เธอเครียดกับการต้องอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือสอบมาหลายวัน เพิ่งสอบปลายภาควิชาสุดท้ายเสร็จ วางแผนกับเพื่อนเอาไว้ว่าคืนนี้จะไปปลดปล่อย เมาให้หัวทิ่มกันไปเลย!!
แต่ในความเป็นจริงตอนนี้กลับตรงกันข้าม
เส้นเลือดบนขมับสองข้างเต้นตุ๊บๆ เกวลินขยับเปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นมา หลังจากก่อนหน้าเธอพยายามทำแบบนี้แล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ภาพตรงหน้าพล่าเบลอ หญิงสาวกลับตาลงอีกครั้งเพื่อตั้งสติ ลืมตาขึ้นกวาดมองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจโล่งอก
“ยังไม่ตาย” มือเรียวยกขึ้นทาบตรงตำแหน่งหัวใจเอาให้แน่ใจว่ามันยังเต้นอยู่ พอแน่ใจว่าเป็นแบบนั้นแน่ คราวนี้สาวน้อยระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ยิ่งกว่าเก่า
“เป็นลมอีกแล้วเหรอเนี่ย” สันนิษฐานเสียงอ่อน ระหว่างนั้นก็แอบหยิกแขนสร้างความมั่นใจให้ตัวเองอีกรอบ
เธอไม่เคยเข้าใกล้ความตาย แต่ความกลัวตายมันเป็นอย่างนี้เองสินะ ไม่ดีเลย ขนาดครั้งก่อนว่าหนักแล้วแต่ก็แค่เวียนหัว บ้านหมุนไม่เป็นขนาดนี้ แต่คราวนี้มันปวดหัวมาก แบบมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆ มันก็วูบ วูบแบบวูบไปเลย โลกจากสว่างจ้าเปลี่ยนเป็นมืดสนิทเพียงชั่วพริบตา เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีแรงแม้แต่จะยืน สมองพล่าเลือนไปหมด มันอึดอัด หายใจไม่ออก ความกลัวจับใจเกิดขึ้นมาในตอนนั้น
และเกวลินคงคิดว่าตัวเองตายไปแล้วแน่ๆ ถ้าในความเคว้งคว้างเพราะรอบตัวเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ ไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งเรียกเอาไว้ มันต่างจากเสียงเซ็งแซ่ของคนอื่นที่ค่อยๆ เบาลงและห่างออกไปตรงที่เสียงทุ้มนั้นอยู่ใกล้เหมือนเขากำลังกระซิบข้างหู จมูกเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมกลิ่นยากับความรู้สึกอุ่นไปทั้งตัวเหมือนถูกกอดไว้ที่ทำให้อยากลืมตาขึ้นมอง
เธอพยายามทำแบบนั้น… แม้มองแล้วจะปรับโฟกัสเห็นแค่เพียงแววตา
‘คุณ!! ยังรู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมเป็นหมอ’
…และอะไรอีกหลายอย่าง
ท่ามกลางความวุ่นวายหวาดกลัว เป็นเขาเรียกเธอไว้ตลอด งั้นผู้ชายที่คิดว่าเขาเป็นยมทูตมารับวิญญาณก็ต้องไม่ใช่ยมทูต ไม่ได้มาหลอกล่อเอาวิญญาณ แต่เป็นหมอตามที่เขาบอกจริงๆ
แล้วก็คงเป็นเขาที่พาเธอมาส่งที่นี่สินะ
เมื่อสาวน้อยเริ่มลำดับเหตุการณ์ในหัวสมองได้ ดวงตากลมกวาดมองไปโดยรอบก็จำได้ทันทีว่าที่นี่คือหน่วยพยาบาลของมหาวิทยาลัยเพราะเพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาพาเธอมาส่งยังที่ที่ปลอดภัยไม่ใช่นรกขุมไหน แต่เธอยังไปคิดอกุศลกับคนหล่อ
อืม หล่อนั่นล่ะ… แม้เลือนรางแต่เมื่อมองตาเขาแล้วรู้สึกปลอดภัยเธอเลยจำได้ว่า (น่าจะ) เป็นแบบนั้น
คิดแล้วก็อยากยกมือขึ้นแขกเหม่งตัวเอง ‘ไม่น่าเลยยัยเกวบ๊องบวม!! ฟ้าต้องลงทัณฑ์แกให้ชาตินี้หาแฟนหล่อไม่ได้แน่!! โทษฐานที่ดันไปคิดอกุศลกับคนที่อุตส่าห์ช่วยไว้อย่างเขา!!’
