ฉันเองที่เหมือนคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ก็ได้สติขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้มหวาน
ก็คุณชวนฉันมาดื่มไวน์ไม่ใช่ยังไงกัน
งั้นรอสักครู่นะ เดี๋ยวผมไปหยิบไวน์มาให้ เขายอมปล่อยตัวฉันออกจากวงแขนชั่วคราว เปิดโอกาสให้ฉันได้พักหายใจหายคอหลังจากที่โดนรุกเร้าอย่างไม่มีผ่อนปรนมาตั้งแต่อยู่ในลิฟท์ ซึ่งมันทำให้ฉันถามย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าเต็มใจที่จะทำแบบนี้จริงๆหรือเปล่า
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้คิดอะไรต่อไป เอฟก็เดินกลับมาพร้อมกับขวดไวน์และแก้วเจียระไน ใบหน้ากลมขายสะท้อนกับแสงไฟที่ชวนให้ดูเย้ายวนตายิ่งกว่าเก่า ฉันไม่กล้าลดสายตาเลื่อนตามลงไป ทั้งที่รู้ดีว่าเขาไม่ได้แก้ผ้าโทงๆเดิน แต่มีผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่พันกายเบื้องล่างเอาไว้
ขอบคุณมากค่ะ ฉันรับแก้วมาถือไว้ในมือ จากนั้นเขาก็ค่อยๆเทไวน์กลิ่นหอมฟุ้ง ลงในแก้วด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงข้างๆฉันเพื่อจิบไวน์รสเลิศด้วยกัน
ทำไมจ้องหน้าผมแบบนั้นล่ะครับมีอะไรหรือเปล่า
ฉันแค่อยากจะรู้ว่าคุณไปทำอะไรที่ร้านอาหารนั้นเหรอคะ? ฉันตัดสินใจถามออกไปพยายามหาเรื่องชวนคุย แต่อีกใจก็อยากรู้จริงๆว่าเขาไปทำอะไรและนัดกับใคร
คุณจะเชื่อหรือเปล่า ถ้าผมบอกว่ามีนัดกับลูกค้าในวันสิ้นปี
กับลูกค้าสาวๆนะสิคะ ฉันพูดออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว ดีใจรู้สึกโหวงๆอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องไปถามเขาอะไรแบบนั้น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะมีนัดกับผู้หญิงคนอื่น เพราะเชื่อเลยว่าผู้ชายแบบเขาคงจะมีหญิงสาวมาต่อคิวแย่งกันขายขนมจีบจนแทบจะนับไม่หวาดไม่ไหว แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ฉันเองก็จะได้ทำใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มันก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย ที่พอรุ่งเช้า.. ทั้งเขาและฉันก็แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
ถ้าเป็นลูกค้าสาวๆ ก็ดีน่ะสิ นี่เป็นลูกค้าผู้ชายแถมยังเบี้ยวมัดผมอีกต่างหาก แต่ก็นับว่าผมไม่ได้ไปเสียเที่ยวสักเท่าไหร่ เอฟพูดพร้อมกับยกมุมปากขึ้นและส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ฉันได้แต่คิดว่ารอยยิ้มของเขามันช่างทำให้ผู้หญิงทุกคนที่จ้องมองมีอันเผลอตัวตกอยู่ในหลุมพรางเสน่ห์ใบหน้าคมคายนั้น และไม่อาจที่จะปีนขึ้นมาจากหลุมขนาดใหญ่ได้เป็นผลสำเร็จ
งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฉันเลยนะคะ เพียงแต่คนที่ฉันนัดไม่ใช่ลูกค้าและก็ถูกเบี้ยวนะเอาดื้อๆ ฉันเผลอบอกเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป แล้วไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองกำลังทำหน้ามุ่ย คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ดูเหมือนเอฟจะดึงให้ฉันกลับมารู้สึกดีอีกครั้ง เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ
แต่นั่นก็ทำให้เราได้พบกัน... อย่างน้อยๆเราทั้งคู่ก็ไม่ได้โชคร้ายตั้งแต่ต้นปีหรอกนะครับ
เขายิ้มให้อีกครั้งก่อนจะรวบตัวฉันเข้าไปกอดอย่างอ่อนโยน บอกตามตรงในเวลานี้ฉันแทบจะลืมกาย ชายคนรักของฉันไปเสียสนิทใจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉันนึกถึงคู่หมั้นขึ้นมาได้ก็เรื่องที่ฉันตั้งใจจะมอบพรหมจรรย์ที่สู้เก็บรักษาไว้นานให้แก่เขานี้แหละ และฉันเองก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันบอกเรื่องนี้กับเอฟในระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังจะเริ่มต้นกิจกรรมบนเตียงต่อจากเมื่อสักครู่นี้..
