ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาคบกับคนแบบนั้นไปทำไม
ฐิรดลเงียบคว่ำหนังสือลงกับโต๊ะ เขี่ยอาหารในจานตรงหน้าไปมาด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ ฟังพ่อกับแม่พูดเตือนเขาอยู่ร่วมชั่วโมง เห็นว่าพวกท่านหนำใจแล้วกับการอบรมเขาและตั้งท่าจะออกจากบ้าน จึงรีบบอกท่านว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอก แล้วจะกลับพร้อมพ่อในช่วงบ่ายของวันตามที่ท่านสั่ง
กลับขึ้นห้องได้ ชายหนุ่มเปิดตู้เสื้อผ้าออกยืนมองเป็นนาน
ปกติแล้วเสื้อผ้าของเขา จะเป็นแม่ที่จัดซื้อ จัดหามาให้อยู่เรื่อย ๆ น้อยครั้งที่จะเห็นว่ามันชำรุด
แต่มันไม่ยากเกินความสามารถของเขาหรอก หากจะทำให้ชำรุดสักยี่สิบหรือสามสิบตัว
ดึงเอาตัวที่ดูเก่ากว่าพวกหน่อย ออกมาฉีกตรงชายเบา ๆ ยืดออกมองว่าแบบนี้พอได้หรือไม่ เห็นว่าใช้ได้ เขารื้อเอาออกมากางอีกเป็นตั้ง แล้วจับใส่ลงในถุงผ้า เดินหอบลงมาที่ด้านล่าง เจอน้องสาวตัวดีเข้าเสียก่อนก็ชะงักกึกทันที
ฐิติชญาหรี่ตามองพี่ชายก่อนจะลากสายตาลงไปยังถุงผ้าในอ้อมกอดของพี่อย่างสอดรู้สอดเห็น แล้วถึงร้องทักออกไปว่า
“เป็นอะไรคะพี่คีย์ ทำไมทำท่ามีลับลมคมแปลก ๆ”
ฐิรดลตีหน้าขรึม ถามกลับน้องสาวไปว่า “อะไรล่ะ”
“แล้วนั่นหอบอะไรมา ขอครีมดูหน่อย”
“เอ้อ เรานี่ ไม่มีมารยาทเลย” ร้องดุน้อง “ขยะ พี่จะเอาไปทิ้ง”
ฐิรดลตอบเมิน ๆ น้อง แล้วก็เลี่ยงเอาถุงใส่เสื้อผ้าลากไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของเขา รีบตรงไปยังบ้านหลังที่เขาเพิ่งไปมาเมื่อคืนนี้ จอดรถได้ ก็ค่อยตวัดขาลงไปยืนตรงพื้นมองเข้าไปที่ในร้าน เพราะเห็นว่าร้านเปิดแล้ว แต่ไม่มีใครในนั้นเลยสักคน
ไม่นานร่างเล็ก ๆ ของภัทรวรินทร์ก็เดินออกมาจากด้านในพร้อมจานข้าวราดกับในมือ
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นเห็นว่าใครอยู่หน้าร้านก็มือไม้อ่อน จานข้าวเกือบร่วงจากมือ พอตั้งสติได้ รีบเอาไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วรีบตรงไปที่เขา ยืนยิ้มประดักประเดิดพร้อมเอ่ยปากทักทาย
“พี่คีย์ไปไหนมาหรือคะ”
ฐิรดลมองร่างเด็กสาวในชุดเสื้อผ้าง่ายด้วยสายตาเป็นประกายยิ้ม สว่างไสว แล้วส่งถุงผ้าให้
“พี่เอากางเกงมาซ่อม”
ยื่นมือไปรับมาแล้วก็เสียหลักเล็กน้อยเพราะถุงผ้านั่นหนักมาก จนฐิรดลต้องเข้าไปประคอง รีบขยับห่างออกจากเขาด้วยใบหน้าออกสีแดงระเรื่อ อ้อมแอ้มถามออกไปว่า
“พี่คีย์รีบไหมคะ”
“ไม่” เขาบอกพร้อมเบ้ปากส่ายหน้าน้อยกระแอมเบา ๆ ที่ตัวเองตอบออกไปไวเหลือเกิน ก่อนขยายความไปว่า “พี่ไม่ได้มีธุระที่ไหน”
ภัทรวรินทร์ฟังจบก็กะพริบตาปริบ ๆ อมยิ้มแล้วขำออกมาเบา ๆ จนฐิรดลเริ่มหน้าเครียดลง “ขำอะไร”
