วยโลภะ มีหรือที่นางจะไม่แลก แต่เพื่อให้สมจริงมากขึ้น นางคงต้องแสร้งทำต่อไป
“เรื่องนั้น...ก็ได้ๆ ข้าขอแลกแค่อาภรณ์บุรุษสองชุด และก้อนทองแค่ก้อนเดียว”
เถ้าแก่ได้ยินคำเรียกร้องอันน้อยนิดก็ยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจ ในที่สุดจะได้ของวิเศษมาตั้งโชว์ในร้าน ต่อไปจะได้เรียกลูกค้ามาอุดหนุนเยอะๆ จึงรีบกุลีกุจอจัดเสื้อผ้าบุรุษชั้นเลิศสองชุดให้กับมู๋ตัน พร้อมทั้งส่งก้อนทองคำให้อีกหนึ่งก้อน ตามคำขอ
“ฝากดูแลเจ้าฮ่วยซัวดีๆนะเถ้าแก่” มู๋ตันแสดงใบหน้าเสียดาย ก่อนยื่นฮ่วยซัวในมือไปให้เถ้าแก่ ผิดกับเขาที่รีบคว้าฮ่วยซัวมากอดแน่นแนบอกราวกับกำลังกอดบุตรชาย
“ข้าไปก่อน” มู๋ตันรีบเดินออกมาจากร้าน ซ้งเหย่รีบวิ่งเข้ามาหานาง ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่มู๋ตันกลับไม่ตอบอะไร คว้ามือบุรุษหนุ่มตรงไปยังบ้านร้างที่อยู่ใกล้ๆ
“เดี๋ยวๆ มู๋ตันเจ้าเข้าไปในร้านนานสองนาน ไปทำอะไรมา แล้วในมือเจ้าคือเสื้อผ้าบุรุษใช่หรือไม่”
“ไม่ต้องถามมาก เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนสะ” มู๋ตันส่งหนึ่งชุดไปให้กับซ้งเหย่ แล้วรีบเดินไปเปลี่ยนอาภรณ์อีกห้อง ถอดเสื้อผ้าสตรีมอมแมมออก สวมใส่เสื้อผ้าบุรุษสีน้ำเงินที่เถ้าแก่พึ่งให้มาเมื่อครู่ แต่งตัวเสร็จก็เดินออกมา ซ้งเหย่ก็เปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วเหมือนกัน
“เจ้าแต่งตัวแบบนี้ดูเหมือนบุรุษเลยนะซ้งเหย่”
“ไม่เลยแม่นาง อ๋อ! ไม่สิ คุณชาย ท่านเองก็ดูสง่างามจริงๆ” สองเพื่อนรักหยอกล้อเล่นกันไปมาตามประสา เพื่อให้มู๋ตันแต่งตัวได้เนียนกว่าเดิม ซ้งเหย่จึงใช้นิ้วป้ายขี้เถาสีดำจากกองพื้นมาวาดใต้จมูกใต้คางเป็นหนวดเคราให้กับมู๋ตัน
“เสร็จแล้วหรือไม่ ไปกันดีกว่า”
“ว่าแต่เจ้าจะพาข้าไปไหน”
“ไปงานแต่งงานไง เจ้าอยากกินหมูไม่ใช่หรือ รับรองในงานมีให้เจ้ากินไม่อั้น”
“ห๊า!!”
ถึงซ้งเหย่จะตกใจ แต่ก็ยอมเดินตามมู๋ตันมาอย่างว่าง่าย ขบวนเจ้าบ่าวเข้าไปยังเรือนเศรษฐีเรียบร้อย ตอนนี้มีคนงานกำลังทยอยยกหีบสมบัติมากมายเข้าไปในเรือน มู๋ตันใช้จังหวะช่วงชุลมุนเดินอย่างรีบร้อนไปยังประตูทางเข้า โดยมีซ้งเหย่เดินตามมาติดๆ
ตุบ!!
ทว่านางกลับชนเข้ากับใครสักคน ทำเอาตนเองเซถอยหลังจนเกือบล้ม โชคดีซ้งเหย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังประคองนางไว้ทัน มู๋ตันไม่พอใจเป็นอย่างมาก หันกลับไปหาคนที่กล้ามาชนนาง
“ไม่มี...” นางยังเอ่ยไม่จบ กลับต้องยืนอ้าปากค้าง เพราะคนที่นางชนเป็นบุรุษรูปร่างอวบอ้วนเจ้าเนื้อ ตัวสูง สวมใส่อาภรณ์ชั้นดี ผมถูกมัดเก็บเกล้าบนหัวเรียบร้อย จากการแต่งตัวที่แปลกตาดูก็รู้ว่าเป็นบุรุษมาจากตระกูลใหญ่แน่ ดีไม่ดีอาจจะมาจากเมืองหลวงด้วยซ้ำ และที่สำคัญที่ทำให้มู๋ตันต้องตกใจยิ่งกว่าสิ่งใด ก็เพราะบุรุษคนนั้นสวมใส่หน้ากากเหล็กสีเงินหนาสภาพเก่าๆดูน่ากลัว ปิดเต็มใบหน้า เหลือเพียงให้เห็นแค่ดวงตาและปากก็เท่านั้น