คุณจะเชื่อหรือเปล่า.. ถ้าฉันบอกว่า ฉันยังบริสุทธิ์อยู่
ทันทีที่ฉันตัดสินใจพูดโพล่งออกไปเอฟก็ถึงกับชะงักทุกการกระทำ และทำหน้าเหมือนคนถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ศรีษะอย่างจัง
"เป็นอะไรไปค่ะ?"
คุณพูดจริงหรอ?"
ผู้ชายส่วนใหญ่เขาชอบผู้หญิงเวอร์จิ้นกันไม่ใช่หรือยังไง
ถ้านั่นเป็นคำพูดเพื่อที่จะทำให้ผมมีอารมณ์มากขึ้น บอกเลยว่าไม่จำเป็นเพราะตอนนี้ผมเองก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่คุณกำลังบอกผมมันเป็นความจริงแล้วละก็... เขานิ่งงันไปชั่วขณะคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ จนฉันต้องเอ่ยถามกลับไปเพื่อให้เขาพูดต่อให้จบ
"แล้วยังไงค่ะ..?"
"ผมก็จะบอกว่า...เราควรจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ เพื่อมันจะได้ไม่เลยเถิดมากไปกว่านี้"
"อ้าว..แล้วกัน คุณไม่ชอบสาวบริสุทธิ์อย่างนั้นหรอ?"
"ก็ไม่เชิง.."
แล้วยังไงละ หรือคุณกลัวที่จะถูกจับให้มารับผิดชอบ ฉันสบผสานเข้าไปในแววตาของเขา เพื่อที่จะค้นหาความจริงภายในดวงตาคู่นั้น
"เปล่า..."
"หืม..ถ้าอย่างนั้นคุณกยุดทำไมละค่ะ"
ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้านี่เป็นครั้งแรกของคุณ คุณก็ควรจะมีอะไรกับบอยเฟรนด์หรือคนรักของคุณถึงจะถูก เขาทำหน้าแข็งขึงในขณะที่น้ำเสียงฟังดูกลับกลายเป็นคนละคนจากเอฟคนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
"...."
คุณควรจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่คิดจะทิ้งความบริสุทธิ์กับผู้ชายแปลกหน้าที่พบกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงแบบผม ถึงแม้ผมเองก็มั่นใจว่าสามารถที่จะทำให้คุณมีความสุขได้ก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำเลยสักนิด เอฟทำเสียงคล้ายกับผู้ใหญ่กำลังตำหนิเด็ก แต่ไม่แปลกเพราะเขาเองก็ดูน่าจะแก่กว่าฉันอยู่หลายปี
ฉันได้แต่ย่นคอฟัง เมื่อตอนนี้สถานการณ์ดูเหมือนกลับตาลปัตรเมื่อกลายเป็นว่าบทรักที่แสนจะเร่าร้อนแปรเปลี่ยนเป็นการอบรมเทศนาแทน
"แต่ฉันเต็มใจที่จะมีอะไรกับคุณ!"
ใส่เสื้อผ้า แล้วกลับไปซะ และคุณก็ควรจะรักษามันเอาไว้ให้กับคนรักของคุณ
แล้วถ้าฉันบอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่ต้องการล่ะคะ เมื่อถูกเขาอบรมสั่งสอนแบบจริงจังสติสตางค์ของฉันก็เริ่มกลับคืนมา สมองเริ่มสั่งการให้รู้สำนึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่าฉันไม่ควรจะทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายแปลกหน้าอย่างที่เอฟบอกจริงๆ
ผมว่าผู้ชายคนนั้นคงจะโง่มาก เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าทิ้งผู้หญิงแบบคุณอย่างแน่นอน
จากนั้น ฉันกับเอฟก็ไม่ได้มีอะไรกันต่อ เมื่อเขาเริ่มเทศนาราวกับทำตัวประดุจเป็นบิดาของฉันก็ไม่ปาน แต่ก็นั่นทำให้ฉันต้องรีบเผ่นออกจากคอนโดมิเนียมสุดหรูของเขาเมื่อไม่กล้าสู้หน้าของอีกฝ่ายต่อไป
ฉันได้แต่คิดว่าเอฟคงมองฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายที่พร้อมจะทอดกายให้กับใครก็ได้ และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าทำตัวไร้ค่าเสียเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อสติของฉันกลับคืนมาปัญญาจึงเกิด ทำให้พอมานึกทบทวนถึงสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปเพราะอารมณ์เดือดดาลก็ทำให้ฉันแทบอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงแรงๆสักหลายๆครั้ง
เกือบไปแล้วเชียว
ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากไม่ได้สติถอนตัวออกมาก่อนฉันก็คงจะพลาดพลั้งตกเป็นของเขาไปแล้วเรียบร้อย จะว่าไปรถจูบของเขาก็ยังคงติดอยู่ที่ปากของฉันอยู่เลย เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้นฉันก็ได้แต่หน้าแดงถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขินอายหรือติดใจในรสสัมผัสอันน่าวาบหวาบกันแน่
ไม่ได้ไม่ได้จะมาคิดอะไรแบบนี้ไม่ได้ต้องรีบติดต่อกายให้ได้ก่อน
เมื่อฉันคิดได้ฉันจึงโทรศัพท์ไปหาคู่หมั้นที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพยายามโทรไปสักเท่าไหร่กายก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดโทรศัพท์มือถือ แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อยู่ดี ไม่ว่าจะโทรศัพท์เข้าไปที่บ้านก็ตาม
หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ?"
