"ตกลงเอาไง" เฮียตีสองเงียบนานเกินจนผมต้องเอ่ยปากถาม มันเสียเวลานะ
นี่ผมปล่อยผู้หญิงคนนั้นไว้นานเกินไปแล้วเดี๋ยวจะหาทางหนีทีไล่ออกพอดี
เฮียตีสองถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งก่อนจะตอบ "มึงว่าข้อแลกเปลี่ยนมา"
ผมยิ้มในใจ สุดท้ายญาติสนิทผมคนนี้ก็แพ้ผมอีกตามเคย
"ไอ้หัวนกแก้วผมจะช่วย ส่วนเฮียก็แค่รูดซิปปาก" เฮียตีสองพยักหน้าตกลงอย่างคนจำยอม "นี่ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไป กูคงซวยไปด้วยแน่ๆ" สายตาคมเข้มมองดุผมอย่างปลงตก "ไม่หรอก คิดมาก"
ผมไม่ได้จะฆ่าจะแกงยัยนั่นสักหน่อย ก็แค่จับมาดัดสันดาน เอ้ย! ดัดนิสัยที่อยากเอาชนะจนไม่ลืมหูลืมตานั้นมากกว่า อีกอย่าง ผมกับเธอมีสถานะ 'คู่หมั้น' ค้ำคออยู่ ไม่ทำรุนแรงหรอก นี่ดีนะที่สถานะผมกับยัยนั่นไม่มีใครรู้เพราะเรื่องนี้สองครอบครัวเราทำอย่างเงียบที่สุด ไว้เดี๋ยวจะเล่าความเป็นมาเป็นไปเรื่องนี้ให้ฟังทีหลังแล้วกัน
"พรุ่งนี้มึงจัดการให้กูด้วย" เฮียตีสองสั่งเสร็จเตรียมจะลุกจากโซฟา แต่เสียงตะโกนของคนในสวนกลับดังขึ้นซะก่อน
"กรี้ดดดด งู!!"
ถ้าฟังไม่ผิดเธอร้องว่างู อืม... อสรพิษสองชีวิตโคจรมาพบกันมันช่างน่ายินดีนัก
"เฮ้ย! ไอ้ไท มึงไม่ได้ยินไงวะ? งูนะเว้ยงู!!"
คงจะเป็นสัญชาตญาณตำรวจอีกสินะ เห็นพลเมืองเดือดร้อนต้องเข้าช่วย
"อืม งู" ผมตอบแบบไม่ใส่ใจอะไร ก่อนจะเดินไปที่ประตูเชื่อมสวนหลังบ้านช้าๆ
"ไอ้ไททัน มึงจะเดินต่อส้นตีนอีกนานมั้ยวะ?" อยากรู้จริง เฮียผมสอบติดตำรวจได้ไง มารยาทใช้ไม่ได้ พูดจากระโชกโฮกฮากมาก ไม่มีความสุขุมสักนิดเดียว
หมับ!
กระเป๋ากางเกงด้านหลังผมถูกอีกมือล้วงซ้อนทับเข้ามาตอนที่ผมจะหยิบกุญแจออกมาไขประตู "ก็มึงช้า ป่านนี้ไม่ตายห่าแล้วเหรอวะ" ผมได้แต่สะบัดหน้าไปมา
นี่เป็นห่วงความปลอดภัยพลเมืองจริงๆ ใช่ไหม?
ไม่ใช่ว่าเห็นยัยปีศาจด้านหลังประตูนี้แค่แว้บเดียวก็ตกหลุมพลางมนต์เสน่ห์แม่มดชั่วเข้าให้หรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างหลัง ผมจะขัดขวางอย่างถึงที่สุด
ทุกคนที่พัวพันยัยนั่นผมจะต้องกีดกัน ที่พูดไม่ใช่หวงก้าง แค่ไม่อยากให้ใครต้อง 'เกือบตาย' เหมือนผู้หญิงของไอ้กรุงโซลอดีตน้องรหัสและเพื่อนในกลุ่มผมอีก
ตึง ตึง ตึง
เสียงฝีเท้าหนักๆ ของเฮียตีสองรีบวิ่งเข้าไปหาร่างบางที่สวมเสื้อเชิ้ตสีกรมของผม ที่ตอนนี้เธอนอนสลบอยู่ที่พื้นปูนเปลือย ใกล้ๆ ศาลาริมน้ำ
"นี่เธอ เธอ! ตื่นสิวะ" เฮียตีสองทรุดเข่าข้างหนึ่งจรดพื้นก่อนจะจับไหล่ยัยนั่นเขย่าไปมาเบาๆ แต่ก็ไร้การตอบสนอง "ฉิบหาย คงไม่ตกใจจนช็อกตายหรอกนะ"
นี่ก็พูดเวอร์เกิน เป็นตำรวจมากี่ปีแล้ว คนตายกับแค่สลบยังแยกแยะไม่ออก
แกร้ง!
