“หมอรายได้น้อยอย่างคุณสู้ราคาไม่ไหวหรอก”
จบคำสบประมาทของเธอ นายแพทย์ฐิรดลคว้าแขนของเธอดึงให้หันไปหาเขาก่อนจะโน้มหน้าลงบดจูบในทันที เขาสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของเธอ มือบีบคางให้อ้ารับเขา
เธอเฉย ไม่ตอบและไม่ดิ้นรนหนีเขาอีกด้วย ก่อนจะถูกมือของเขาลากมือไต่ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างของเธอพร้อมกับพึมพำบอก “ไม่ผิดหวังเลยที่ได้...เป็นคนแรก”
ฐิรดลจงใจเว้นคำพร้อมแววตาหมิ่นแคลนมองมาที่เธอ
ภัทรวรินทร์เม้มปากแล้วดันอกของเขาออก ยิ้มหมิ่น ๆ ให้เขาด้วยแววตาที่ลอกเลียนแบบเขามา ก่อนจะย้อนคืนเขากลับว่า
“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือว่าเป็นคนแรกของฉันน่ะ”
นายแพทย์ฐิรดลยิ้มมุมปาก เขายอมผละออกจากเธอในที่สุด ก่อนถอยหลังเพื่อมองจ้องเธอทั้งใบหน้า ถามย้อนกลับด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
“สรุปว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนสินะ”
นายแพทย์ฐิรดลย้อนคืนคำพูดของเธอ
ภัทรวรินทร์ผ่านคนจำพวกนี้มาบ้างแล้ว จึงรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของตนเอง ไม่พยายามเต้นไปกับคำพูดยั่วยุของเขา
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมลดราวาศอกกับเธอเลย
“แตะตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยก็คงดิ้นพล่านแบบเดิมสินะ”
ยิ้มก่อนจะก้มลงตอบเขากลับไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไรนะ เพราะตอนนี้ฉันมีหน้าที่ทำให้ผู้ชายครางลั่นห้องแล้วก็ดิ้นพล่าน ต่างหากล่ะ”
จบคำพูดท้าทายของเธอแววตาของนายแพทย์ฐิรดลวาววับขึ้น เขาทำท่าจะดึงเอาตัวเธอเข้าไปกอดและก็คงจะจูบหยาบคายแบบเมื่อครู่นี้อีก แต่เธอถอยหลบทัน
แล้วในตอนนั้นเองที่มีเสียงเรียกดังขึ้นที่ด้านหลัง
“คุณพราวครับ”
เสียงเรียกชื่อนั่น ไม่ได้ทำให้เขายอมผละออกไปจากเธอเลย
ฐิรดลเดินหน้าเข้าหาเธออีกครั้ง เลยกลายเป็นเธอเองที่ต้องหันหลังเดินไปสมทบกับชายที่เรียกเธอเมื่อครู่นี้
“มีอะไรหรือคะ”
“ท่านเห็นว่าคุณออกมาเข้าห้องน้ำนาน ผมเลยออกมาดูให้ครับ”
“เสียเวลาคุยกับคุณหมออยู่น่ะค่ะ” เธอตอบโกศลแล้วก็ค่อยหันไปยิ้มหวานให้เขา “ขอตัวนะคะ ไม่อยากเสียเวลากับใครอีก”
ภัทรวรินทร์บอกทางคนติดตามของท่านแล้วก็ค่อยเดินกลับไปยังห้องวีวีไอพีอีกครั้ง นั่งลงดื่มต่อจนเที่ยงคืน เกษมสันต์ก็ค่อยเอ่ยชวนขึ้นว่า
“เราขึ้นห้องกันเลยดีไหม”
เธอยิ้มตอบชายมากวัยกว่า ตอบรับเห็นพ้องต้องตรงกัน “ไปเลยก็ดีค่ะ”
ฐิรดลมองไปทางเกษมสันต์ด้วยสายตาไม่สบายใจ อดีตรัฐมนตรีหัวเราะ น้อย ๆ บอกขึ้นว่า
“ลุงไปนะ ไม่ต้องห่วง จะพยายามรักษาสุขภาพให้ดีที่สุด ไม่ต้องให้หลานต้องกังวลเด็ดขาด”
เกษมสันต์บอกทางนั้นแล้วค่อยเอื้อมมือมาจับมือของเธอ พาเดินออกจากห้องนั้นไปด้วยกัน
ห้องชุดที่ด้านบนถูกเปิดไว้รอแล้ว ทันทีที่ออกจากคลับที่ด้านล่าง คนสนิทของเกษมสันต์ก็เคลียร์เส้นทางให้คนเป็นนาย พาเข้าลิฟต์ตรงขึ้นไปยังชั้นบนในทันที