พอคิดไปในแง่ร้ายฉันก็ยิ่งกระหน่ำโทรแบบไม่ยั้งจนสุดท้ายเขาก็รับสายของฉันในตอนเช้าของวันใหม่
ตู๊ด..ตู๊ด...ตู๊ด..
"ฮัลโหล"
เสียงงัวเงียประหนึ่งคนอดนอนส่งเสียงดังขึ้น ทำให้ฉันต้องรีบต้องรีบกรอกเสียงถามกลับไปในทันที พร้อมกับคำถาม 108 ที่ผุดขึ้นมาในสมอง เพียงแต่ต้องเลือกทางออกไปทีละข้ออย่างขัดใจ
"กาย!ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนค่ะ?"
"ผมกำลังทำงานอยู่นะพีช เสียงของกายละล่ำละลักพูดขึ้นพร้อมกับพยายามปรับให้ฟังดูสดใส ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่ฉันจับน้ำเสียงนั่นได้มันฟังคล้ายกับมีพิรุธอยู่ในถ้อยคำนั้น
"ในวันปีใหม่เนี่ยอะนะ?" แล้ว็เช้าขนาดนี้?" ฉันย้อนถามเสียงสูง เพราะรู้ดีว่านี่มันไม่ใช่นิสัยของคู่หมั้นของฉัน ถึงแม้ว่ากายจะเป็นสถาปนิกที่มักจะมีงานแยอะแยะจนแทบจะไม่มีเวลา รวมไปถึงต้องทำงานเร่งด่วนส่งลูกค้าเป็นครั้งคราวก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แถมยังเป็นวันปีใหม่อีกตากหาก
"กะ..ก็ใช่นะสิ งานนี้ลูกค้าเขาต้องการหลังจากวันหยุดปีใหม่เลย ถ้าไม่ให้ผมทำวันนี้แล้วมันจะเสร็จทันไหมละ?" กายรีบทำน้ำเสียงเข้มและทำทีเป็นโมโหกลบเกลื่อน ทั้งที่คนที่ควรจะอาละวาดมันเป็นฉันต่างหากไม่ใช่เขา
"แล้วที่เรานัดกันเอาไว้ละค่ะ?" ทำไมคุณถึงไม่โทรมาบอกละว่าคุณติดงาน"
"ผมต้องขอโทษด้วยนะพีช แต่ผมติดงานจริงๆ ถ้าคุณไม่มีเรื่องเร่งด่วนผมขอตัวทำงานก่อนก็แล้วกันนะครับ" กายตัดบท แต่มันยิ่งทำให้ฉันเกิดข้อสงสัยว่าเขาพูดจริงหรือว่าโกหกกันแน่ เพราะนี่เขาทำเหมือนว่าตัวเองไม่มีความผิดที่บิดเบี้ยวนัดและกลายเป็นฉันที่ทำตัวงี่เง่าและคอยหาเรื่องจับผิด
"นี่คุณทำงานอยู่ที่ออฟฟิศหรือที่คอนโด ค่ะกาย?" ฉันพยายามใจเย็นไม่ให้ความรู้สึกโมโหครอบงำไปมากกว่านี้ เพราะคิดว่าบางทีเขาอยากจะติดงานจริงๆ ดังที่ว่า
ผมกำลังเขียนแบบอยู่ที่คอนโด ถ้าคุณไม่เชื่อใจผม คุณจะตามมาดูก็ได้นะครับ คนพูดทำเสียงเซ็งๆ คล้ายกับกำลังเหนื่อยหน่ายใจ
ฉันได้แต่กำมือเอาไว้แน่นแล้วพูดตอบกลับไป
ไม่ไปหรอกค่ะ พีชไม่อยากกวนเวลาทำงานของคุณหรอก
ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ เอาเป็นว่าจบงานนี้แล้วผมจะตามใจคุณทุกอย่างเลยก็แล้วกัน"ค่ะ ตั้งใจทำงานนะค่ะ"
หลังจากที่วางสาย ฉันก็มุ่งหน้าไปยังชูเปอร์มาร์เกตที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงทันที เพื่อจะได้หาซื้อของกินและของบำรุงร่างกายไปให้กับกายสักหน่อย เพราะเขาเองก็คงจะไม่มีเวลาไปหาอะไรกินเนื่องจากต้องปั่นงานหามรุ่งหามค่ำแบบนั้น...
