“กล้าดียังไงมาชนท่านแม่...” บุรุษอีกนาม รูปงามสง่าในมือถือกระบี่ยืนอยู่ข้างกายเขาเอ่ยหาเรื่องกับมู๋ตัน แต่บุรุษสวมหน้ากากกลับยกมือห้ามเขาไว้เสียก่อน ทำให้บุรุษถือกระบี่เอ่ยไม่จบประโยค หากแต่ใบหน้านั้นก็ยังคงแสดงความไม่พอใจในตัวนางเป็นอย่างมาก
“ข้าต่างหากที่ต้องถาม กล้าดียังไงมาชนข้า” มู๋ตันสตรีที่ไม่เคยกลัวใคร ดัดเสียงเป็นบุรุษ เชิดหน้าถามกลับอย่างหาเรื่อง พร้อมจ้องตาบุรุษสวมหน้ากากด้วยแววตาอันน่าเกรงขามที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ ทว่าเขากลับเมินไม่สนใจนางสักนิด เชิ่ดหน้าใส่เดินเข้าไปทางประตู
“เดี๋ยวสิ! ท่านคิดจะหนีหรือ” นางตะโกนดังลั่น กำลังจะเดินตามเขาไป ทว่ากลับมีบุรุษสองคนเดินมาขวางนางไว้ คงเป็นพวกคนใช้ในเรือนเศรษฐีเป็นแน่ เพราะทั้งสองคนต่างสวมใส่อาภรณ์สีแดงเก่าๆ รูปร่างบึกบึนบ่งบอกเป็นพวกใช้แรงงาน
“ท่านเป็นใคร มีบัตรเชิญหรือไม่” หนึ่งคนในนั้นถามมู๋ตันพร้อมกับแบมือ
“บัตรเชิญ...มายินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องมีบัตรเชิญด้วยหรือ” นางถามกลับ แต่สายตายังคงจ้องมองแผ่นหลังบุรุษสวมหน้ากากอย่างไม่วางตา
“ใช่ ถ้าไม่มีบัตรเชิญพวกเราคงให้พวกท่านเข้าไปในงานไม่ได้”
ขวับ! มู๋ตันหันไปจ้องบุรุษทั้งสอง ซ้งเหย่รีบเขย่าแขนมู๋ตันห้ามไว้พร้อมกับกระซิบเบาๆ
“ข้าว่าพวกเรากลับกันดีกว่า ก่อนจะถูกจับได้นะมู๋ตัน”
“เจ้าอยู่เฉยๆหน่าซ้งเหย่ ข้าจัดการเอง” มู๋ตันกระซิบตอบเสร็จ หันไปประจันหน้ากับบุรุษทั้งสองคนอีกครั้ง
“แล้วทำไมท่านนั้นไม่ต้องใช้บัตรเชิญ” มู๋ตันชี้ไปยังบุรุษสวมหน้ากากที่พึ่งเดินเข้าไป
“นั่นเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ มาจากเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเชิญ”
“แม่ทัพ!” ซ้งเหย่เอ่ยแทรกด้วยความตกใจ มู๋ตันรีบหยิกแขนเขาให้หุบปาก เพียงชั่วขณะมู๋ตันก็รีบเอ่ยตอบอย่างไม่รีรอ
“พวกเรามากับท่านแม่ทัพ”
“ฮ่าฮ่า อย่างพวกเจ้าเนี่ยนะจะมากับท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ยังถามพวกข้าอยู่เลยว่าท่านนั้นคือใคร” บุรุษทั้งสองต่างกลั้วหัวเราะดังลั่น พลางมองมู๋ตันกับซ้งเหย่หัวจรดเท้าอย่างดูถูก มู๋ตันยืนกำมือแน่นตัดสินใจตะโกนออกไป
“ท่านแม่ทัพรอพวกข้าด้วยขอรับ” เสียงมู๋ตันเรียก ทำเอาบุรุษสวมหน้ากากหันกลับมาหานาง มู๋ตันรีบผลักบุรุษทั้งสองที่ยืนขวาง แล้วรีบวิ่งไปหาเขา
“ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆว่าท่านเป็นแม่ทัพ ได้โปรดอย่าถือสาข้าน้อยเลย” มู๋ตันเอ่ยเบาๆ พร้อมกับก้มหัวให้บุรุษสวมหน้ากาก บ่าวคนใช้หน้าประตูไม่ได้ยินการสนทนา แต่เห็นท่าทางแบบนั้น จึงหลงเชื่ออย่างง่ายดายว่าทั้งสองคนคงมากับท่านแม่ทัพจริงๆ จึงยอมปล่อยให้เข้ามาในงาน แล้วเดินกลับไปปัดกวาดหน้าประตูต่อ
“ท่านแม่ทัพปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีมั้งขอรับ” บุรุษถือกระบี่เอ่ยเสริมขึ้นเบาๆ
“ไม่เป็นไร” สุ้มเสียงต่ำของบุรุษสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ทำให้มู๋ตันเพิ่มความสงสัย ‘เสียงฟังดูองอาจ แต่ทำไมเขาต้องสวมใส่หน้ากากด้วย’ แต่ไม่ทันได้เอ่ยถาม เขาก็สะบัดหน้าเชิดเดินตรงเข้าไปในเรือน
“มู๋ตันๆ พวกเรารีบไปกันดีกว่า ดูไอ้สองคนนั่น จ้องพวกเราเหมือนหาเรื่อง” ซ้งเหย่รีบเขย่าแขนมู๋ตัน นางหันไปมองบ่าวทั้งสองคนที่ในมือกำลังปัดกวาดอยู่จริง แต่สายตาพวกนั้นกลับกำลังจ้องจับผิดพวกเขา มู๋ตันแลบลิ้นใส่ ก่อนจะหันกลับมาคว้ามือซ้งเหย่พากันเดินเข้าไปในเรือน
ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังยืนโค้งคำนับยกมือประสานยื่นออกไปตรงหน้า ก้มหัวให้กับท่านแม่ทัพผู้มาใหม่ โดยมีเศรษฐีฝ่านเป็นผู้ยืนต้อนรับอยู่หน้ากลุ่มคน
“ข้าน้อยดีใจ ที่ท่านแม่ทัพยอมมาเป็นประธานในงานแต่งบุตรสาวของข้าน้อย” เศรษฐีฝ่านกล่าวอย่างอ่อนน้อม พลางผายมือไปยังเก้าอี้ด้านหน้าแท่นพิธี บุรุษสวมหน้ากากไม่เอ่ยอะไร เดินไปนั่งด้านหน้าสุด นั่งเก้าอี้ตัวนั้น มู๋ตันสบตากับเขา ก่อนจะค่อยๆแอบย่องไปโต๊ะอาหารด้านข้างสำหรับแขกเหรื่อที่ว่างสองตัวพอดี มีซ้งเหย่เดินตามหลังมาติดๆ ทั้งคู่นั่งลงพร้อมส่งแสยะยิ้มให้กับแขกคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็ต่างพากันกินอาหารบนโต๊ะโดยไม่สนสักนิดว่าพิธีแต่งงานกำลังเริ่มขึ้นถึงขั้นตอนไหน
“นี่ๆมีขนมกุ้ยฮวาที่แม่เจ้าชอบด้วยนะมู๋ตัน” ซ้งเหย่หันมากระซิบ พร้อมกับชี้ในชามบนโต๊ะที่มีขนมรูปดอกไม้สีเหลืองวางอยู่
“จริงด้วย ข้าเอากลับไปให้ท่านแม่ด้วยดีกว่า” มู๋ตันยกตัวเอื้อมหยิบชามขนมอันนั้นมาใกล้ๆ สายตาบุรุษที่นั่งร่วมโต๊ะต่างหันมาจับจ้องนางด้วยความตำหนิ
“อ๋อ! ข้าไม่เคยกินขนมที่นี่มาก่อน ท่าทางน่าอร่อย” เสียงดัดทุ้มต่ำเอ่ยตอบ พร้อมกับแสยะยิ้มเจื่อนๆส่งให้ พวกเขายอมปล่อยผ่าน ไม่มีใครพูดว่าอะไร ต่างหันไปสนทนากันเอง มู๋ตันใช้จังหวะนั้น ค่อยๆหยิบขนมทีละชิ้นใส่เข้าไปในแขนเสื้อด้านใน และเมื่อใส่จนหมดชาม นางจึงหันมาจับตะเกียบคีบเนื้อหมูราคาแพงกินต่อ