สมองซีกขวามโนไปไกล ทำให้สมองซีกซ้ายต้องรีบลากกลับมาถึงเรื่องของเหตุผล คราวนี้เกวลินมองไปยังอีกห้องที่เชื่อมติดกันกับห้องที่เธออยู่ตอนนี้ ประตูระหว่างห้องถูกเปิดเอาไว้ด้วย แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ภาพตรงหน้าเธอถึงจะไม่ค่อยชัดไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็แน่ใจว่าไม่มีเขา คุณหมอคนที่พาเธอมาส่งและดูแลเธอ เขาไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกา… สี่โมงกว่า ไม่รู้ว่าเขากลับไปแล้วหรือเดินไปไหน
“เฮ้อ” สาวน้อยถอนหายใจ
ไม่มีอะไรหรอก เธอก็แค่อยากขอบคุณเขาที่ช่วยเธอไว้ แต่ไม่อยู่แบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง มิหนำซ้ำที่หนักคือเธอยังจำได้แค่แววตา รู้แค่ว่าหล่อแต่เธอก็จำหน้าชัดๆ ของเขาไม่ได้ อย่างนี้เกิดไปเจอกันข้างนอก แล้วเขาจำเธอได้ แต่เธอจำเขาไม่ได้ ไม่ทักทายไม่ขอบคุณแล้วเขาจะหาว่าเธอเสียมารยาทมั้ยนะ
เกวลินคิดไปเรื่อย… แต่คงไม่หรอก เขาเป็นหมอ วันๆ เจอคนไข้ตั้งเยอะ มีเรื่องให้คิดตั้งมากมาย แค่เรื่องงานก็ยุ่งจะตาย ไม่มีเมมโมรี่เหลือไว้จำเด็กกะโปโลอย่างเราหรอกมั้ง
เอาเป็นว่าถ้าเจอบังเอิญเดินไปคณะแพทย์ แล้วเจอผู้ชายคนไหนใส่เสื้อกาวน์ สูง ขาว แล้วมองมา เธอจะคิดไว้ก่อนว่าใช่ท่านยมหรือเปล่า แล้วยิ้มให้ตอบไปหมดเลยแล้วกัน
‘แต่มีหวังคนอื่นที่เห็นได้คิดว่าเธอมาอ่อยหมอพอดี’ หญิงสาวคิดขำๆ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น พยาบาลก็เข้ามาวัดความดัน ตรวจเช็คทั้งสอบถามอาการต่างๆ ใบหน้าซีดของสาวน้อยระบายยิ้มอย่างดีใจเมื่อเธอถามว่าจะกลับได้เมื่อไร แล้วคุณพยาบาลบอกว่า ‘ให้รอก่อน คุณหมอติดเคสเย็บแผลเด็กเล่นกีฬามาแล้วเกิดอุบัติเหตุอยู่อีกห้องหนึ่ง เสร็จแล้วเดี๋ยวคงเข้ามาดู แล้วเธอค่อยถามเขาตอนนั้นว่ากลับได้หรือยัง’
‘ใจดีจัง’ หญิงสาวนึก เย็นขนาดนี้แล้วยังอยู่อีก เธอไม่รู้ว่าถ้ามีคนเกิดอุบัติเหตุมีบาดแผลขึ้นมาในห้องพยาบาลเล็กๆ ของคณะแบบนี้แล้วหมอต้องเย็บแผลเองมั้ย หรือจะให้พยาบาลเย็บก็ได้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาใส่ใจ ส่วนใหญ่เคยเจอแต่หมอใจร้าย หรือไม่ก็เฉยๆ ไปเลย ไม่ได้ใจดีแบบเขา
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ดีแล้วเราจะได้พบกัน เธอจะได้ถือโอกาสนี้ขอบคุณเขาซะเลย