"อ้าว! ติดโซ่อีก ไอ้ไท มึงปลดโซ่สิวะ"
ก็กำลังจะเดินไปปลดโซ่ที่ผมพันรอบเสาไว้แต่เฮียตีสองแม่งก็ใจร้อนฉิบหายอุ้มยัยนั่นขึ้นเร็วเกินทำให้ความยาวโซ่ที่มีน้อยนิดรั้งข้อเท้าเธอไว้จนแดง นี่ถ้ายัยนั่นอยู่ในโหมดปกติจะด่าเฮียตีสองปาวๆ เหมือนด่าผมมั้ยวะที่ทำเธอเจ็บ
"ก็แค่นี้ มึงจัดการงูด้วยล่ะ" เฮียแกยังไม่วายหันมาสั่งผม นี่สรุปบ้านใคร?
"อ้าว! ซวยแล้ว" ลืมไปว่าผมขังยัยนั่นไว้ห้องใต้ดินแต่เฮียตีสองไม่รู้ ป่านนี้คงพาขึ้นไปบนห้องผมชั้นสองแล้วแน่ๆ แบบนี้ยัยนั่นก็หาทางออกจากที่นี่ได้สิวะ
แต่ช่างมัน ยังไงก็หนีจากเงื้อมมือผมไม่ได้อยู่ดี
แว้บ...
เหมือนมีอะไรผ่านหางตา พอมองหาเลยเห็นเข้ากับเจ้าตัวปัญหา มันเป็นงูเขียวธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษมีภัย เขียวอร่ามทั้งตัวน่ารักดีออก
"วันหลังมึงอย่ากัดยัยนั่นนะเว้ย!" ผมชี้นิ้วไปที่งูเขียวที่ตอนนี้กำลังเลื้อยออกจากสวนผม "เพราะกูยังทรมานยัยนั่นไม่พอเลย" รอยยิ้มหยักที่มุมปากผมผุดขึ้น
ยิ่งนึกถึงสาเหตุที่พายัยนั่นมาขังไว้เมื่อสองเดือนก่อนแล้วมันน่าหงุดหงิด คนอะไร ใจดำฉิบหาย วางแผนฆ่าได้แม้กระทั่งเพื่อนรักตัวเองเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว
ถึงแม้ผมจะรู้ว่าเรื่องนี้ไอ้กรุงโซลมันก็มีส่วนผิดอยู่บ้าง แต่เข้าใจมั้ย ความรักน่ะ ถ้ามันไม่ใช่ ต่อให้สวยมีเสน่ห์แค่ไหนถ้ามันไม่คลิ๊กกับหัวใจมันก็รักไม่ลงอยู่ดี
ผมสะบัดหัวไล่เรื่องราวเก่าๆ ที่เผลอคิดถึงมันขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน นั่งลงที่เดิมไม่ได้ขึ้นไปสนใจสองคนที่หายไปหลายนาที
"มึงนี่มัน.." เฮียตีสองเดินลงมาจากชั้นสองตรงดิ่งมาหาผมก่อนจะชี้หน้าแต่ไม่ได้จริงจังนัก พร้อมทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้อีกตัว "โชคดีแค่ไหนที่เธอไม่ถูกกัด"
เฮียตีสองบ่นยังกับผู้หญิงเม็นมา "แล้วแทนที่ไอ้ตัวต้นเหตุจะไปดูสักนิดไม่มี"
ยังมีมาแขวะผมท้ายประโยคอีก "ก็แค่เป็นลม" ผมตอบท่าทางเรียบนิ่งก่อนจะกดเข้าไปกลุ่มแชทในไลน์