“ไม่คิดเลยว่าท่านเศรษฐีฝ่านจะมีอิทธิพลเช่นนี้เชิญท่านแม่ทัพฝั่งขวามาเป็นประธานในพิธีงานแต่งได้” บุรุษคนนึงเอ่ยขึ้น พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังพิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาว
“นั่นสิ แม่ทัพคนนี้เป็นถึงอ๋องคนสนิทของฮ่องเต้ด้วย คิดดูสิว่าท่านเศรษฐีกว้างขวางขนาดไหน เชื้อพระวงศ์ถึงได้มาเอง”
เป็นเสียงสนทนาของแขกที่ร่วมโต๊ะ ทั้งมู๋ตันและซ้งเหย่ได้ยินอย่างชัดเจน แต่ทั้งคู่กลับไม่สนใจ เป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการกินเท่านั้น
“ได้ข่าวว่าแม่ทัพคนนี้ไม่ธรรมดาด้วย ออกรบตั้งแต่ยังเยาว์วัย ศึกเหนือใต้ก็ปราบมาหมด ไม่เหมือนแม่ทัพฝ่ายซ้ายที่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในจวน ประจบประแจงฮ่องเต้ไปวันๆ เพื่อเอาหน้าเอาตา”
มู๋ตันเบิกตาโพลง เมื่อได้ยินพวกนั้นกำลังนินทาถึงแม่ทัพฝ่ายซ้าย นางอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ ตบโต๊ะเสียงดัง ปึก! ทำเอาบุรุษที่สนทนากันอยู่ หันมามองหน้ากันเป็นตาเดียว
“นี่! พวกเจ้าจะมากไปแล้ว ท่านแม่ทัพฝ่ายซ้ายก็ออกรบมามากมาย เจ้าเป็นใครถึงได้กล้ากล่าวว่าท่านแม่ทัพฝ่ายซ้ายเช่นนั้น” เสียงตวาดดังไปทั้งงาน แขกคนอื่นต่างหันมามองมู๋ตัน รวมถึงเจ้าของงานอย่างท่านเศรษฐีด้วย
“มู๋ตันๆ เจ้านั่งลงเสีย” ซ้งเหย่เขย่าและดึงแขนให้มู๋ตันนั่งลง แต่มู๋ตันกลับสะบัดแขนเขาทิ้ง ในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ คิดแค่ว่าจะเอาเรื่องพวกชอบนินทาคนอื่นให้ถึงที่สุด
“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” บุรุษคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะถามขึ้น
“ใช่ๆ เป็นญาติฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวล่ะ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าพวกเจ้ามาก่อน” บุรุษหนุ่มอีกคนเอ่ยเสริมขึ้น
มู๋ตันที่ได้ยินแบบนั้น จากใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวก็กลายเป็นถอดสีอย่างเห็นได้ชัด กวาดสายตามองรอบๆ แขกเหรื่อในงานต่างทำหน้าฉงนรอคำตอบอยู่ นางเห็นว่ากำลังแย่ จึงรีบช้อนแขนซ้งเหย่ให้ลุกขึ้นยืน หันไปทางเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องหอ
“ข้าขออวยพรให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความสุขมากๆ” นางคว้าจอกน้ำชาซดรวดเดียวหมดแก้ว ทว่าน้ำชาที่ไหลย้อยออกมาจากมุมปาก ลบเลือนคราบเขม่าที่ถูกวาดเป็นเคราใต้คางออกโดยที่นางไม่รู้ตัว ผู้คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆถึงกับเบิกตาโพลง
“นั่นเคราปลอมใช่หรือไม่” บุรุษที่นั่งข้างๆมู๋ตันเอ่ยเสียงดังพลางชี้หน้ามู๋ตัน ซ้งเหย่เห็นเช่นนั้นก็หันมามองหน้ามู๋ตันด้วย
“เครา..เคราของเจ้า” ซ้งเหย่เอ่ยเสียงเบา เอามือจับคางตัวเองบอกเป็นนัย มู๋ตันคิดขึ้นมาได้เอามือปิดคางตัวเอง รีบคว้ามือซ้งเหย่ วิ่งไปทางประตู ทั้งคู่ต่างวิ่งหลบซ้ายทีขวาที เพื่อไม่ให้ชนเหล่าแขกเหรื่อที่นั่งขวางทาง
“เฮ้! จับพวกนั้นมา” มีเสียงตะโกนตามหลัง ทั้งคู่รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปทางประตูใหญ่ ทว่ากับมีบ่าวคนใช้สองสามคนยืนดักรอขวางหน้าประตูอยู่ ทั้งคู่หยุดนิ่งกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาทางออกอื่น
“เอาไงดีมู๋ตัน ถ้าถูกจับได้ มีหวังพวกเราโดนส่งตัวให้ทางการแน่”
“รู้แล้วหน่า เจ้าเงียบก่อนไม่ได้หรือ” มู๋ตันเหลียวซ้ายแลขวา ทันใดนั้นกลุ่มคนใช้ราวสิบคนถือกระบอกด้ามยามวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมทั้งสองคนไว้ ซ้งเหย่รีบก้าวมาหลบหลังมู๋ตันด้วยความกลัว กำเสื้อนางไว้แน่น
“กล้ามากที่มาก่อกวนงานแต่งลูกสาวของข้า” เสียงทุ้มต่ำเป็นของเศรษฐีฝ่านที่ยืนท้าวเอว จ้องเขม็งมาหาทั้งคู่ด้วยความโกรธอยู่ตรงหน้าประตูที่พวกเขาพึ่งวิ่งออกมา
“พวกข้าแค่มากินนิดหน่อย คงไม่ทำให้เงินที่ท่านโก่งราคาสินค้าลดลงหรอก” มู๋ตันนางไม่กลัวใครจริงๆ แม้ในยามอับจนหนทาง ก็ยังกล้าที่จะต่อล้อต่อเถียง
“เจ้า! กล้าดียังไงมากล่าวหาว่าข้าโก่งราคา”
“หรือไม่จริงล่ะ ทั้งข้าวสาร ทั้งเกลือ ตลอดเวลาห้าเดือนมานี่ ราคาสูงลิ่วจนน่าตกใจ ถ้าไม่ใช่ฝีมือท่านแล้วจะเป็นใครไปได้ ดีไม่ดีในเรือนท่านคงเต็มไปด้วยสินค้าพวกนั้นทั้งหมด คิดจะเก็บไว้โก่งราคากับพวกชาวบ้านตาดำๆอีกใช่หรือไม่”
แขกที่ยืนมุงกันอยู่ ต่างเริ่มทำเสียงฮือฮา หันไปกระซิบกระซาบกันเอง เศรษฐีฝ่านเริ่มหน้าเปลี่ยนสี เพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้จะถูกเอ่ยออกมาในที่สาธารณชน มู๋ตันฮึกเหิมเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเศรษฐี นางจึงตอบย้ำเข้าไปอีก
“ท่านเศรษฐีมีทุกวันนี้ได้เพราะไม่ใช่ชาวบ้านอย่างพวกข้าหรือ เรือนที่ใหญ่โต ของกินที่มีมากมาย ล้วนแต่ได้จากเงินชาวบ้านทั้งนั้น” นางชี้หน้าท่านเศรษฐีอย่างไม่กลัว ทว่าขณะที่กำลังจะเอาแขนลง ขนมกุ้ยฮวาที่ซ่อนไว้ กลับร่วงตกลงมาสู่พื้น เสียงอื้ออึงจึงดังขึ้น ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ขนมพวกนั้น รวมถึงมู๋ตันด้วยที่ยืนอ้าปากค้าง