เกวลินหมายมาดในใจว่าอย่างนั้น ระหว่างรอใจก็คิดไปว่าจะเริ่มต้นขอบคุณเขายังไงดี แต่คนมันมีเวรกรรม!! ฟ้าตามทันและกำลังลงโทษเธอที่มีตาหามีแววไม่ไปกล่าวหาว่าหมอเป็นท่านยมบาลจะมารับดวงวิญญาณ จากหัวที่ดีขึ้นแล้วไม่ปวด ทำไมตอนนี้ตาข้างขวาของเธอทั้งระคายเคืองและเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ’ ระหว่างกรอกตาไปมา ใจก็ภาวนาไปด้วยเผื่อฟ้าจะเห็นใจเธอบ้าง แต่โทษทัณฑ์ของการไปคิดอกุศลกับคนคิดดีทำดีคงจะหนักเกินให้อภัย ริอาจไปว่าคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้ แถมไปกล่าวหาเขาซะเสียหายเลย โชคก็เลยไม่เข้าข้างเธอ
เพราะยิ่งกรอกไป ยิ่งขยับ ปรากฏว่า…
บุ๋ง…
โถ่ แล้วหล่นไปไหนละเนี่ย
เกวลินพึมพำบ่นกับตัวเอง ตาก็กวาดมองหาไปตามพื้นผ้าขาวรอบตัวบนเตียงที่ตัวเองกำลังนอนอยู่ แต่เพราะมันเล็กแถมใส สีอาจจะกลืนกับพื้นเกินไป หายังไงก็ไม่เจอซะแล้ว
มิหนำซ้ำยิ่งเพ่งยิ่งปวดหัว ยิ่งเพ่งยิ่งปวดตา นอกจากปวดตา หัวที่ว่าจะหายก็ดันชักๆ จะปวดขึ้นมาซะอีก
สาวน้อยได้แต่ถอนหายใจให้กับความบ๊องบวมของตัวเอง ซวยซ้ำซวยซ้อนก็ตัวเธอนี่ล่ะ แบบนี้สงสัยได้ออกไป จากร้านเหล้าคงต้องเปลี่ยนเป็นนุ่งขาวห่มขาวไปวัดสะเดาะห์เคราะห์แล้วมั้ง ยังดีนะที่ที่อ่านมาไม่เสียเปล่าทำข้อสอบได้เกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ วิชานี้เกรดเอไม่พ้นมือเธอแน่ๆ
ความมั่นใจว่าความบากบั่นพยายามที่ทำมาทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่ห่อเหี่ยวเกินไปนัก ระหว่างนึกก็พยายามจะถอดคอนเทคเลนส์อีกข้างแต่ไม่สำเร็จ ดีที่เธอเอาแว่นติดกระเป๋ามาด้วย
ว่าแต่กระเป๋าอยู่ไหน? ดวงตากลมเริ่มสอดส่ายมองหาแล้วก็เห็นมันวางอยู่ตรงนั้น ร่างเล็กรีบขยับลุกห้อยขาลงจากเตียงจะไปหยิบ แต่คงเพราะขยับตัวเร็วเกินไป เอาอีกแล้ว เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่สุด อยู่ๆ ก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา โลกมันลอยๆ และทำท่าเหมือนจะดับลงอีกรอบ
อย่านะ!!
“โอ้ย!!”
อยากกรีดร้องออกไปแต่ไม่มีเสียง เกวลินหลับตาเตรียมรับชะตากรรม… ทว่าความรู้สึกตอนนี้ทั้งหมดกลับไม่เป็นอย่างที่คิด มันตรงกันข้าม เพราะกลิ่นหอมอ่อนผสมกลิ่นยาที่คุ้นเคยกับอ้อมแขนแกร่งของใครบางคนที่ถลามารับเอาไว้ได้ทัน
“อย่าเพิ่งขยับสิครับ”
เสียงทุ้มดุข้างหู สาวน้อยลืมตาเหลือบขึ้นมองสบกับนัยน์ตาคมของเจ้าของใบหน้าภายใต้แมส
เธอจำเขาได้
“อย่าเพิ่งขยับสิ” โทนเสียงเดิมที่ย้ำเรียกเจ้าของร่างบอบบางให้ได้สติ
“ขะ…ขอโทษค่ะ”