“พราวขำพี่คีย์” เด็กสาวบอกแล้วก็เม้มปากแล้วรีบแก้คำพูดของตัวเองใหม่ “ขอโทษค่ะ พราวไม่ได้หมายถึงแบบนั้นค่ะ พี่คีย์รีบใช้เสื้อผ้านี้ไหมคะ”
“ไม่ครับ เพราะเดี๋ยวพี่ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียบของเทอมหน้า ถ้าลงทะเบียนเสร็จแล้วพี่ถึงจะแวะมาเอาได้ ประมาณสองอาทิตย์ ทันไหม”
“ทันค่ะ” รีบพยักหน้าบอกเขา ใจหายนิด ๆ ที่รู้ว่าเขากำลังจะกลับไปเรียนแล้ว ก่อนนึกได้ บอกออกไปว่า “หรือให้พราวฝากครีมไปดีคะ”
“ไม่ต้องหรอก มันหนัก เดี๋ยวพี่ขับรถมาเอาเองดีกว่านะ”
พยักหน้าอย่างเข้าใจ ยืนเงียบ ๆ มองตากันแล้วฐิรดลก็จำต้องเอ่ยลา
“พี่ไปนะ”
“ค่ะ”
เขาเดินหันหลังไปแล้วก็หันกลับมาใหม่ “ถ้าเป็นอาทิตย์หน้าเสร็จทันไหม”
กะพริบตาปริบ ๆ แล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็วแทนคนที่เป็นช่างซ่อม ทันค่ะ เห็นเขายิ้มตอบอย่างพอใจก็รู้สึกหัวใจพองฟูขึ้น อาทิตย์หน้าเธอก็จะได้เจอเขาอีก
ฐิรดลกลับเข้าบ้านอีกครั้ง เก็บสัมภาระ ก่อนจะมองไปยังของที่เป็นชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ เขาเลือกที่จะไม่เอาของไปจนหมดเพื่อที่จะได้มีข้ออ้างกลับมาที่บ้านอีกในอาทิตย์หน้า
ฐิติชญาเข้ามากอดลา แล้วแหงนหน้าขึ้นบอกด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับมารดาแทบไม่เพี้ยน “ตั้งใจเรียนนะคะ อย่าเอาแต่เหล่สาวในเมืองจนเกรดตกซะล่ะ”
เขาส่ายหัวเบา ๆ แล้วเคาะหน้าผากน้องสาวด้วยสันมือตัวเองอย่างที่เคยทำเสมอเวลาอีกฝ่ายทำตัวหรือพูดจาทะเล้นใส่เขา บอกกลับว่า “เราก็ด้วย อย่าเอาแต่กินจนอ่านหนังสือสอบเข้าแพทย์ตามพี่ไม่ได้”
สองพี่น้องร่ำลากันแล้วก็จำต้องแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตนเองต่อจากนั้น
เสียงโทรศัพท์ในร้านซ่อมเสื้อสมสมรดังระรัวติดกันสองสามครั้งแล้ว แต่ทั้งเธอและสมสมรมัวแต่ยุ่งกันอยู่เลยไม่มีใครปลีกตัวไปรับสายได้
จนส่งลูกค้าเจ้าปัญหาของสมสมรกลับไปได้แล้ว ภัทรวรินทร์จึงค่อยเดินไปรับสายที่เพียรโทรเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนนั่นได้เสียที
“สวัสดีค่ะ”
“พี่เองนะ” ปลายสายบอกมาแค่นั้น เด็กสาวก็ยืนตัวชา หน้าแดง แล้วก็เงียบไปอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก จนปลายสายต้องเรียกซ้ำ
“พราว”
“ค่ะ คะ ใครคะ” เด็กสาวจำเสียงของเขาได้ทำให้หัวใจเต้นแรง ถามกลับด้วยเสียงตะกุกตะกัก แม้จำเสียงเขาได้แต่ก็ยังหลุดปากถามไปอย่างคนไร้ไหวพริบแบบนั้น ขนาดว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอเลยนะ เธอยังประหม่าเขาได้ถึงขนาดนี้
ขณะที่คิดกังวลอยู่นั่นเอง ฐิรดลก็เอ่ยตามสายมาว่า
“พี่คีย์เองนะครับ”