“พะ..พวกแกเป็นแค่ขอทานสินะ กล้าปลอมตัวมาหลอกกินอาหารในเรือนข้า จับพวกมันไว้!” เศรษฐีฝ่านตะโกนดังลั่น กลุ่มคนใช้เดินพุ่งเข้าหาทั้งคู่ ซ้งเหย่ยืนกำแขนเสื้อมู๋ตันด้วยตัวสั่นเทา มู๋ตันยกกำปั้นน้อยๆขึ้น เพื่อเตรียมตัวสู้ แต่ไม่มีผู้ใดกลับกลัวท่าทางของนางเลย คนรับใช้ทั้งสิบคนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับง้างไม้กระบองในมือขึ้นสุดแขน ฟาดลงเต็มแรง แต่ไม่ทันได้ถูกตัวพวกนาง ก็มีเสียงค้านขึ้นก่อน
“ช้าก่อน!” เสียงมาจากด้านหลังเศรษฐีฝ่าน ทุกคนหยุดนิ่ง หันไปมองต้นเสียง นั่นคือเสียงของท่านแม่ทัพบุรุษสวมหน้ากากที่ทุกคนต่างเกรงกลัว เขาเดินมายืนเทียบกับเศรษฐีฝ่าน พร้อมเอามือไขว้หลังอย่างวางอำนาจ ชำเลืองสายตามองหน้ามู๋ตัน ก่อนจะหันไปมองหน้าเศรษฐีฝ่าน
“พวกเขามากับข้า” สุ่มเสียงต่ำเอ่ยห้วนๆด้วยแววตาเย็นเยือกทะลุออกมาจากหน้ากาก
“อะไรนะขอรับ!!” เศรษฐีฝ่านตกใจมาก ถามเน้นย้ำอีกครั้ง
“ทำคนของข้า ก็เหมือนกำลังล่วงเกินข้าอยู่” เขาเอ่ยต่อ ทันใดนั้นเศรษฐีฝ่านนั่งทรุดคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความกลัว
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพโปรดอย่าถือสาหาความผู้น้อยเลยขอรับ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆว่าพวกนั้นเป็นคนของท่าน” เศรษฐีฝ่านยกตัวขึ้นแล้วโขกหัวกับพื้นหลายครั้ง พวกบ่าวไพร่ในเรือนทำอะไรไม่ถูก ต่างพากันนั่งคุกเข่าหันไปทางท่านแม่ทัพเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะมีอำนาจมากขนาดนี้ เขาไม่แยแสเศรษฐีสักนิด เดินตรงมาหาพวกมู๋ตัน
“พวกเจ้าตามหาข้า” เขาพูดเสียงกดต่ำ เหลือบมองมู๋ตัน ก่อนจะเดินออกไปทางประตู มู๋ตันยกยิ้มราวได้ชัยชนะ หันไปแลบลิ้นใส่เศรษฐีก่อนจะรีบเดินตามหลังบุรุษสวมหน้ากากไปติดๆ
เมื่อพ้นสายตาของคนในเรือน มู๋ตันรีบวิ่งไปดักหน้าเขาไว้
“ข้าน้อยขอบคุณท่านมากที่ช่วยไว้” นางก้มศีรษะยกมือขึ้นประสานอย่างนอบน้อมแก่บุรุษสวมหน้ากาก แต่เขากลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา เบือนหน้าไปอีกทาง บุรุษถือกระบี่รู้อาการไม่พอใจของท่านแม่ทัพ จึงรีบก้าวเข้ามาผลักตัวนางออกไป
“หมดเรื่องแล้ว พวกเจ้าไปได้ กลับกันเถอะครับท่านแม่ทัพ” บุรุษถือกระบี่ผายมือไปอีกทาง ท่านแม่ทัพกำลังจะก้าวเดิน แต่มู๋ตันกลับคว้าแขนเสื้อของเขาห้ามไว้ เขาหันกลับมาทันควัน พร้อมสายตาไม่พึงพอใจ จ้องมือนางที่กำแขนเสื้อเขาอยู่ นางมองตามสายตาเขา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี
“ข้าเพียงแค่จะกล่าวขอบคุณ”
“ปล่อย!!” เขาพูดพร้อมกับสะบัดแขนออก แต่นางกลับดึงไว้แน่น กระชากแขนเขาเข้าหาตัว