ใช่แล้ว!!ฉันจะไปเซอร์ไพร์สเขาที่คอนโด ถ้าเจอหน้าฉัน เขาเองก็คงจะหายเหนื่อยจากการทำงานหนักลงบ้าง
หลังจากที่เดินเลือกเฟ้นของที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับคนทำงานดึก ไม่ว่าจะเป็นพวกอาหารกล่อง น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มบำรุงสายตา และอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ฉันก็จ่ายเงิน จากนั้นก็ออกไปขึ้นรถแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปหากายที่คอนโดมิเนียมของเขา
เมื่อไปถึงฉันก็เรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีให้มาช่วยเปิดประตูให้ แต่วันนี้ดูเหมือนว่ายามคนนี้จะทำหน้าตาประหลาดใจและงุนงงเมื่อเจอฉัน
หน้าหนูมีอะไรแปลกเหรอคะพี่ ฉันยกมือข้างที่ยังคงถือถุงอาหารและขนมเอาไว้ในมือขึ้นมาจับที่ใบหน้า ก่อนจะมองหากระจกเพื่อส่องดูความผิดปกติ
เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย ผมว่าก่อนหน้านี้ผมเห็นคุณมาที่คอนโดแล้วนะ พี่ยามจ้องหน้าฉันอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆด้วยความข้องใจ
พี่จำสับสนกับวันก่อนๆหรือเปล่าคะ ฉันหัวเราะออกไป ก่อนจะยื่นส่งถุงขนมถุงใหญ่ที่ตั้งใจซื้อมาฝากพี่เขาให้ไปด้วย
"ก็..คงจะอย่างนั้นละครับ เชิญครับ"
"ขอบคุณค่ะ สวัสดีปีใหม่นะค่ะพี่"
"เช่นกันครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับขนมนะครับ"
จากนั้นฉันก็เดินไปกดลิฟต์ด้วยหัวใจที่ชุ่มฉ่ำ เพราะฉันกำลังจะทำให้คู่หมั้นสุดที่รักต้องประหลาดใจและเขาเองก็คงมีความสุขที่ได้เจอฉันเช่นกัน ซึ่งแผ่นการที่เตรียมตัวเอาไว้ในตอนแรกก็อาจจะเป็นไปตามนั้นอีกทีก็ได้ หลังจากที่กายเคลียร์งานได้แล้วเสร็จ
ฉันจิตนาการว่าเราทั้งคู่ จะสวมกอดกันด้วยความชื่นมื่น ระหว่างที่เขากำลังทำงานเสร็จเราก็จะได้มาฉลองปีใหม่ด้วยกันอีกครั้ง...แต่ทว่า จู่ๆๆ ใบหน้าของเอฟก็ลอยขึ้นมาแทนที่
"เฮ้ย! ไหงเป็นแบบนี้ละ"
ฉันได้แต่สบัดศรีษะแรงๆ เพื่อทำให้ใบหน้าของเอฟหายไปจากห้วงความคิด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งฉันพยายามจะลืมสมองกลับยิ่งจะจดจำ รสสัมผัสที่เขาแตะต้องตัวฉันยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความรู้สึก รสจูบอันหวานล้ำยังประทับอยู่ที่ริมฝีปากของฉัน ไออุ่นที่มาจากกายของเอฟยังทำให้หัวใจดวงน้อยของฉันเต้นตึกตักยามนึกถึงเรื่องราวอันแสนวาบหวามในค่ำคืนที่ผ่านมา