“ถึงกับต้องมีมาคอยดูแลเลยหรือคะ”
เธอถามหยอกเย้าเกษมสันต์เมื่อออกจากคลับ ตรงเข้าลิฟต์มาแล้ว และกำลังขึ้นไปยังห้องพักที่ชั้นบนสุดด้วยกัน
เกษมสันต์บอกขณะลูกน้องของเขาส่งสายตาถามว่าให้คอยหรือไม่ ชายมากวัยโบกมือทำนองไล่พร้อมตอบเธอกลับอย่างอารมณ์ดี
“พ่อของคีย์ เขาเคยดูแลผมมาก่อนน่ะ พอเขาเสีย ลูกชายเขาก็เลยรับหน้าที่ดูแลผมต่อจากพ่อ”
คุยกันมาถึงตรงนี้ ลิฟต์พาขึ้นมาถึงชั้นบนพอดี ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันตรงไปยังห้องที่เปิดรอเอาไว้ เข้ามาถึงในห้องแล้ว เกษมสันต์เล่าต่อไปอีกว่า “ปกติคีย์เขาไม่รับใครเป็นคนไข้ง่าย ๆ หรอกนะ หยิ่งออกจะตาย ถ้าไม่ใช่ผม คีย์ไม่มีทางตอบรับแน่นอน มีหลานชายเป็นหมออยู่ข้าง ๆ บอกเลยว่าผมอุ่นใจไม่น้อยล่ะ”
ภัทรวรินทร์เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องราวของฐิรดล เอียงคอถามยิ้ม ๆ ยั่วยวนชายแก่คราวพ่อกลับไป
“เก่งขนาดนั้นเลยหรือคะ”
เกษมสันต์หัวเราะจนพุงกระเพื่อมถูกอกถูกใจกับจริตจะกร้านของเธอไม่น้อย “เก่งมากเลยล่ะ พราวอยากได้ไว้เป็นหมอประจำตัวไหม”
เสียงถามของชายมากวันฟังดูแล้วหยั่งเชิงเธออยู่
“ขอบคุณนะคะที่ท่านใส่ใจ แต่พราวดูแลตัวเองได้ค่ะท่าน”
ภัทรวรินทร์บอกไปตามสัตย์จริงที่ตนยึดถือคำมั่นนั้นเอาไว้ แล้วเลิกสนใจที่จะคุยเรื่องของนายแพทย์ฐิรดล
ในห้องตอนนี้มีเพียงเธอกับเกษมสันต์เพียงสองคนเท่านั้น ลูกน้องคนสนิทพากันเดินหน้าออกไปจนหมดแล้ว จึงลุกไปรินเครื่องดื่มมาบริการลูกค้ารายสำคัญ ได้มาสองแก้วก็ค่อยเดินนำมาส่งให้ เห็นว่าน่าจะพร้อมแล้ว ค่อยเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลไปว่า
“เรา...เริ่มกันเลยดีไหมคะท่าน”
เกษมสันต์แตะมือตัวเองลงบนหลังมือของเธอแล้วครางชื่อของเธอแผ่วกระเส่าทีเดียว สายตาที่มองเธอเผยความต้องการมากกว่าที่ตกลงกันเอาไว้เสียอีก
“พราว”
ภัทรวรินทร์ช้อนตามองพร้อมขานรับเสียงหวาน “คะท่าน”
“ผมชอบพราวมากนะ”
เธอหลุบตาลงก่อนจะช้อนตาขึ้นมองอย่างมีจริตอีกครั้ง ย้ำเตือนอีกฝ่ายไปว่า “พราวทราบค่ะ แต่ที่เราคุยกันไว้...”
“ผมอยากได้พราวมากกว่าที่เราคุยกันไว้นี่นา”
และก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตามตอนของมัน เสียงโทรศัพท์ที่บันทึกด้วยเสียงหัวเราะดัง ๆ ของเจ้าของเครื่องก็แผดดังขัดขึ้นเสียก่อน
ภัทรวรินทร์ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหยุดชะงักธุระกลางคัน
แต่แล้วเกษมสันต์ก็วางมือของเขาลงกับมือของเธอแล้วดึงออกจากเนื้อตัวอวบอ้วนของตนเอง
“ผมต้องรับสายนี้ก่อนพราว”
เสียงแหบพร่าบอกอย่างเสียอารมณ์ไม่น้อย อดีตรัฐมนตรีจัดแจงลุกออกจากโซฟาตัวใหญ่ กระแอมในลำคอหลาย ๆ ครั้งติดกันแล้วก็ค่อยยกโทรศัพท์ขึ้นปาดหน้าจอเพื่อกดรับสาย พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังอีกห้องที่ด้านใน แว่วเสียงคุยดังออกมาว่า
“ว่าไงนะ”
“ใครเป็นอะไรนะ มึงพูดช้า ๆ ให้กูฟังรู้เรื่องหน่อยซิวะ”
หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบห้องชุดอย่างเบื่อหน่าย