“ข้าแค่จะถามนามของท่าน เพื่อจะได้จำไว้เป็นบุญคุณ”
“ไม่จำเป็น!!” เขาพูดพร้อมกับดึงแขนกลับมา นางก็ยังไม่ยอมปล่อยสักที บุรุษถือกระบี่ทนไม่ไหว ผลักไหล่นางอย่างแรง ทำเอานางล้มไปนั่งกองกับพื้น มือที่กำแขนเสื้ออยู่ก็ดันกระชากติดมือมาด้วย ทำให้แขนเสื้อบุรุษขาดตรงช่วงศอก เผยให้เห็นเสื้อผ้าอีกชุดด้านในที่โผล่ออกมา
“ท่านทำอะไร ข้าเจ็บ!” นางแหงนมองบุรุษทั้งสองคนอย่างตำหนิ แต่สายตาเหลือบมองเสื้อบุรุษสวมหน้ากากตรงที่ขาด ภายใต้อาภรณ์ชั้นเลิศยังมีอีกชุดที่ซ่อนอยู่ ‘ทำไมต้องสวมใส่ชุดหนาเช่นนั้น’
สายตาเขามองตามนางที่จ้องแขนตนเอง เมื่อเห็นว่าชุดตนขาดจึงรีบเอามือปิดไว้ แล้วหันหลังกลับอย่างมีพิรุธ
“เจ้าเป็นอะไรไหม” ซ้งเหย่รีบเข้ามาพยุงให้มู๋ตันลุกขึ้นยืน นางยื่นเศษอาภรณ์ที่ติดมือมา พร้อมเอ่ยว่า
“ข้าไม่ได้ทำเสื้อท่านขาดนะ เขาต่างหากที่มาผลักข้า”
“นี่เจ้า! เป็นเพราะเจ้ามาดึงแขนท่านแม่ทัพเองต่างหาก รู้ไหมว่าชุดนี้เป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้ เจ้าทำขาดเช่นนี้ต้องโดนตัดหัวแน่” บุรุษถือกระบี่เถียงนางกลับ
“ตัดหัว!!” ทั้งมู๋ตันและซ้งเหย่ต่างอุทานพร้อมกันด้วยความตกใจ แล้วหันมองหน้ากันเอง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะหันกลับไปมองบุรุษตรงหน้าทั้งสองคน ซ้งเหย่เดิมเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว รีบนั่งคุกเข่าลงโขกหัวกับพื้น
“ได้โปรดๆ อย่าประหารข้าเลย ข้ายังมีพ่อมีแม่ต้องเลี้ยงดูอีก” เสียงสั่นเครือเอ่ยพร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว ผิดกับมู๋ตันตัวต้นเหตุ นางไม่กลัวสักนิด กลับยืนกลอกตาไปมาใช้ความคิด ทันใดนั้นก็คิดถึงก้อนทองเพียงหนึ่งอัน ที่ได้จากเถ้าแก่ร้านขายเสื้อผ้า จึงรีบหยิบออกมาจากสายคาดเอว คว้ามือบุรุษสวมหน้ากาก ยัดก้อนทองใส่มือเขา
“ถือเป็นค่าเสื้อของท่านก็แล้วกัน”
บุรุษสวมหน้ากากดูก้อนทองในมือ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ก็มีเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล
“โน้นๆ จับพวกโจรไว้”
เสียงมาจากทางด้านหลัง มู๋ตันรีบหันไปมอง เป็นกลุ่มทหารสามคนมาพร้อมกับพ่อค้าอีกคน มู๋ตันเพ่งดูให้แน่ใจ พ่อค้าคนนั้นคือเถ้าแก่ร้านขายเสื้อเมื่อครู่ เขาคงรู้ความจริงที่โดนหลอก จึงพาทหารมาจับตนแน่ มู๋ตันรีบคว้ามือซ้งเหย่ แล้วพากันวิ่งกุลีกุจอออกมา ‘ขืนอยู่ต่อ พวกข้าต้องติดคุกจริงๆ’
จะว่าไป น่าเสียดายที่ข้ายังไม่ทันได้รู้นามท่านแม่ทัพ... ช่างเถอะๆ ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดก่อน